คลังเก็บหมวดหมู่: ไม่มีหมวดหมู่

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “มิสเตอร์เอทานอล-อลงกรณ์”ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่อัพเกรดอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ฮับเอทานอลE100 ของโลก

แชร์เนื้อหานี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล” ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT) ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท(WCF)และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.(FKII) บรรยายพิเศษในการเสวนา “ เชื้อเพลิงชีวภาพ Biofuel   พลังงานเกษตรแห่งอนาคต” จัดโดยสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)
ในงาน มหกรรมยานยนต์นานาชาติ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 42  วันพฤหัส ที่ 4ธันวาคม  พศ.2568 ภายใต้ธีม “🇹🇭 ประเทศไทย: เกษตรมั่งคั่ง พลังงานยั่งยืน“ในหัวข้อ
“เอทานอล E100: มิติใหม่เชื้อเพลิงชีวภาพและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”

โดยตั้งคำถามว่า เราจะยอมให้การลงทุนและองค์ความรู้กว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องสูญเปล่าไปหรือไม่? เรามีทางเลือกที่จะ “ต่อยอด” อุตสาหกรรมนี้ได้หรือไม่? ปัจจุบัน ประเทศไทยมียานยนต์จดทะเบียนสะสมรวมกว่า 44.9 ล้านคัน เป็นยานยนต์สันดาปถึง 98% และเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 12 ของโลก พร้อมกับเสนอวิสัยทัศน์เชิงปฏิรูปสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์แนวทางใหม่อย่างน่าสนใจว่า
สหรัฐฯ, จีน, และประเทศอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาด EV
ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพอันโดดเด่นด้านเกษตรพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถเลือกเดินในทิศทางใหม่เพื่อการเป็น “ศูนย์กลางยานยนต์ E100 แห่งแรกของโลก” ด้วยแนวทางใหม่ที่ผสานพลังงานเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต

โดยมีเนื้อหาการบรรยายดังนี้ “🇹🇭 ประเทศไทย: เกษตรมั่งคั่ง พลังงานยั่งยืน“ในหัวข้อ “เอทานอล E100: มิติใหม่เชื้อเพลิงชีวภาพและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”โดย นายอลงกรณ์ พลบุตรมิสเตอร์เอทานอลประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท(WCF)
ประธานกิตติมศักดิ์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT)ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.(FKII)
4 ธันวาคม พ.ศ. 2568บรรยายพิเศษในงาน มหกรรมยานยนต์นานาชาติ Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 42“ ถ้าเอไอ.คืออนาคตของเทคโนโลยีเอทานอลคืออนาคตของพลังงานที่ยั่งยืนของไทยและของโลก..มิสเตอร์เอทานอล“

ภายใต้ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และโลกเดือด ทั่วโลกกำลังแสวงหาแนวทางสร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหารของตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงมากขึ้นในหลายภูมิภาคและภัยคุกคามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว(Extreme Climate Change)โดยเฉพาะคำเตือน”ไฮเวย์สู่นรกภูมิอากาศ“ของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติจากการประชุมCOP30 ที่บราซิลเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและถัดมาไม่กี่วันสหภาพยุโรปก็ประกาศนโยบายปลดแอกด้านพลังงานด้วยความตกลงร่วมกันที่จะไม่นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียภายในปลายปี 2570 โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยุติการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียที่เป็นยาวนานหลายทศวรรษ

ความท้าทายของประเทศไทย: พลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคที่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นเทรนด์โลกและมีอัตราการเติบโตสูงถึงกว่า 50% ต่อปี หลายคนอาจตั้งคำถามว่ายานยนต์สันดาปภายใน (ICE) กำลังจะถึงจุดจบหรือไม่?
นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญ:

  • ระบบส่งกำลัง มูลค่ากว่า 4.2 แสนล้านบาท อาจสูญพันธุ์
  • โรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 2,500 แห่ง ต้องปรับตัวครั้งใหญ่
  • ศูนย์บริการและอู่ซ่อมรถ 35,000 แห่ง อาจต้องปิดตัว
  • เราจะยอมให้การลงทุนและองค์ความรู้กว่า 50 ปีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องสูญเปล่าไปหรือไม่? เรามีทางเลือกที่จะ “ต่อยอด” อุตสาหกรรมนี้ได้หรือไม่? ปัจจุบัน ประเทศไทยมียานยนต์จดทะเบียนสะสมรวมกว่า 44.9 ล้านคัน เป็นยานยนต์สันดาปถึง 98% และเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 12 ของโลก
  • วิสัยทัศน์ใหม่สู่ศูนย์กลาง E100 ของโลก
  • สหรัฐฯ, จีน, และประเทศอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาด EV
  • ประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพอันโดดเด่นด้านเกษตรพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถเลือกเดินในทิศทางใหม่เพื่อการเป็น “ศูนย์กลางยานยนต์ E100 แห่งแรกของโลก” ด้วยแนวทางใหม่ที่ผสานพลังงานเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต

ศักยภาพเอทานอล:จุดเปลี่ยนพลังงาน-อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีค.ศ. 2000 ปีแรกของศตวรรษที่ 21ประเทศไทยได้เริ่มต้นศักราชใหม่ของเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอลมาแล้วกว่า 25 ปีปัจจุบันมีโรงงานเอทานอล 28 แห่ง ทั่วประเทศ รวมกำลังการผลิต 7.8 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อผลิตแก๊สโซฮอล์ E10, E20, และ E85 จำหน่ายทั่วประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศเป็นลำดับต้นของโลกนับเป็นฐานสำคัญที่ เราสามารถยกระดับเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมใหม่ระดับโลก ด้วยการเป็น “ศูนย์กลางยานยนต์และเชื้อเพลิงชีวภาพ E100 ของโลก”บราซิล: ตัวอย่างที่พิสูจน์แล้วบราซิลเป็นผู้นำโลกด้านยานยนต์ Flex-Fuel (FFV:Flex-Fuel Vehicles) ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ E27 (แก๊สโซฮอล์ 27%) จนถึง E100 (เอธานอล 100%) โดยตลาดรถยนต์บราซิลพิสูจน์แล้วว่า เทคโนโลยี Flex-Fuel สามารถประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ โดยมีรถยนต์จากทุกแบรนด์ใหญ่รองรับ E27-E100 มีรถ Flex-Fuel เกือบ 40 ล้านคัน

รถยนต์ Flex-Fuelในบราซิล

1.Volkswagen เยอรมนี ครองส่วนแบ่งตลาด 22.3% เริ่มผลิตปี 20032.Fiat อิตาลี 21.5% 2004
3.General Motors (Chevrolet) สหรัฐอเมริกา 18.7% 2004
4.Toyota ญี่ปุ่น 9.2% 2006
5.Hyundai เกาหลีใต้ 8.5% 2009
6.Renault ฝรั่งเศส 7.1% 2006
7.Honda ญี่ปุ่น 4.8% 2006
8.Ford สหรัฐอเมริกา 4.5% 2004
9.Nissan ญี่ปุ่น 2.1% 2010เทคโนโลยี E100
เทคโนโลยี E100ใช้งานปัจจุบัน

  • Bosch ได้พัฒนาระบบ Flex-Fuel ที่ใช้ได้ทั้ง E100 และน้ำมันเบนซิน
  • Magneti Marelli ได้พัฒนาชุดหัวฉีดพิเศษสำหรับเอทานอล
  • การพัฒนาเครื่องยนต์ E100 ประสิทธิภาพสูง
  • การออกแบบเกียร์พิเศษที่รองรับแรงบิดสูงของเอทานอล
  • การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการเผาไหม้ที่แม่นยำ

บราซิลได้ดำเนินนโยบายเอทานอลมาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจน:

  • ยานยนต์ Flex-Fuel คิดเป็น 85% ของรถยนต์ใหม่ที่จำหน่าย
  • สามารถลดการนำเข้าน้ำมันได้ 120,000 ล้านดอลลาร์
  • สร้างงานในภาคเกษตรกรรมได้ถึง 1.5 ล้านตำแหน่ง
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล
  • ด้วยการพัฒนาเหล่านี้ อุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
  • พิมพ์เขียวและเป้าหมายใหม่ของไทย (Thai E100 Blueprint)

จากความสำเร็จของบราซิล ประเทศไทยสามารถพัฒนาสู่ศูนย์กลางยานยนต์และเชื้อเพลิงชีวภาพ E100 ของโลกได้ โดยมีเป้าหมายหลัก 10 ข้อ:

I. เป้าหมายเชิงเศรษฐกิจและการส่งออก

  1. ส่งออกยานยนต์ E100 500,000 คันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 350,000 ล้านบาท
  2. เป็น Hub การผลิตชิ้นส่วน E100 ของโลก เช่น ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงและถังน้ำมันที่ทนทานต่อการกัดกร่อนของเอทานอล
  3. ส่งออกชิ้นส่วน E100 สู่ตลาดโลก มูลค่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
  4. เพิ่มมูลค่าส่งออกเอทานอล 50,000 – 70,000 ล้านบาทต่อปี
  5. ส่งออกเทคโนโลยี E100 ไปยังประเทศเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เช่น บราซิล อินเดีย และประเทศในอาเซียน

II. เป้าหมายด้านสังคมและเกษตรกรรม

  1. สร้างงานและรายได้ ให้เกษตรกรกว่า 2.3 ล้านครัวเรือน ให้ก้าวข้ามความยากจน
  2. สร้างงานใหม่ ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม 65,000 อัตรา

III. เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางพลังงาน

  1. ลดการนำเข้าน้ำมันดิบ ได้ 60,000 – 70,000 ล้านบาทต่อปี
  2. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ได้ถึง 6.5 ล้านตันต่อปี และลดการปล่อย PM2.5 ได้ 30% – 40%
  3. กำหนดมาตรฐาน E100 (Thai E100 Standard) สู่มาตรฐานโลก

แผนยุทธศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transformation Period)
เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น เราต้องเดินหน้าพร้อมกันในหลายมิติ:

  1. ยานยนต์สะสม: ยานยนต์เบนซินกว่า 44 ล้านคัน ยังคงใช้แก๊สโซฮอล์ E10, E20, E85 ต่อไป
  2. ยานยนต์ใหม่: ส่งเสริมให้ยานยนต์รุ่นใหม่ใช้ E100
  3. การผลิต: ส่งเสริมการตั้งโรงงานเอทานอลเพิ่มขึ้น และสนับสนุนการปลูกอ้อยและมันสำปะหลังแบบสมาร์ทฟาร์มแปลงใหญ่
  4. พัฒนาต่อยอดสู่เศรษฐกิจอนาคต(New S-Curve-Future Economy) Bio-refinery, Ethanol & Biodiesel Gen2, SAF (Sustainable Aviation Fuel), PHEV ,Hydrogen & Fuel Cell ,Future Food&Health Innopolis

ปัจจัยความสำเร็จ: ก้าวที่กล้าเดินเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ความสำเร็จของวิสัยทัศน์นี้ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญในการตัดสินใจและปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ:

  1. นโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน จากภาครัฐ
  2. การพัฒนารถยนต์ Flex-Fuel ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำ
  3. ระบบกระจายเชื้อเพลิง ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
  4. การกำหนดราคาเอทานอล ที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน
    5.การตรากฎหมายเชื้อเศรษฐกิจชีวภาพ-เชื้อเพลิงชีวภาพ หนทางแห่งโอกาสยังยาวไกล แต่ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเริ่ม ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน
    การตัดสินใจครั้งสำคัญคือการเลือกว่า ประเทศไทยจะเลือกเป็น“ผู้ตาม”หรือ”ผู้นำระดับโลก(Global Leader)”ของอุตสาหกรรมพลังงานและยานยนต์ของโลกในการสร้างเศรษฐกิจใหม่(New Economy)ตอบโจทย์อนาคตการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายใหม่ๆท่ามกลางภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศแบบสุดขั้วรวมทั้งผลกระทบจากภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ในวันนี้และวันหน้า.

ทั้งนี้ นายสุเมฆ  ปัณฑรานุวงศ์  ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT) ได้กล่าวเปิดเสวนาโดยพูดถึงที่มาของการจัดเสวนาว่ามูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT)องค์กรสาธารณกุศลไม่แสวงหากำไร ได้รับการสนับสนุนจากนาย ขวัญชัย ปภัส์รพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สื่อสากลจำกัด
ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์นานาชาติ  “ อลังการ งานแสดง “ ครั้งที่ 42/2568  ให้ความสำคัญส่งเสริมนโยบายภาครัฐ  การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดสภาวะโลกร้อน สู่สังคม Net Zero   ในปี  2050 (พศ.2593) ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่   พลังงานทดแทน พลังงานธรรมชาติ เป็น พลังงานทางเลือกมาใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลและถ่านหิน……พลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ Biofuel  เป็นพลังงานหมุนเวียน สามารถผลิตขึ้นใหม่ได้ จากพืชผลผลิตจากการเกษตรวัสดุใช้แล้ว เป็นพลังงานทางเลือก ที่ประเทศต่างๆให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่มีพื้นฐานทางด้านการเกษตร…..ประเทศไทยเรามีศักยภาพสูงมาก.
นอกจากนี้ยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิร่วมนำเสนอและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความรู้และประสบการณ์ได้แก่

พลเรือเอก ดร.สมัย ใจอินทร์     รองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)วิศวกรเครื่องกลอังกฤษ์  ที่ปรึกษาบริษัทใหญ่ทางด้านขนส่ง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเชื้อเพลิง ไบโอ ดีเซล ศึกษาวิจัยและพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก ได้แลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์จริง “ 25 ปี โครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ  เหลียวหลังแลหน้า “
ดร.บุรินทร์   สุขพิศาล    อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ” อ้อยและปาล์ม จากพลังงานที่รัฐต้องอุดหนุน สู่พลังงานที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน .”
นายสุรพร เพชรดี ผู้จัดการใหญ่ บริษัท BSGF จำกัด   ในกลุ่มบางจาก ครั้งแรกของประเทศไทยกับการผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืน SAF (Sustainable Aviation Fuel )
ดร.เสกสรร พาป้อง   ผู้เชี่ยวชาญวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัย MTEC   แนวทางพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานความยั่งยืนของวัตถุดิบขบวนการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)
ดำเนินรายการโดย คุณธิบดี หาญประเสริฐ นายกสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย (สวยท.) รองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย(AIT)
คุณพัฒนา  ทิวะพันธุ์     กรรมการบริหารและเลขาธิการมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AIT.

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สพป.น่าน เขต 1 เขต 2 และเครือซีพี ดันโครงการ “ซีพีน่านปันปลูก ปันรัก” ปีที่ 4 ส่งเสริมทักษะอาชีพ–เสริมอาหารกลางวันเด็กน่าน

แชร์เนื้อหานี้

อีกโครงการสำคัญของวงการศึกษาและภาคเอกชน สพป.น่าน เขต 1 และ เขต 2 จับมือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) โดย สำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชน จ.น่าน เดินหน้า “โครงการซีพีน่านปันปลูก ปันรัก ปีที่ 4” เปิดพื้นที่นอกห้องเรียนให้นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ และร่วมสร้างความ

มั่นคงทางอาหารให้โรงเรียนในพื้นที่ จ.น่านอย่างยั่งยืน
โครงการฯ ในปีการศึกษา 2568 ขยายผลสู่ 8 โรงเรียน ได้แก่
รร.ป่าแลวหลวงวิทยา อ.สันติสุข รร.บ้านซาวหลวง อ.เมืองน่าน
รร.บ้านนาเหลืองไชยราม อ.เวียงสา รร.บ้านน้ำแก่นเหนือ อ.ภูเพีย รร.ภูเค็งพัฒนา อ.เวียงสา รร.บ้านบ่อหอย อ.เวียงสา
รร.ตาลชุมมิตรภาพ 186 อ.ท่าวังผา รร.พระพุทธบาทวิทยา อ.เชียงกลาง

โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิเชียร วาพัดไทย ผอ.สพป.น่าน เขต 1
คุณพรชัย นาชัยเวียง รอง ผอ.สพป.น่าน เขต 2 คุณบัญชา โชติกำจร ผอ.สนง.ด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชน เครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณเอกชัย ไชยชมพู ผู้จัดการเขต ซีพีออลล์ น่าน
ร่วมเปิดกิจกรรมและให้กำลังใจนักเรียนถึงพื้นที่ โครงการมุ่งเน้นให้เด็กๆ ได้ “ลงมือจริง” ตั้งแต่การผสมดิน ปลูกผัก ดูแลผลผลิต ไปจนถึงเก็บเกี่ยวและจำหน่าย

โดยนำผลผลิตเข้าสู่ โครงการอาหารกลางวัน ช่วยลดต้นทุนให้โรงเรียน พร้อมต่อยอดเป็น “รายได้เสริม” ภายในโรงเรียนและชุมชนรอบข้าง คุณบัญชา โชติกำจร ผู้อำนวยการสำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชน เครือซีพี กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่ 4 ของโครงการ เราไม่ได้ปลูกแค่ผัก แต่เราปลูกทักษะชีวิตให้เด็กๆ

ด้วย เขาได้ทั้งความรู้เรื่องอาชีพ ได้ลองขาย ได้สร้างรายได้เล็กๆ จากผลผลิตของตัวเอง ช่วยโรงเรียนลดต้นทุนอาหารกลางวัน และสร้างประโยชน์ให้ชุมชนด้วย” ปีนี้ซีพีสนับสนุน ต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์คุณภาพ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว คะน้า มะเขือเจ้าพระยา พริก ถั่วฝักยาว ให้โรงเรียนปลูกหมุนเวียนได้ตลอดปีการศึกษา นำไปใช้ในโคงการอาหารกลางวันและจำหน่ายได้จริง

โครงการ “ซีพีน่านปันปลูก ปันรัก” ถือเป็นหนึ่งในโมเดลความร่วมมือสำคัญของภาครัฐ–เอกชนในจังหวัดน่าน ที่เดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหาร ควบคู่พัฒนาทักษะเด็กและเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จิตอาสาบางปูรวมพลัง ร่วมทำความดีถวายพ่อหลวงรัชกาลที่ 6 ครบรอบ 100 ปี วันสวรรคต

แชร์เนื้อหานี้

เทศบาลตำบลบางปู จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ณ สวนสุขภาพเจริญสุข (วังปลา) ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.00 น.

ที่ สวนสุขภาพเจริญสุข (วังปลา) ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรปราการเทศบาลตำบลบางปู จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กิจกรรมจิตอาสาพัฒนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โดยมีนาย ศุภมิตร ชินศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ

ประธานในพิธีกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมด้วยนายธีรพล ชุนเจริญ นายกเทศมนตรีตำบลบางปู นางสาวปารณีย์ นาคคำ ปลัดเทศบาลตำบลบางปู คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาเทศบาล พนักงานเทศบาล ลูกจ้างประจำ พนักงานจ้าง หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอก ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนจิตอาสาในพื้นที่เทศบาลตำบลบางปู เข้าร่วมกิจกรรม

วันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี หรือที่เรียกว่า “วันวชิราวุธ” และ “วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” โดยรัฐบาล

ได้ประกาศให้วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เป็นการจัดงานเฉลิมพระเกียรติครบรอบ 100 ปี แห่งการสวรรคต ส่วนราชการจัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อถวายเป็นสาธารณกุศล แสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทั้งนี้ เทศบาลตำบลบางปู ได้สืบสานพระราชปณิธานของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พร้อมปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนตระหนักและให้ความสำคัญในการเป็นจิตอาสาบำเพ็ญ

สาธารณประโยชน์เป็นพลังของชุมชน ต่อไป โดยส่งเสริมให้พนักงานเทศบาล ทุกคน และประชาชนในพื้นที่ มีส่วนร่วมในการดำเนิน กิจกรรมจิตอาสาสาพัฒนา ทำความสะอาดจัดเก็บขยะบริเวณโดยรอบสวนสุขภาพเจริญสุข การตัดแต่งต้นไม้ เก็บขยะวัชพืชทางน้ำ และเก็บขยะทางรถจักรยาน


เดี่ยว / ศราวุธ คงสินธ์ จ.สมุทรปราการ

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เตรียมแผนลดอุบัติเหตุปี 2569/ปะทิวจัดแข่งขันเรือยาว 6 ฝีพายสุดคึกคัก พร้อมสืบสานประเพณีลอยกระทงบ้านบางแหวน

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ครั้งที่ 3/2568 ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting) จากห้องประชุม 1 ปภ. อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีคณะกรรมการศปถ.จังหวัดชุมพรเข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมเกาะลังกาจิว ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดชุมพร

การประชุมครั้งนี้ได้หารือแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนทั่วประเทศ พร้อมรับทราบการจัดกิจกรรมรณรงค์ “วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims)” และการเตรียมจัดกิจกรรม “วันความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน” ในวันที่ 21 มกราคม 2569 เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงความสูญเสียและความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาร่างแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลและวันหยุดสำคัญ ประจำปี 2569 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานในจังหวัดและระดับประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้ตามแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2565–2567

นายเธียรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดชุมพรให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมกันสร้างถนนปลอดภัย “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” เพื่อให้ชุมพรเป็นเมืองแห่งความปลอดภัยในการเดินทางอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ จังหวัดชุมพรขอความร่วมมือประชาชนทุกคนร่วมกันป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ดื่มสุราก่อนและขณะขับรถ สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อขี่จักรยานยนต์ คาดเข็มขัดนิรภัยเมื่อนั่งรถยนต์ ไม่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับขี่ และตรวจสอบสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นบนท้องถนน

ครูศรียาภัยถ่ายทอดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระพันปีหลวง ด้วยปลายดินสอแห่งความจงรักภักดี
ธนากร โกศลเมธี รายงาน 081-8923514 ครูสอนศิลปะโรงเรียนศรียาภัย จังหวัดชุมพร ถ่ายทอดความรู้สึกแห่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านปลายดินสอ

สร้างสรรค์ผลงานพระบรมสาทิสลักษณ์ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” คู่กับ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” สื่อถึงความรัก ความผูกพัน และการครองชีวิตคู่ที่ควรเป็นแบบอย่างของพสกนิกรชาวไทย
นายประสิทธิ์ เพ็ชรจร ครูสอนศิลปะโรงเรียนศรียาภัย อำเภอเมืองชุมพร เปิดเผยว่า ตนรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์พระบรมสาทิสลักษณ์ทั้งสองพระองค์ มาจากความประทับใจที่ได้เห็นพระองค์ทั้งสองทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่กันเสมอ ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปแห่งหนใด สมเด็จพระพันปีหลวงจะทรงติดตามไปด้วยเสมอ แสดงถึงความรัก ความเสียสละ และความผูกพันอันลึกซึ้ง เป็นชีวิตคู่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนไทยทุกคน

ผลงานพระบรมสาทิสลักษณ์ของครูประสิทธิ์เคยได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ “เรื่องสั้นเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชุด แสงธรรมแห่งศรัทธา” ประพันธ์และเรียบเรียงโดย “พลอยพันแสง” ซึ่งเคยวางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศเมื่อกว่า 10 ปีก่อน และได้รับคัดเลือกจัดแสดงในนิทรรศการศิลปะทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่มหลายครั้งครูประสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพวาดทั้งสองใช้เทคนิคดินสอผสมคาร์บอนและชาโคล เพื่อให้เกิดความนุ่มนวลและละเอียดอ่อน สื่อถึงพระเมตตาและอิริยาบถอันสง่างามของทั้งสองพระองค์ ภาพนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงผลงานศิลปะ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความจงรักภักดีและแรงบันดาลใจทางจิตใจของศิลปิน

นอกจากนี้ ในฐานะครูผู้สอนศิลปะ ครูประสิทธิ์ยังปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่เยาวชน โดยมอบหมายให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานในหัวข้อ “โครงการแม่ของแผ่นดิน” เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง เช่น งานด้านหัตถกรรม ศิลปาชีพ และการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย โดยมีศูนย์ศิลปาชีพบางไทรเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงริเริ่มไว้

“ภาพการครองชีวิตคู่ของทั้งสองพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนคนไทย นอกจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพ่อของแผ่นดินแล้ว สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงเป็นแม่ของแผ่นดินที่ทรงงานเพื่อประชาชนเสมอมา พวกเราควรน้อมนำแนวพระราชดำริและพระจริยวัตรอันงดงามของทั้งสองพระองค์มาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต” ครูประสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยความภาคภูมิใจ

ปะทิวจัดแข่งขันเรือยาว 6 ฝีพายสุดคึกคัก พร้อมสืบสานประเพณีลอยกระทงบ้านบางแหวน
ธนากร โกศลเมธีรายงสย 0818923514 31 ทีมประชันฝีพายกลางคลองบางแหวน เสียงเชียร์กึกก้อง – ต่อยอดงานลอยกระทงสร้างสีสันชุมชน

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่บ้านบางแหวน หมู่ที่ 4 ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร นายวิทยา สุวรรณ์สิทธิ์ นายอำเภอปะทิว เป็นประธานเปิดการแข่งขันเรือยาว 6 ฝีพาย ภายใต้โครงการ “กองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านบางแหวน”

โดยมีนายกิตติศักดิ์ พรหมรัตน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร นายปราโมทย์ ดาวเรือง เลขานายก อบจ.ชุมพร ทีมงานพลังชุมพร นายทรงสิทธิ์ พุ่มศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากคลอง นายสุนทร ธรรมเนียม ประธานกองทุนแม่ของแผ่นดินอำเภอปะทิว พร้อมด้วยฝ่ายปกครองท้องที่ ท้องถิ่น ประชาชน เยาวชน และนักกีฬาร่วมงานอย่างคึกคัก

นายสิทธิพร บัวบาน ผู้ใหญ่บ้านบางแหวน ประธานกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านบางแหวน กล่าวว่า โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านบางแหวนต้านภัยยาเสพติด ประจำปี 2568 จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปีของการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ภายใต้แนวคิด “ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 อ้อมกอดของแม่” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ผ่านสำนักงาน ป.ป.ส. เมื่อปี 2546 เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับหมู่บ้านและชุมชน

สำนักงาน ป.ป.ส. ได้น้อมนำพระราชดำริดังกล่าวมาจัดตั้งเป็น “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” เพื่อให้หมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศได้ร่วมกันใช้พลังสามัคคีในการขจัดภัยยาเสพติดให้หมดสิ้นไปอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมความปรองดอง ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

สำหรับกิจกรรมในปีนี้ บ้านบางแหวนได้จัดการแข่งขันเรือยาวประเภท 6 ฝีพาย มีเรือเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 31 ลำ บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงเชียร์จากชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ในช่วงค่ำของวันที่ 5 พฤศจิกายน ยังจะมีการจัดงานประเพณีลอยกระทง ณ บ้านบางแหวน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างความสามัคคีในชุมชน และเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร

“อัครา” เปิดสาขาพรรคกล้าธรรม ว่าที่ผู้สมัครครบทั่ง 3 เขต ชูนโยบายพัฒนาชุมพร ใจถึงพึ่งได้ ทำไม่มีวันหยุด
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชุมพร

เพื่อเป็นประธานเปิดสาขาตัวแทนพรรคกล้าธรรม ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม บริเวณสี่แยกปฐมพร ตำบลวังไผ่ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โดยมีนายบุญสิงห์ วรินรักษ์ รองหัวหน้าพรรค และนายอิทธิ ศิริลัทธยากร ผู้อำนวยการพรรค อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเดินทางมาด้วย
ภายในงาน มีประชาชนชาวชุมพรให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคกล้าธรรม จังหวัดชุมพร ทั้ง 3 เขต ได้แก่ นายสุรชัย แดงละอุ่น เขต 1, นายสมมิตร ทองเหลือ เขต 2 และ ดร.ชลทิพย์ สุวรรณการ เขต 3

นายอัครา กล่าวระหว่างพบปะประชาชนว่า “วันนี้พรรคกล้าธรรมตั้งใจมาเปิดพื้นที่ทำงานการเมืองในชุมพร เพื่อรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และจะนำความต้องการเหล่านี้ไปกำหนดเป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศ เรามีความผูกพันกับชุมพรดี เพราะเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เข้าใจวิถีชีวิตและปัญหาของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี”รัฐมนตรีฯ ยังกล่าวถึงนโยบายสำคัญของพรรคว่า จะมุ่งพัฒนาคนและอาชีพภายใต้ 4 กระทรวงที่พรรคกำกับดูแล โดยเฉพาะด้านการศึกษาและสังคม พร้อมดึงศักยภาพของจังหวัดชุมพรที่อุดมสมบูรณ์

ไปต่อยอดด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน รวมถึงผลักดัน โครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงท่าเรือ 2 ฝั่งชุมพร–ระนอง เพื่อยกระดับระบบโลจิสติกส์และเศรษฐกิจภาคใต้ให้เติบโตอย่างมั่นคง “เราส่งผู้สมัครครบ 400 เขตทั่วประเทศ และหวังจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชาวชุมพร ช่วยกันสนับสนุนพรรคกล้าธรรม เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้จังหวัดของเรา” นายอัครากล่าว

บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชน นักธุรกิจท้องถิ่น และกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมแสดงความยินดีจำนวนมาก ต่างกล่าวว่ารู้สึกดีที่จังหวัดชุมพรได้รับความสนใจจากภาครัฐและพรรคการเมือง ที่มุ่งขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดความยั่งยืน
ชาวบ้านในพื้นที่หลายคนยังมองว่า การที่มีการเปิดสาขาพรรคการเมืองในจังหวัด จะช่วยให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลนโยบายและมีส่วนร่วมในการพัฒนา

บ้านเกิดมากขึ้น พร้อมฝากความหวังให้ภาครัฐเร่งสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์ และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติของจังหวัดให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ พรรคกล้าธรรมได้เปิดพื้นที่ให้ประชาชนในจังหวัดชุมพร เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น เสนอแนวทางพัฒนาในสาขาพรรคกล้าธรรม สี่แยกปฐมพร ตำบลวังไผ่ อำเภอเมืองชุมพร เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตของชุมพรให้น่าอยู่และเติบโตไปพร้อมกับคนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐทีวี/จัดพิธีบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร 7 วัน เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศสมเด็พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อช่วงเย็น วันที่ (30 ต.ค. 2568) เวลา 17.00 น. ที่วัดอ่างสุวรรณ ( หนองหอย) ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายทนงศักดิ์ รุ่งรัศมี ปลัดอาวุโส

(จพง.ปค.ชำนาญการพิเศษ) ปฏิบัติหน้าที่ รักษาราชการแทนนายอำเภอทับสะแก เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร 7 วัน เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โดยมี พระครูผาสุกวิหารการ เจ้าคณะอำเภอทับสะแก เจ้าอาวาสวัดหนองหอย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พ.ต.อ.วีระพัฒน์ เกตุษา ผกก.สภ.ห้วยยาง นายบังเอิญ พึ่งโพธิ์ทอง นายกอบต.อ่างทอง นายเชาว์ เอี่ยมสุขขา นายกอบต.นาหูกวาง นายผดุงศักดิ์ อิ่มทั่ว ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอทับสะแก

พร้อมข้าราชการตำรวจ สภ.ทับสะแก สภ.ห้วยยาง ผู้บริหารท้องิ่น หัวหน้าส่วนราชการ ปลัดอำเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารสถานศึกษา

ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว สมาชิก อส.อ.ทับสะแก ที่ 6 กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมพิธี

///////////////////
ข่าว. ณัฐธภพ พันสาย. / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

ศึก“แร่หายาก”สหรัฐ-จีนในสมรภูมิอาเซียน:โอกาสใหม่ของไทยผู้ผลิตRare Earthอันดับ6ของโลก

แชร์เนื้อหานี้

โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(Fields for Knowledge Integration and Innovation)
อดีตประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ….การแข่งขันแร่หายากในอาเซียนเพิ่งเริ่มต้น และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ประเทศที่สามารถพัฒนาศักยภาพทางการผลิต การแปรรูป และนวัตกรรมได้เร็วที่สุด จะได้เปรียบในเกมการแข่งขันเศรษฐกิจโลกยุคใหม่โดยเฉพาะไทย ผู้ผลิตแร่หายากอันดับ6 ของโลก…”อลงกรณ์ พลบุตรในยุคที่เทคโนโลยี เศรษฐกิจและความมั่นคงเดินควบคู่กัน “แร่หายาก” (Rare Earths)ได้กลายเป็นอาวุธที่สำคัญในเกมของมหาอำนาจโดยมีสมรภูมิใหม่คืออาเซียน สถานการณ์ล่าสุดคือการลงนามข้อตกลงการค้าและแร่หายากระหว่างสหรัฐอเมริกากับ 4 ชาติอาเซียน ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งคือหมากสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

จุดเปลี่ยนของอาเซียน: เมื่อสหรัฐฯรุกกลับ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากจีนประกาศใช้มาตรการใหม่อย่างครอบคลุมเพื่อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่ต้องการส่งออกสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้แม้เพียงเล็กน้อย ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลจีนล่วงหน้า และต้องระบุวัตถุประสงค์การใช้งานอย่างชัดเจน ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตอบโต้ทันทีด้วยการขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% และเตรียมออกข้อจำกัดใหม่ต่อการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญบางประเภท เพื่อปกป้องเศรษฐกิจเทคโนโลยีของตนเองการลงนามข้อตกลงกับ 4 ชาติอาเซียนในครั้งนี้ คือการปฏิบัติการเชิงรุกโดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

  1. กระจายความเสี่ยง เพื่อลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน
  2. สร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ เพื่อพัฒนาเครือข่ายการผลิตและแปรรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับกลุ่มประเทศอาเซียน
  3. เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านกรอบข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน
    โดยเฉพาะอาเซียนกลายเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯในการพัฒนาพันธมิตรทางยุทธศาสตร์
  4. จีนรุกก่อน: ความร่วมมือมาเลเซียโรงสกัดแร่หายากแห่งใหม่

ข้อมูลจาก U.S. Geological Survey 2025 ชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบอย่างยิ่งของจีนในตลาดแร่หายากโลก โดยจีนควบคุม 71% ของการผลิตแร่หายากทั่วโลก และครองส่วนแบ่งสูงถึง 86% ของการแปรรูปแร่หายาก ซึ่งปัจจุบัน แร่หายากจัดเป็นหมวดแร่ธาตุยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง ซึ่งจำเป็นต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานหมุนเวียน จนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงเช่น หลอดไฟ หน้าจอโทรทัศน์ที่ใช้ยูโรเปียมเป็นส่วนประกอบ และการขัดกระจกหรือกลั่นน้ำมันที่ใช้ซีเรียมและอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงทางยุทธวิธีเช่นขีปนาวุธนำวิถีและระบบอาวุธต่างๆความได้เปรียบของจีนถูกแปลงเป็นอำนาจต่อรองผ่านมาตรการจำกัดการส่งออก โดยในเดือนกรกฎาคม 2023 จีนประกาศควบคุมการส่งออกแกลเลียมและเจอร์เมเนียม ซึ่งส่งผลกระทบถึง 94% ของอุปทานโลก

กล่าวได้ว่าจีนคือผู้เล่นที่ถือไพ่เหนือกว่า เพราะเป็นทั้งผู้ผลิตรายใหญ่และประเทศที่มีทรัพยากรแร่หายากมากที่สุดในโลก
ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่งเริ่มสร้างพันธมิตรในอาเซียน
จีนเดินหน้าก่อนหนึ่งก้าวด้วยการลงนามความร่วมมือสำคัญกับมาเลเซีย เพื่อสร้างโรงงานแปรรูปแร่หายากแห่งใหม่ในรัฐปะหัง ประเทศมาเลเซียมูลค่าการลงทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐมีกำลังการผลิตสามารถแปรรูปแร่หายากได้ 5,000 ตันต่อปีด้วยเทคโนโลยีนำเข้าจากจีนโดยบริษัท China Nonferrous Metal Mining Groupคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในปี 2027โอกาสของอาเซียน: จากการเป็น “ผู้ตาม” สู่ “ผู้เล่นหลัก”อาเซียนไม่เพียงเป็นสนามแข่งขันใหม่ของมหาอำนาจเท่านั้นแต่กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานโลก
1.มาเลเซียกำลังพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางแร่หายากของภูมิภาค2.เวียดนามมีศักยภาพเป็นฐานผลิตแร่หายากแทนจีน
3.อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อุดมด้วยทรัพยากรแร่และกำลังแรงงาน4.ไทย ผู้ผลิตแร่หายากอันดับ6 ของโลกและเติบโตเร็วที่สุดในโลกสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปและเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์

ทั้งนี้ทำเนียบข่าวเผยแพร่เอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลไทยว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ การแปรรูปในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโครงการแร่หายากในประเทศไทย: ศักยภาพและความคืบหน้าเมื่อ“แร่หายาก”กลายเป็นเครื่องมือต่อรองทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ แต่สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้คือ ประเทศไทยก็มีแร่หายาก และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานโลกในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ6 ของโลกโดยผลิตได้ 13,000 ตันในปี2024เพิ่มขึ้นกว่า 260% จากปีก่อนหน้าและมากกว่า 13 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2018ถือเป็นการเติบโตที่ “เร็วที่สุดในโลก” ในกลุ่มประเทศผู้ผลิตแร่หายากโดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกและภาคใต้

  1. โครงการในจังหวัดนครราชสีมาโรงงานNeo Magnequenchที่นครราชสีมาผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับอุตสาหกรรม EV และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่ฝBYD (จีน) ลงทุนโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 486 ล้านดอลลาร์ในไทย เพื่อเชื่อมโยงซัพพลายเชนแร่หายากและแม่เหล็ก2.โครงการในจังหวัดกาญจนบุรี
    บริษัท Lynas Rare Earths จากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่หายากนอกประเทศจีนรายใหญ่ที่สุด กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานแปรรูปแร่หายากในพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ การศึกษาครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
    ทั้งนี้พื้นที่อำเภอทองผาภูมิมีการค้นพบแหล่งแร่โมนาไซต์ (Monazite) ซึ่งมีธาตุหายากกลุ่ม LREE (Light Rare Earth Elements) ที่มีค่าสูง เช่น แลนทานัม (Lanthanum) เซอเรียม (Cerium) และนีโอดิเมียม (Neodymium) ซึ่งเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
    จากการศึกษาของกรมทรัพยากรธรณี คาดว่ามีปริมาณสำรองเบื้องต้นประมาณ 50,000 ตัน โดยมีเป้าหมายเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2028 3.โครงการในจังหวัดภูเก็ตและพังงา
    การสำรวจของกรมทรัพยากรธรณีพบแร่เซอไรต์ (Xenotime) และเซนอไทต์ (Synchysite) ในพื้นที่อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต มีธาตุหายากกลุ่ม HREE (Heavy Rare Earth Elements) ที่มีมูลค่าสูง เช่น ดิสโพรเซียม (Dysprosium) เทอร์เบียม (Terbium) และเออร์เบียม (Erbium)
    โดยบริษัท Thaisarco ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการถลุงแร่ดีบุก กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการแยกแร่โคลัมเบต-แทนทาไลท์ (Columbite-Tantalite) ที่มีธาตุหายากปนอยู่ โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแยกแร่
    4.โครงการวิจัยและพัฒนา
    กรมทรัพยากรธรณีกำลังดำเนินการทำแผนที่แหล่งแร่หายากทั่วประเทศอย่างละเอียด โดยใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) และการวิเคราะห์ทางธรณีฟิสิกส์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2026
    ขณะที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิจัยกระบวนการแยกแร่หายากด้วยวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาระบบรีไซเคิลสารเคมีและลดของเสียจากการผลิต ผลการศึกษาคาดว่าจะเผยแพร่ภายในไตรมาสแรกของปี 2026

สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมแร่หายากถือเป็นโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเตรียมพร้อมความพร้อมได้แก่
1.การพัฒนาบุคลากร
ต้องเร่งพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
2.การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
เพื่อรองรับอุตสาหกรรมแปรรูปแร่หายาก
3.การจัดการสิ่งแวดล้อม
กระบวนการแปรรูปแร่หายากต้องได้มาตรฐานสากล
4.การรักษาสมดุลทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน

อนาคตที่ต้องจับตาการแข่งขันแร่หายากในอาเซียนเพิ่งเริ่มต้น และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ประเทศที่สามารถพัฒนาศักยภาพทางการผลิต การแปรรูป และนวัตกรรมได้เร็วที่สุด จะได้เปรียบในเกมการแข่งขันเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

สำหรับประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตแร่หายากอันดับ6 ของโลกไม่ใช่แค่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นโอกาสในการกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เพื่ออัพเกรดสู่บทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน(Global Supply Chain)แร่หายากของโลก
ดังนั้นการเตรียมความพร้อมและวางยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ชัดเจนรวมทั้งการขับเคลื่อนความร่วมมือกับทั้งจีนและสหรัฐอย่างสมดุลจะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในเกมใหญ่เกมนี้ของเรา.

แหล่งอ้างอิงข้อมูล

  1. U.S. Geological Survey (2025). Mineral Commodity Summaries: Rare Earths
  2. Reuters (26 ตุลาคม 2025). “U.S. signs trade and critical minerals pacts with four ASEAN nations”
  3. Department of Mineral Resources Thailand (2025). “รายงานการศึกษาศักยภาพแร่หายากในประเทศไทย”
  4. Lynas Rare Earths (2025). “Thailand Project Feasibility Study Report”
  5. Thaisarco (2025). “การศึกษาความเป็นไปได้การแยกแร่หายากจากแร่โคลัมเบต-แทนทาเลต”
  6. King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang (2025). “งานวิจัยกระบวนการแยกแร่หายากอย่างยั่งยืน”
  7. China Nonferrous Metal Mining Group 2025“ข้อมูลโครงการมาเลเซีย”
    หมายเหตุ:
    แร่ธาตุหายาก” (Rare Earths)
    แร่หายากเป็นกลุ่มของโลหะหนัก 17 ชนิด ประกอบด้วยธาตุเคมี ได้แก่ ซีเรียม (cerium), พราเซโอไดเมียม (praseodymium), นีโอไดเมียม (neodymium), โพรมีเทียม (promethium), ซามาเรียม (samarium), ยูโรเปียม (europium), แกโดลิเนียม (gadolinium), เทอร์เบียม (terbium), ดิสโพรเซียม (dysprosium), โฮลเมียม (holmium), เออร์เบียม (erbium), ทูเลียม (thulium), อิตเทอร์เบียม (ytterbium), ลูทีเทียม (lutetium) และแลนทานัม (lanthanum) ซึ่งเป็นธาตุต้นแบบของกลุ่ม รวมถึงสแกนเดียม (scandium) และอิตเทรียม (yttrium) ทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า “แร่แรร์เอิร์ธ” หรือ “ธาตุหายาก”
    แม้แร่เหล่านี้จะพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ แต่เหตุที่ถูกเรียกว่า “หายาก” มาจากความยากในการสกัดให้ได้ในรูปแบบบริสุทธิ์ โดยมักกระจายตัวปะปนอยู่กับแร่ชนิดอื่นในปริมาณน้อย อีกทั้งกระบวนการสกัดต้องใช้สารเคมีเข้มข้นและก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษจำนวนมาก จึงทำให้ต้นทุนการผลิตสูงและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ

10 อันดับประเทศผู้ผลิตแร่หายากมากที่สุดในโลก ปี 2024
1.จีน 270,000 ผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก ควบคุมตลาดกว่า 70% มีเหมือง Bayan Obo ที่มองโกเลีย
2.สหรัฐอเมริกา 45,000 ผลิตจากเหมือง Mountain Pass (California) ภายใต้บริษัท MP Materials
3.เมียนมา (พม่า) 31,000 แม้มีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและกลุ่มติดอาวุธ แต่ยังเป็นแหล่งแร่หนักสำคัญของจีน
4.ออสเตรเลีย 13,000 บ้านของ Lynas Rare Earths เหมือง Mount Weld หนึ่งในแหล่งแร่หายากชั้นนำของโลก
5.ไนจีเรีย 13,000 ดาวรุ่งใหม่ของแอฟริกา เริ่มจับมือฝรั่งเศสพัฒนาเหมืองและโรงแปรรูป
6.ประเทศไทย 13,000 ผลิตพุ่ง 261% ในปีเดียวมีโรงงาน Neo Magnequench ที่โคราช
7.อินเดีย 2,900 มีทรัพยากรชายฝั่งมากแต่ผลิตน้อย เข้าร่วมโครงการ Minerals Security Partnership (MSP)
8.รัสเซีย 2,600 มีแหล่งสำรองใหญ่แต่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ เหมืองหลักคือ Tomtor
9.มาดากัสการ์ 2,000 มีศักยภาพสูงแต่ถูกต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่นเรื่องสิ่งแวดล้อม
10.เวียดนาม 300 มีแหล่งแร่ใหญ่ แต่สะดุดเพราะคดีทุจริตในวงการเหมืองปี 2023

‘เสถียรธรรมสถาน’ เชิญชวนผู้ศรัทธา ร่วมส่ง – ปฏิบัติภาวนา เพื่อเป็นอาจาริยบูชา ‘แม่ชีศันสนีย์’


นางสายสัมพันธ์ ปัญญศิริ ประธานมูลนิธิเสถียรธรรมสถาน กล่าวว่า เสถียรธรรมสถานกำหนดให้มีการเคลื่อนกายสังขาร แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ออกจากเสถียรธรรมสถาน กรุงเทพฯ อย่างถาวร สู่เสถียรธรรมสถาน หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี โดยเรียกชื่องานนี้ว่า ‘จากบ้านสู่บ้าน จากปณิธานสู่ความจริง’ ขอเชิญลูกศิษย์และผู้ศรัทธาแม่ชีศันสนีย์ได้ร่วมส่งท่านผ่าน

การร่วมงานสวดพระอภิธรรม ในวันที่ 28-30 ต.ค. 2568 ตั้งแต่เวลา 18.23 น. เป็นต้นไป ณ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพฯ และในวันที่ 31 ต.ค. จะจัดเป็นขบวนเคลื่อนกายสังขารของแม่ชีศันสนีย์ออกจากเสถียรธรรมสถาน กรุงเทพฯ ในเวลา 04.00 น. โดยคาดว่าจะถึงเสถียรธรรมสถาน หุบเขาโพธิสัตว์ ในเวลาประมาณ 09.00 น. และจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมจนถึงวันที่ 2 พ.ย.นั้น


นางสายสัมพันธ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกำหนดการงาน ‘จากบ้านสู่บ้าน จากปณิธานสู่ความจริง’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี ชาตกาล และการเคลื่อนกายสังขารแม่ชีศันสนีย์ จากเสถียรธรรมสถาน สู่หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี ดังนี้ วันที่ 28 – 30 ต.ค. ณ เสถียรธรรมสถาน กรุงเทพฯ การปฏิบัติภาวนาในกิจกรรม Spiritual Trip ตั้งแต่เวลา 10.15น. และสวดพระอภิธรรมตั้งแต่เวลา 18.23 น. เป็นต้นไป

โดยระหว่างวันที่ 28-30 ต.ค. เวลา 17.00 – 18.00 น. จะมีการแสดงพระธรรมเทศนา โดยวันที่ 28 ต.ค. เรื่อง แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต จาก ‘ผู้ได้โอกาส’ สู่ ‘ผู้ให้โอกาส’ โดย พระครูนนทสังฆกิจจาพิมล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ วันที่ 29 ต.ค. เรื่อง วันนี้ของเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่แม่ปลูก

โดย พระราชวัชรธรรมภาณี เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ วันที่ 30 ต.ค. พระธรรมเทศนา เรื่อง ‘หัวใจแม่หัวใจโพธิสัตว์ของ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต’ โดย พระพรหมวชิรโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา สาธารณรัฐอินเดีย และหัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล ส่วนวันที่ 31 ต.ค. ครบรอบ 72 ปี

ชาตกาล แม่ชีศันสนีย์ จะมีพิธีเคลื่อนกายสังขาร แม่ชีศันสนีย์ สู่หุบเขาโพธิสัตว์ ตั้งแต่เวลา 03.00น. เมื่อถึงหุบเขาดพธิสัตว์ เวลา 14.00-15.30 น. จะมีกิจกรรม Spiritual Talk เวลา 17.00-18.00 น. พระธรรมเทศนา เรื่อง แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต กับการให้ธรรม…ให้ทาง

ดูเรื่องนี้

โดย พระครูจารุปริยัติการ เจ้าอาวาสวัดหนองขุ่น จ.อุบลราชธานี จากนั้นวันที่ 1-2 พ.ย. ที่หุบเขาโพธิสัตว์ จ.เพชรบุรี จะมีการจัดปฏิบัติภาวนาถวาย แม่ชีศันสนีย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ line : @sdsline หรือ โทร. 02-510-6697

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ขทช.มุกดาหาร ตั้งจุดตรวจเข้ม! สกัดรถบรรทุกหนัก-ควันดำ ตรวจเอกสารขนส่ง

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 นางสาวพัชรีวรรณ หอมหวล หัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงชนบทมุกดาหาร (ขทช.มุกดาหาร)

จัดตั้งจุดตรวจการณ์ขนส่ง บริเวณถนนเลี่ยงเมืองมุกดาหาร–อุบลราชธานี หน้าวิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจรักไทย มุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร

โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบรถที่กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ รวมถึงดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับรถที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

เพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศและลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบรถบรรทุกหนักและรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายต่อพื้นผิวถนน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสังเกตพบว่ามีรถบรรทุกจำนวนมากที่แล่นมาจากทางอำเภอนิคมคำสร้อย และเมื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลี่ยงเมืองแล้วเห็นว่ามีการตั้งจุดตรวจการณ์ได้พากันยูเทิร์นกลับรถ

ไม่ยอมผ่านเข้าจุดตรวจเลี่ยงมาใช้ถนนเส้นในเพื่อจะแล่นไปทางด่านพรมแดนมุกดาหาร โดยคาดว่าอาจเกรงถูกตรวจสอบเอกสารการขนส่ง หรือพบว่ามีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

มุกดาหาร #ขนส่งมุกดาหาร #ตรวจรถบรรทุกหนัก #ควันดำ #PM25 #จุดตรวจการณ์ขนส่ง #ข่าวมุกดาหาร #บรรทุกเกิน #ตรวจเข้ม #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชาวชุมพรพร้อมใจถวายน้ำสรงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความอาลัยยิ่ง

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 ผู้ประกาศข่าว: ที่จังหวัดชุมพร วันนี้ (26 ตุลาคม 2568) นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลว

โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และพสกนิกรชาวจังหวัดชุมพร ร่วมกันถวายน้ำสรงพระบรมศพและลงนามถวายความอาลัย ณ ลานอเนกประสงค์หน้าเทศบาลเมืองชุมพร อำเภอเมืองชุมพร

บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบ สะเทือนใจ และเปี่ยมด้วยความอาลัยยิ่ง พสกนิกรทุกหมู่เหล่าร่วมกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อพสกนิกรชาวไทยตลอดพระชนมชีพ

ทั้งนี้ ทุกอำเภอในจังหวัดชุมพรได้พร้อมใจกันจัดพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ และลงนามถวายความอาลัย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วทั้งจังหวัด

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สมุทรปราการจัดพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระพันปีหลวง

แชร์เนื้อหานี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นำประชาชนทุกหมู่เหล่าถวายน้ำสรงพระบรมศพเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และถวายความอาลัย พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย

นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วยนางอรจิรา ศิริมงคล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรปราการ ข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ และพสกนิกรทุกหมู่เหล่าในจังหวัดสมุทรปราการ ถวายน้ำสรงพระบรมศพ และลงนามถวายความอาลัย

เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

ที่ตรากตรำพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ด้วยสำนักพระราชวังได้มีประกาศ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2568 จังหวัดสมุทรปราการ

ได้สั่งการให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสา จัดโต๊ะหมู่บูชา ประดิษฐานพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมประดับเครื่องทองน้อย แพรไว้ทุกข์

ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงาน และจัดสมุดลงนามแสดงความไว้อาลัย รวมทั้งให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกำหนด 1 ปี และขอความร่วมมือผู้ประกอบการภาคเอกชน สถานบริการในพื้นที่ ให้พิจารณางดหรือลดการแสดงเพื่อความบันเทิงหรือการจัดงานรื่นเริงต่างๆ ตามความเหมาะสม


เดี่ยว / ศราวุธ คงสินธ์ จ.สมุทรปราการ

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตอกย้ำความเป็นเลิศ ติดอันดับ 12 ของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในโลก

แชร์เนื้อหานี้

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้รับการจัดอันดับให้ ติดอันดับ 1 ใน 50 ท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในโลก (Most Connected Airport) จากรายงาน OAG Megahubs 2025 ซึ่งจัดทำโดย OAG (Official Airline Guide)

หน่วยงานผู้ให้บริการข้อมูลด้านการบินชั้นนำระดับโลก โดย ทสภ.อยู่ในลำดับที่ 12 ในกลุ่ม Global Airport Megahubs และติดอันดับ 5 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในกลุ่ม Top International by region นอกจากนี้ ท่าอากาศยานดอนเมืองติดอันดับที่ 22 ในหมวด Low-Cost Carrier Airports Megahubs ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าวของ OAG

เป็นการพิจารณาจากจำนวนที่นั่งที่จัดในเที่ยวบินในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2567 – สิงหาคม 2568 โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากวันที่มีปริมาณการเดินทางมากที่สุด เพื่อแสดงศักยภาพและความหนาแน่นของการเชื่อมต่อเที่ยวบินในสนามบินต่างๆ ทั่วโลก การที่ ทสภ.

ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 12 ของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดของโลกสะท้อนให้เห็นว่า ทสภ. มีศักยภาพในการเชื่อมต่อเที่ยวบินและเส้นทางการเดินทางทางอากาศทั่วโลก ความสามารถในการรองรับเที่ยวบินและความ

พร้อมในด้านต่างๆ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยาน ตลอดจนความพร้อมด้านขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในท่าอากาศยาน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นและดึงดูดสายการบินให้ทำการบินมายังประเทศไทยมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ ทสภ. ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคต่อไป


เดี่ยว / ศราวุธ คงสินธ์ จ.สมุทรปราการ