คลังเก็บหมวดหมู่: ตำรวจ(ตร.)

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตำรวจ ฝ่ายปกครองโคกสำโรง ลพบุรี ร่วมพิธีปล่อยแถวมาตราการดูแลความปลอดภัย และกวาดล้างอาชญากรรมวันลอยกระทง ปี 2568

แชร์เนื้อหานี้

วันพุธ ที่ 5 พ.ย. 2568 เวลา 17.30 น. ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอโคกสำโรง นายเจตน์พงศ์ โชคสวัสดิ์วรกุล นายอำเภอโคกสำโรง นางสาวนงลักษณ์ อยู่พุ่ม ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอ พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก.สภ.โคกสำโรง พ.ต.ท.มนตรี เล่ห์อิ่ม รอง ผกก.ป.ฯ สภ.โคกสำโรง

พ.ต.ท.องอาจ เนียมศรีเพชร (สวป.) สภ.โคกสำโรง สาธารณสุขอำเภอโคกสำโรง โรงพยาบาลโคกสำโรง คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง และที่ปรึกษา กต.ตร.สภ.โคกสำโรง สมาคมกู้ภัยโคกสำโรงสงเคราะห์ และอาสาสมัคร พร้อมข้าราชการตำรวจ ร่วมออกตรวจดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยงานวันลอยกระทง ประจำปี 2568

โดยพิธีปล่อยแถววันนี้เน่นย้ำกำลังพล จนท.ทุกนายเพิ่มความเข็มงวดกวดขัน ระเบียบวินัยจารจร ระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2568 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานความมั่นคงทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีคึกคัก

สำหรับการระดมกวาดล้างครั้งนี้ มุ่งเน้นป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งคดีอาญาทั่วไป ยาเสพติด อาวุธปืน การพนัน การแข่งรถในทางสาธารณะ รวมถึงการลักลอบจำหน่ายพลุ ดอกไม้ไฟ และโคมลอย

พร้อมจัดกำลังเข้มดูแลพื้นที่จัดงานลอยกระทงทุกแห่งของอำเภอโคกสำโรง “ทุกหน่วยร่วมมือกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และเพื่อให้อำเภอโคกสำโรง เป็นอำเภอปลอดภัยในทุกเทศกาล”

สนอง แท่นสูงเนิน
ผอ.ศูนย์ข่าวฯ ประจำจังหวัดลพบุรี ภาพ/ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภาค 5 จับกุมชาวจีน 18 คน เมียนมา 2 คน ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “จีนหลอกจีน” เช่าบ้านหรู พื้นที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

แชร์เนื้อหานี้

30 ตุลาคม 2568 พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.จิตร์พิสุทธิ์ อิ่มสงวน ผบก.สส.ภ.5, พ.ต.อ.วชิรศักดิ์ ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5 พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ภ.5, บก.ตม.5, ตม.จว.เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นำกำลังเข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 161/11 ม.2 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตามหมายค้นของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ ค.602/2568 ลง 29 ต.ค.68 เนื่องจากสืบทราบข้อมูลว่า บ้านหลังดังกล่าว มีกลุ่มชาวจีนอาศัยอยู่ และมีลักษณะต้องสงสัยกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (แก๊งคอลเซ็นเตอร์)

ผลการตรวจค้นพบ

  • ชาวต่างชาติสัญชาติจีน จำนวน 18 ราย (ชาย 14, หญิง 4)
  • ชาวต่างชาติสัญชาติเมียนมาร์ จำนวน 2 ราย

ตรวจยึดอุปกรณ์

  • คอมพิวเตอร์ จำนวน 10 เครื่อง
  • โทรศัพท์มือถือ จำนวน 80 เครื่อง

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดแอบอ้างเป็นคอลเซ็นเตอร์ (จีนหลอกจีน) อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ส่งพัสดุ (SMS) หลอกลวงว่ามีพัสดุตกค้าง หรือ เจ้าหน้าที่ประกัน เพื่อโทรสอบถามเอาข้อมูล แอบอ้างยกเลิกกรมธรรม์ เมื่อเหยื่อหลงกลจะเข้าใจผิดว่าเหยื่อจะได้รับเงินประกันคืน จากนั้นจะมีการสนทนากับเหยื่อเพื่อหลอกลวงให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน(เงิน) ของเหยื่อ โดยจะทำการสืบสวนขยายผลผู้ร่วมกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 ได้กล่าวว่าตำรวจภูธรภาค 5 ได้ถือปฏิบัติตามนโยบาย รัฐบาล และ ผบ.ตร. เรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยได้ให้ความสำคัญการกวาดล้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้กำชับเด็ดขาดว่าข้าราชการตำรวจในสังกัดต้องไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องผลประโยชน์โดยมิชอบ หากตำรวจนายใดมีพฤติกรรมไปช่วยเหลือ หรือกระทำความผิดเสียเอง จะถูกดำเนินการอย่างเฉียบขาดทุกราย

ไม่มีละเว้น และได้ขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชนในการช่วยแจ้งเบาะแสหากพบพฤติกรรมต้องสงสัยของชาวต่างชาติเช่นพักอาศัยอยู่ร่วมกันโดยไม่ปรากฏอาชีพชัดเจน – มักมาเป็นกลุ่ม 3–6 คน เช่าที่พักระยะสั้น และไม่สุงสิงกับคนในชุมชน และมีพฤติกรรมเข้า–ออกไม่เป็นเวลา , มีเสียงพูดโทรศัพท์ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา – มักได้ยินเสียงสนทนาภาษาต่างประเทศดังออกมาจากห้องเกือบตลอดทั้งวัน โดยมีลักษณะเหมือนการอ่านสคริปต์ซ้ำ ๆ ในการโทรหลอกเหยื่อ และมีอุปกรณ์สายไฟหรือเครื่องมือสื่อสารจำนวนมาก เป็นต้น โปรดแจ้งสายด่วน 191 และช่องทาง LINE official ของตำรวจภูธรภาค 5 ไอดี @police 5 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง///

สมจิตรแสงบันลังค์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / อบอุ่นใจทุกที่เมื่อมีตำรวจไทย — ตำรวจภูธรบึงกาฬคุมเข้มสร้างความปลอดภัยช่วงเทศกาลลอยกระทงและฮาโลวีน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ
นายนคร ศิริปริญญานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงวันฮาโลวีนและวันลอยกระทง พร้อมให้โอวาทแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่

โดยมี พล.ต.ต.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ นำข้าราชการตำรวจในสังกัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และอาสาสมัคร เข้าร่วมบูรณาการกำลังระดมตรวจตราพื้นที่ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม รวมถึงดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความอบอุ่นใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญที่มีประชาชนออกมาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมจำนวนมาก เช่น เทศกาลลอยกระทงและวันฮาโลวีน

พล.ต.ต.ศิรสัณห์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ทุกนายได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านกำลังพลและอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ตลอดช่วงเทศกาล เพื่อให้ประชาชนชาวบึงกาฬ “อบอุ่นใจทุกที่เมื่อมีตำรวจไทย”
ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สืบ ภาค 5, ศปอส.ภ.5, บก.สส.ภ.5 เปิดปฏิบัติการบุกค้นรังจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านออนไลน์ เครือข่าย “VAPEHAUS”3 จุด กลางเมืองเชียงใหม่ รวบ 2 ผู้ต้องหา บุหรี่ไฟฟ้า 36,555 ชิ้น 6.6 ล้านบาท) เตรียมขยายผลจับนายทุน

แชร์เนื้อหานี้

โดยการอำนวยการ : พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร.,พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ภ.๕, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.สุทธิพงศ์ เป๊กทอง รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.จิตรพิสุทธิ์ อิ่มสงวน ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, พ.ต.อ.วชิรศักดิ์ ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5 และ พ.ต.อ.ทักษิณ จันทะวงค์ รอง ผบก.สส.ภ.5
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม ตำรวจภูธรภาค 5 โดย เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5), เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.๕ ร่วมกันจับกุม

1.นางสาวกบิษฎา ขอสงวนนามสกุล อายุ 40 ปี ที่อยู่ หมู่ 10 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่

2.นางสาวกฤษณา ขอสงวนนามสกุล อายุ 31 ปี ที่อยู่ หมู่ 1 ต.ยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

ฐานความผิด : “ร่วมกันขายบุหรี่ไฟฟ้าโดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ที่ 24/2567 และร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560” พร้อมของกลาง

  1. บุหรี่ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ​​จำนวน 36,555 ชิ้น (มูลค่าประมาณ 6,699,000 บาท)
  2. คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ​จำนวน 2 ​ ชุด
  3. โทรศัพท์มือถือ ​​จำนวน ​ 2 ​ เครื่อง
  4. กล่องกระดาษสำหรับส่งพัสดุ ​กว่า ​ 2,000 กล่อง
    5. เร้าเตอร์ไวไฟ ​​จำนวน ​ 1 ตัว

​ตามนโยบายของรัฐบาลโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ยกระดับเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกมิติ ซึ่งทั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ให้ดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นในทุกมิติทันที ซึ่งในกรณีดังกล่าว ทางศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5) ร่วมกับ บก.สส.ภ.5 ทำการสืบสวนจนทราบว่ามีกลุ่มบุคคลที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์ ชื่อ “vapehaus URL: https://vapehaus.net” โดยมีรูปแบบสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ แล้วจัดส่งทางขนส่งให้ถึงบ้าน จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว มีที่ตั้งของการกระทำความผิดจำนวน 3 จุด ประกอบด้วย ในพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่ 1 จุด พื้นที่ อ.หางดง จว.เชียงใหม่ จำนวน 2 จุด จึงได้รวบรวมข้อมูลการสืบสวนแล้วขออนุมัติศาลเพื่อทำการตรวจค้น

​ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค.2567 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้เข้าทำการตรวจค้นสถานที่ ซึ่งจัดให้เป็นที่ซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้าและสถานที่แบ่งบรรจุเพื่อส่งทางไปรษณีย์ จำนวน 3 จุด โดยเป็นการเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมพร้อมกันดังนี้

​จุดที่ 1 บริเวณหมู่บ้านกุลพันธ์วิลล์ 3 ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พบของกลางบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 546 ชิ้น

​จุดที่ 2 บริเวณหมู่บ้านกาญจน์กนกวิลล์ 10 ต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ พบของกลางบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 3,828 ชิ้น

​จุดที่ 3 บริเวณหมู่บ้านสมหวัง ต.สันผักหวาน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ พบของกลางบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 33,181 ชิ้น

​(รวมพบบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 36,555 ชิ้น) มูลค่าประมาณ 6,699,000 บาท

​จากการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ได้ให้การว่าทำหน้าที่เป็นพนักงานบรรจุบุหรี่ไฟฟ้าและจัดส่งสินค้าทางไปรษณีย์ให้ลูกค้า โดยอาศัยช่วงเวลากลางคืนในการทำงานและจัดส่งสินค้าในช่วงเช้า โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน เดือนละ 16,000 บาท นอกจากนี้ยังพบว่ามีการติดต่อสั่งซื้อสินค้าทางไลน์แอดซึ่งมี 3 ไลน์แอด มีสมาชิกรวมกว่า 18,000 คน จากการตรวจสอบระบบการซื้อขายพบมีเงินหมุนเวียนประมาณ 30 ล้านบาท ต่อปี ทางชุดจับกุมอยู่ระหว่างขยายผลเส้นทางทางการเงิน ที่มาของบุหรี่ไฟฟ้า และผู้รับผลประโยชน์ตลอดถึงนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดต่อไป..

สมจิตรแสงบันลังค์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญของ ภ.จว.เชียงราย, ภ.จว.พะเยา

แชร์เนื้อหานี้

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงผลการปฏิบัติคดีรายสำคัญ ของ ภ.จว.เชียงราย และ ภ.จว.พะเยา ดังนี้

  1. สภ.เชียงแสน จว.เชียงราย บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 4,800,000 เม็ด
  2. สภ.เชียงคำ จว.พะเยา บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง ตรวจยึดเฮโรอีน 171 แท่ง น้ำหนักประมาณ 66 กิโลกรัม
  3. รวมของกลางยาบ้าจำนวน 4,800,000 เม็ด และ เฮโรอีน 171 แท่ง น้ำหนัก 66 กิโลกรัม

โดยมี พล.ต.ต.สุทธิพงศ์ เป๊กทอง รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.จิตร์พิสุทธิ์ อิ่มสงวน ผบก.สส.ภ.5, พ.ต.อ.อัครภูมิ ชนะใหญ่ รอง ผบก.ภ.จว.พะเยา, นายดนุชา ไชยวงศ์

ผู้แทน ปปส.ภาค 5, พล.ต.สุชาติ พุ่มสุวรรณ ปษ.กกล.ผาเมือง, พ.อ.นิลชัย นิลศาตร์ รอง ผบ.กกล.ผาเมือง, พ.อ.รัชพล สังขบุญชู ผู้ช่วยเลขาธิการ นบ.ยส.35 และ ผกก.สภ.พื้นที่ ร่วมแถลงผลการจับกุม

ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.68 – 24 ต.ค.68

จับกุมคดียาเสพติดจำนวน 1,373 คดีคดียาเสพติดรายสำคัญ 20 คดีตรวจยึดของกลางยาเสพติดยาบ้า 23 ล้านเม็ดเศษไอซ์ 270 กิโลกรัมเศษเฮโรอีน 66 กิโลกรัมเศษเคตามีน 74 กิโลกรัมเศษตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติดมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 7.9 ล้านบาทเศษ…

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สภ.บ้านดู่ จัดกิจกรรม “วันสถาปนา ประจำปี 2568” 🇹🇭ณ สถานีตำรวจภูธรบ้านดู่ จ.เชียงราย

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (17 ตุลาคม 2568) เวลา 07.30 น.พ.ต.อ.ศันย์ชัย พานิชกุล ผกก.สภ.บ้านดู่ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พ.ต.ท.ชาตรี ชราชิต รอง ผกก.ป.สภ.บ้านดู่ พ.ต.ท.สมชาย เด่นตี รอง ผกก.(สอบสวน)

สภ.บ้านดู่ พ.ต.ท.รัฐพัฒน์ ยานะนวล รอง ผกก.สส.สภ.บ้านดู่ พ.ต.ท.ธวัชชัย มูลแก้ว สว.อก.ฯ รรท.สว.จร.สภ.บ้านดู่ พ.ต.ต.สง่า กันหารุ่งเรือง สวป.(ชม.) สภ.บ้านดู่ พร้อมด้วยคณะ กต.ตร.สภ.บ้านดู่ และข้าราชการตำรวจทุกนาย ร่วมกิจกรรม “วันสถาปนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2568”

📍โดยมีการเข้าแถวเคารพธงชาติ
🙏 กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถานีตำรวจภูธรบ้านดู่
🗣️ กล่าวอุดมคติตำรวจ คำปฏิญาณตน และอ่านสาส์นจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ความเสียสละ และความภาคภูมิใจในการเป็นตำรวจของประชาชน

🏅ในโอกาสนี้ ได้มีการมอบใบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ประพฤติปฏิบัติดีเยี่ยม จำนวน 5 นายข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น จำนวน 10 นายผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมของสถานีตำรวจ จำนวน 2 นาย

เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจทุกนาย
ให้มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ และใกล้ชิดประชาชนมากยิ่งขึ้น 💙

วันสถาปนาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ2568 #สภบ้านดู่ #ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายตำรวจเพื่อประชาชน #BanduPolice #PoliceDay #ภาคภูมิใจตำรวจไทย 🚓🇹🇭

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ระทึกกลางดึก! รถต้องสงสัยฝ่าด่านตรวจโชคชัย ตำรวจขับไล่ล่าเข้ามากลางเมืองมุกดาหาร

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 20 ตุลาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ได้ตั้งจุดตรวจบริเวณด่านตรวจโชคชัย ระหว่างปฏิบัติหน้าที่พบรถยนต์ โตโยต้า revo แคป สีดำ หมายเลขทะเบียน บท 6702 มุกดาหาร บรรทุกถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ 2 ถัง ขับมาจากอำเภอเลิงนกทา จ.ยโสธร มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองมุกดาหาร

เมื่อถึงจุดตรวจ คนขับกลับ เร่งเครื่องฝ่าด่านหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขับรถสายตรวจไล่ติดตาม พร้อมประสานกำลังจาก สภ.เมืองมุกดาหาร เข้าสกัดจับ

จนสามารถสกัดรถได้ บริเวณถนนมุกดาหาร–คำชะอี ตรงข้ามสามแยกตาดแคน พบคนขับเป็นชายวัยรุ่น มีหญิงสาวนั่งมาด้วย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวทั้งสอง พร้อมนำรถยนต์ไปตรวจสอบโดยละเอียดที่ สภ.นิคมคำสร้อย

ข่าวด่วน #มุกดาหาร #ตำรวจไล่ล่าคนร้าย #ฝ่าด่านตรวจ #ข่าววันนี้ #อุบัติเหตุ #เหตุระทึก ///เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จนท. ตชด.44 ปอเนาะ ถูกยิงเสียชีวิต ขณะทำการวิสามัญคนร้ายไป 1 ราย จับ 1 ราย ยึดปืน 2 กระบอก/ผู้การแกะ ‘ ผบ.ฉก.ทพ.44 เร่งอพยพนักเรียนปอเนาะ 132 คน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 16 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวปัตตานีรายงานว่า (วานนี้ 15 ตค.) เมื่อเวลาประมาณเวลา 16.00 น. พ.ต.อ.ธีรพจน์ ยินดี ผกก.สภ.สายบุรี จว.ปัตตานี ได้รับแจ้งว่าได้ยินเสียงระเบิด บริเวณสถาบันปอเนาะมะอ์หัด อัตตัรบียาตุลฮะดีซะห์ ม.4 ต.บางเก่า อ.สายบุรี จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนและ ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตชด.44 เข้าไปทำการตรวจสอบ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณโดยรอบ ปรากฏว่าพบชายต้องสงสัยได้วิ่งออกมาจากหอพัก

ซึ่งอยู่ภายในบริเวณสถาบันปอเนาะเเห่งนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นจนกระทั่งจับกุมตัวได้ ทำการค้นในตัวพบอาวุธปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนจึงได้ควบคุมตัว สอบสวนทราบชื่อ นาย ซูรฮาฟีซี สือแม อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53 ม.3 ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติพบว่ามีหมายจับ ป.วิญา จำนวน 1 หมาย จึงได้ทำการจับ

จากนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอกำลังเสริมจากชุดปฏิบัติการร่วมของ จ.ปัตตานี และ กำลังเสริมของกองกำลังทหารพรานจังหวัดภาคใต้ นำกองกำลังเข้าพื้นที่ปะทะ ณะที่ทาง จนท.ได้ เข้าเสริม กำลังเพื่อกระชับพื้นที่ จำกัดวงพื้นที่เพื่อทำการ ปิดล้อม นั้นซึ่งขณะที่ตรวจค้น จนท.ชุดเเรกที่เข้าไปเเละตามตัวมาตลอด จึงได้ประเมิณว่า เชื่อว่าน่าจะมีคนร้ายอีก2-3คนหลบ ซ่อนตัวภายในสถาบันปอเนาะนี้ ภายหลังทราบว่า มีการปิดล้อมพื้นที่ อ.สายบุรี ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปที่เกิดเหตุทันที เนื่องจากเป็นสถาบันปอเนาะ บ่มเพาะความรู้ด้านศาสนาอิสลาม เเต่คนร้ายกลับมาอาศัยอยู่ภายในปอเนาะ จึงได้ทราบอย่างมั่นใจว่ามีคนรเ้ายอีกคนอยู่ภายในปอเนาะจนกระทั่งเวลาผ่านมา 4-5 ชม. ราวๆเวลา 20.30 น.จากนั้นเจ้าที่จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นภายในหอพัก แต่ละหลัง ขณะที่ ด.ต.สมศักดิ์ นาคเสน อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (ตชด.44) ได้เข้าไปตรวจค้นภายในหอพักหลังหนึ่งหรือเรียกว่าปอเนาะหลังปรากฏว่า คนร้ายซึ่งหลบซ่อนตัวภายในตู้เสื้อผ้า ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่ ดต. สมศักดิ์ หลายนัด จนล้มลงกองกับพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

จากนั้นคนร้ายที่ยิง ดต.สมศักดิ์ ได้กระโดดหนีออกจากทางหน้าต่าง เเละคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนที่ยิงไปก่อนนั้นติดตัวไปด้วย ซึ่งขณะกระโดดหนีทางหน้าต่างคนร้ายได้อาวุธปืน ยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อ เปิดเส้นทางหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้ยิงตอบโต้เป็นเหตุทำให้คนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิตทันทีตรงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดอาวุธปืนที่ดังกล่าวไว้เพื่อนำไปพิสูจย์ตามดีเอ็นเอของคนร้ายว่าเคยก่อเหตุที่ไหนมาเเล้วบ้าง ในส่วนของ ดต. สมศักดิ์ ถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี แพทย์พยาบาลได้พยายาม ช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากกระสุนปืนได้เข้าบริเวณศรีษะ และลำตัวหลายนัด ทำให้เสียเลือดมาก ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิต ในเวลาต่อมา

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาล ผบก.ภ.จว.ปัตตานี เดินทางไปที่เกิดเหตุ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและทำการสืบสวนสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องว่าคนร้ายที่เสียชีวิตและผู้ต้องหาเข้ามาภายในสถาบันปอเนาะได้อย่างไร
ตำรวจและทหารพรานที่ขอกำลังเสริมมานั้นรอฟังคำสั่งจาก ผ.บเหตุการณ์
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสืบ

เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าได้ยินเสียงระเบิดบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสถาบันปอเนาะดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับรายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง ขณะตรวจสอบก็ไม่พบจุดที่เกิดระเบิด แต่ด้วยก่อนหน้านี้ได้รับแจ้ง จากสายข่าวในพื้นที่ว่า มีกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการเข้ามาหลบซ่อน และใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ฝึกอาวุธและร่างกายเพื่อเตรียมที่จะก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้น อย่างละเอียด กระทั่งเกิดการปะทะกันขึ้นกับคนร้ายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 1 ราย ฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย สำหรับผู้ต้องหาที่จะจับกุมได้นั้นได้กำชับให้ทำการสอบสวนขยายผลต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง เพิ่มมาตรการคุมเข้มสถานที่ต่างๆ และดูแลความปลอดภัยประชาชนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันกลุ่มก่อความไม่สงบตอบโต้ ส่วนคนร้ายที่เสียชีวิตนั้นยังต้องรอการพิสูจน์ลายนิ้วมือว่าเป็นใคร ส่วนอาวุธปืนที่ยึดได้จากศพและยึดได้จากผู้ต้องหาได้สั่งการให้ตรวจสอบว่าอาวุธปืนทั้งสองกระบอกเคยก่อเหตุที่ใดมาบ้าง เชื่อว่าจะมีการเชื่อมโยงอีกหลายคดี

ภาพข่าว/ ตอริก สหสันติวรกุล ปัตตานี

ผู้การแกะ ‘ ผบ.ฉก.ทพ.44 นำกำลังเจ้าหน้าที่เร่งอพยพนักเรียนปอเนาะ 132 คน หลังเหตุปะทะในพื้นที่ ต.บางเก่า อ.สายบุรี (วานนี้ 15 ตค.68) โดยเข้าไปช่วยเหลือกำชับ เน้นความปลอดภัยของเยาวชน

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันที่ 16 ตค 68 จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าบังคับใช้กฎหมายในบริเวณโรงเรียนปอเนาะ ม.4 ต.บางเก่า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 มีรายละเอียดสำคัญดังนี้:

เหตุการณ์ปะทะและการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีการใช้พื้นที่บางส่วนของสถาบันปอเนาะเป็นแหล่งหลบซ่อนและฝึกฝนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ


จนเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มคนร้าย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ EOD เสียชีวิต 1 นาย คนร้ายเสียชีวิต 1 ราย และจับกุมได้อีก 1 ราย ทางด้านคนร้ายที่ผู้เสียชีวิตจากเหตุวิสามัญ คือ นายมูลฮัมหมัด เจ๊ะโดสามะ ซึ่งมีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี

โดยในช่วงเหตุการณ์ที่ทางจนท.ได้พบบุคคลเป้าหมาย จนเกิดเหตุปะทะกัน ซึ่งขณะนั้นนักเรียนหลายร้อยคนยัง อยู่ภายในปอเนาะทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยนักเรียนในโรงเรียนปอเนาะจำนวน 132 คน (ชาย 83 คน หญิง 49 คน) จึงถูก จนท.ทหารพรานช่วยอพยพไปยังโรงเรียนบ้านป่าทุ่ง ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทหารพราน 4404 ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ มีการประสานให้ผู้ปกครองมารับบุตรหลานกลับบ้าน เนื่องจากนักเรียนหลายคนอยู่ในอาการตื่นตกใจและหวาดกลัวจากเหตุการณ์

ผู้สื่อข่าวยังมีรายงานเพิ่มเติม อีกว่า พันเอก ณัฐวุฒิ ศรีสังข์ ผบ.ฉก.ทพ.44 ได้วิทยุ สั่งข้อสั่งการจากแม่ทัพพภาคที่4 ที่ได้กำชับไปยัง ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต) เฝ้าระวังอย่างสุดขีดกำลังซึ่งจะอาจเกิดเหตุ โดยเฉพาะพื้นที่ จุดเปราะบาง โดยใช้การเช็ควิทยุสื่อสาร สื่อสารกันถึงมาตรการป้องกันที่อาจจะต้องเพิ่มเติมเพื่อจำกัดเสรีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงงที่ยังกบดานอยู่หลายคนในพื้นที่ อ.สายบุรี , ไม้แก่น , กะพ้อ , ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี

พันเอก ณัฐวุฒิ ศรีสังข์ ผบ.ฉก.ทพ.44 ยังเผยอีกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดในพื้นที่ และความจำเป็นในการดูแลความปลอดภัยของเยาวชนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในสถานศึกษาที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยและสงบ หากคุณต้องการให้ฉันช่วยร่างข่าวประชาสัมพันธ์หรือโพสต์สำหรับสื่อสังคมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ฉันสามารถช่วยได้ทันที

นอกจากนี้แล้ว ทาง จนท. ฝ่ายความมั่นคงได้แจ้งเตือนข่าวให้ทุกฐานปฏิบัติการในพื้นที่ยกระดับมาตรการความปลอดภัย เพื่อป้องกันการตอบโต้จากกลุ่มผู้ก่อเหตุ

// ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน //

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ชาวไทยมุสลิมนับร้อยคน ถูกลอยแพ ทิ้งกลางสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ บริษัททัวร์ปิดหนี กบดานศรัทธากับความสิ้นหวัง สูญนับร้อยล้านบาท

แชร์เนื้อหานี้

จากกรณีเกิดความวุ่นวายที่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา สืบเนื่องจาก ผู้เดินทางไปแสวงบุญอุมเราะฮฺ จำนวน 170 คน ที่ เตรียมออกเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทุกคนที่จะเดินทาง และญาติพี่น้องที่มาส่ง ต่างพากันรอเพื่อเตรียมตัว กันขึ้นเครื่องเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปยังประเทศซาอุดิอารเบีย แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง ปรากกว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ ของบริษัทดังกล่าวมาแสดงตัว ทุกคนได้พยายามติดตาม บริษัทแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งทางบริษัทได้ ส่งข้อความ ทางไลน์กลุ่มของผู้ที่จะเดินทางว่า “ไม่สามารถเดินทางได้” ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่า ถูกหลอก ทำให้บรรยากาศวันดังกล่าวทุกคนที่คาดหวังว่าจะเดินทางไปอุมเราะห์ต่างผิดหวังและร้องไห้ รวมไปถึงญาติ ๆ ที่มาส่งกัน ต่างได้รับความเสียใจอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งของชาวมุสลิมจะเก็บเงินไปแสงบุญ

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด วานนี้ วันที่ 14 ตค. เวลา 13.30 น. กลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 41 คน ทั้งจากจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับบริษัทผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว โดยมี พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี ,พ.ต.ท.ศักดิ์อนันตื คำไสย รอง ผกก.ทท.หาดใหญ่ และ พ.ต.ท.ณัฐวรรธน์ สงคง สว.ทท.นราธิวาส รวมถึงเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ จชต.โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันจะรวบรวมหลักฐาน เพื่อเอาคนผิดมาดำเนินคดี โดยความเสียหายเบื้องต้น ร่วม 10 กว่าล้านบาท

โดยบริษัทดังกล่าวมีชื่อว่า รุส ฮัจญ์ แอนด์ ทราเวล ผู้เสียหายแต่ละรายระบุว่า ได้จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้ว รายละเกือบ 60,000 -100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อไปแสวงบุญ แต่กลับถูกลอยแพไม่ทราบชะตากรรมของผู้จัดการบริษัท ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าของบริษัทหายตัวไปอย่างเงียบ และหลังจากเหตุการณ์ 1 วัน ทางบริษัทได้โพสข้อความแสดงคำขอโทษ และจะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนแก่ผู้เสียหายภายใน 5 เดือน และไม่มีการติดต่อมาอีกเลย เบื้อต้นมีผู้เสียหายราย 170 ราย

ดำเนินการเพราะผู้เสียหายครั้งนี้มีเป็นจำนวนมาก พร้อมยืนยันจะรวบรวหลักฐาน เพื่อเอาคนผิดมาดำเนินคดี โดยความเสียหายเบื้องต้น ร่วม 10 กว่าล้านบาทนางรอดีย๊ะ อาแว ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มของตนมีกำหนดเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยก่อนเดินทางหนึ่งวัน ได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มไลน์เกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทาง แต่ปรากฏว่าไม่มีคำตอบชัดเจนจากทางบริษัท ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและสงสัยว่าทำไมบริษัทไม่แจ้งข้อมูล หรือกำหนดเวลาเดินทางให้แน่ชัด

ต่อมาทางบริษัทได้แจ้งเพิ่มเติมว่า ไม่สามารถเดินทางได้ เนื่องจาก แพ็กเกจที่ทุกคนซื้อไปไม่พอจ่าย และขอให้ผู้เดินทางทุกคนโอนเงินเพิ่มคนละ 15,000 บาท โดยยืนยันว่าหากชำระเพิ่มแล้วจะสามารถเดินทางได้แน่นอน ด้วยความตั้งใจและศรัทธาที่อยากไปประกอบพิธี ทุกคนจึงยอมโอนเงินไปตามที่บริษัทแจ้ง

แต่สุดท้าย บริษัทกลับเงียบหายไป และปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด ไม่สามารถติดต่อได้อีกทุกคนเสียใจมาก คืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลย… ส่วนตนก็รู้สึกจุกในใจมาก เพราะตั้งใจจะพาแม่ ๆ ป้า ๆ ไปทำอุมเราะห์ แต่สุดท้ายกลับต้องเห็นพวกเขาร้องไห้กันหมดนางกุลยา เจะเลาะ ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนรออยู่ที่สนามบิน ด้วยความหวัง ว่าจะได้เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ แต่เมื่อรอแล้วรออีก ก็เริ่มรู้ชะตากรรมว่าคงไม่ได้ไปต่อ ด้วยความอยากไป จึงลองไปตรวจสอบตั๋วที่สนามบิน ปรากฏว่าไม่มีชื่อของตนอยู่ในรายชื่อผู้โดยสาร ทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ก็ยังคงยืนรอต่อไป

ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาร่วมเดินทางก็น่าสงสารมาก โดยเฉพาะเมาะ (คนแก่) บางคนที่เดินทางมาไกล ตั้งแต่ตี 2 มานั่งรอจนฟ้าสว่าง สุดท้ายก็ไม่ได้ไป และไม่มีใครจากบริษัทออกมาดำเนินการหรือชี้แจง ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ ตาแดงกันไปหมดเงินหามาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกเสียไปแล้ว เพราะตนตั้งใจอย่างมากที่จะไปทำอุมเราะห์ กว่าจะได้ลางานไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งแพ็กเกจนี้ตนชำระเงินล่วงหน้าไปกว่า 3 เดือน แต่สุดท้ายบริษัทกลับทำกับเราด้วยวิธีแบบนี้ ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อเจอปัญหาเดียวกัน ทุกคนต่างพากันกอดกันท่ามกลางน้ำตา

ด้าน พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี เปิดเผยว่า วันนี้มีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความราว41ราย และยังมีผู้เสียหายอื่นๆอีกที่กำลังจะเข้ามาแจ้งความเพิ่ม โดยส่วนใหญ่ผู้เสียหายได้มีการโอนไป และบ้างรายก็จ่ายสด 8-9หมื่นบาท บางราย เสียหาย1แสนบาทซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้แนะนำผู้เสียหายให้รวบรวมหลักฐานทั้งสลิปการโอน แชทสนทนา กำหนดการเดินทาง หรือเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาประกอบพยานหลักฐานมาดำเนินคดีต่อไป // ตอริก สหสันติวรกุล ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ปัตตานี

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ภ.7 นำร่อง “ไกลกังวล หัวหิน โมเดล” ติดตั้งระบบ AI ป้องกันภัยรอบวังไกลกังวลและนครหัวหิน

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 14 ต.ค.68 ที่ห้องประชุมกองอำนวยการร่วมถวายความปลอดภัย วังไกลกังวล (ปภ.97) อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ พล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ ผบช.ภ.7 เป็นประธานแถลงข่าวโครงการหัวหินเมืองปลอดภัยกับโครงการเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยบริเวณโดยรอบวังไกลกังวล

ด้วยระบบ Ai และกล้องวงจรปิด (CCTV) มี นายปรีดา สุขใจ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ, พล.ต.ต.ไพศาล พฤกษจำรูญ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.อาทร ชิ้นทอง ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ, พ.ต.อ.กัมปนาท ณ วิชัย ผกก.สภ.หัวหิน, พ.ต.ท.สัตยา เสโล่รังสี รอง ผกก.ถวายอารักขาและรักษาความปลอดภัย

หัวหน้าควบคุมทีมปฎิบัติงานดูแลระบบกล้องวงจรปิด (Ai), นายกิตติชัย ศรีทองช่วย ปลัดอำเภอหัวหิน, นายจีรวัฒน์ พราหมณี ปลัดเทศบาลนครหัวหิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟพล.ต.ท.พิสิฐ ตันประเสริฐ กล่าวว่า สืบเนื่องจากวังไกลกังวลเป็นเขตพระราชฐานที่มีความสำคัญ ทางตำรวจภูธรภาค 7 จึงได้เปิดตัวนวัตกรรม กล้องวงจรปิดระบบปัญญาประดิษฐ์ Ai

เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยบริเวณวังไกลกังวลและนครหัวหิน โดยระบบ Ai ตัวนี้จะสามารถวิเคราะห์ภาพจากกล้อง CCTV ได้แบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับพฤติกรรมหรือวัตถุต้องสงสัยโดยอัตโนมัติ เช่น การบุกรุกพื้นที่หวงห้าม การตรวจจับอาวุธ เช่น ปืน มีด หรือการระบุตัวบุคคลตามบัญชีเฝ้าระวัง (Blacklist) เพื่อตรวจสอบใบหน้าที่เชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถรับรู้และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ระบบปฏิบัติการดังกล่าวครอบคลุมพื้นรอบวังไกลกังวลโดยมีจำนวนกล้องทั้งสิ้น 24 ตัว พร้อมกันนี้เราได้เชิญทางจังหวัด อำเภอ เทศบาล เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ เนื่องจากหัวหินเป็นพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการมาก ถ้าสามารถเป็นประโยชน์ได้ก็จะนำไปต่อยอดในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวและการป้องกันอาชญากรรมไปด้วย

สำหรับโครงการนี้ก็ยังจะขยายไลน์ออกไปยังแหล่งศูนย์ท่องเที่ยวของนครหัวหิน และที่อื่น ๆ ในแต่ละจังหวัดของภาค 7 โดยจะเรียกว่า “ไกลกังวล หรือ หัวหิน โมเดล” เพื่อดูแลความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781