สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เรือนจำหลังสวน ปล่อยนักโทษ 200 คน ตามเงื่อนไข ราชกิจจานุเบกษา / ตร.จับยาบ้า 2 หมื่นเม็ด คาด่านบ้านพละ อ.ประทิว จ.ชุมพร

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. เรือนจำอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ถนนหลังสวน ตำบล หลังสวน อำเภอหลังสวน ชุมพร นายสมชบ แก้วภราดัย ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอหลังสวนเป็นประธานในพิธี อภัยโทษ ปล่อยนักโทษ 200 คน เบื้องต้นดำเนินการในวันนี้ จำนวน 44 คน ตามเงื่อนไข ราชกิจจานุเบกษา ได้ลงประกาศพระราชกฤษฎีกา

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า  โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเป็นการแสดงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป
นายสมชบ แก้วภราดัย  เปิดเผยว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ แก่พสกนิกรที่เป็นผู้ก้าวพลาด ให้ได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่และประพฤติตนเป็นพลเมืองดีของสังคม กรมราชทัณฑ์พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ทุกคนที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ และจะพ้นโทษในคราวเดียวกันตามพระราชกฤษฎีกานี้จะต้องผ่านการอบรมโครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย โครงการพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว “โคกหนองนาแห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์” ที่มีการอบรมในหลักสูตรฝึกปฏิบัติการเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่ขนาดเล็กให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้มีความรู้ติดตัว สามารถนำไปประกอบอาชีพภายหลังพ้นโทษได้ รวมทั้งร่วมมือกับเครือข่ายภาคสังคมและชุมชน ในการติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ก้าวพลาดได้สร้างคุณค่าในตนเอง สามารถประกอบอาชีพสุจริต โดยไม่หวนกลับไปกระทำผิด ซ้ำอีก อันถือเป็นการป้องกันและคุ้มครองสังคม ดังคำว่า  "ราชทัณฑ์แก้ไข คนไทยให้โอกาส" เป็นแนวคิดและโครงการของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและแก้ไขผู้ต้องขัง เพื่อให้พวกเขากลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ ให้มีความปลอดภัยอย่างยั่งยืนต่อไป

ตำรวจจับคาด่านตรวจบ้านพละ จับยาบ้า 20,000 เม็ด

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 03.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ อ.ปะทิว จ.ชุมพร ได้จับกุมผู้ต้องหาชาย 2 ราย พร้อมของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 20,000 เม็ด ผู้ต้องหาทั้งสองรายได้แก่ นายวนัส (ลี่) อายุ 33 ปี และ นายสุริยา (เอ็ม) อายุ 36 ปี ถูกจับกุมพร้อมรถยนต์เก๋งมิตซูบิชิ เอสเตท สีดำ ทะเบียน กร 1846 พระนครศรีอยุธยา ที่ใช้ในการขนลำเลียงยาเสพติด ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารประจำด่าน ตรวจบ้านพละร่วมกันตั้งด่านตรวจอยู่บนถนนเพชรเกษม ม.๓. ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จว.ชุมพร จากการสืบสวน – ของ ร.ต.ต.ภาณุวัฒน์ เกตุสะอาด เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจบ้านพละ

ทราบว่ามีรถส่วนบุคคล(รถเก๋ง)ยี่ห้อมิตซูบิชิ สี ดำ รุ่น ATTRAGE ติดแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลข กร 1846 พระนครศรีอยุธยา มีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าจะเป็นรถที่ นำยาเสพติดมาส่งมอบให้บุคคลในพื้นที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร โดยใช้เส้นทางเพชรเกษมผ่านด่านตรวจความมั่นคงบ้าน พละ จากการตรวจสอบประวัติการเดินทางของรถคันดังกล่าวผ่านระบบกล้อง LICENSR PLATE RECOGNITION(LPR) ทำให้ทราบประวัติเส้นทางการเดินรถของคันดังกล่าวโดยในเดือนกรกฎาคมและเดือน สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๘ รถคันดังกล่าวได้ผ่านด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละจำนวน๓ครั้ง ในครั้งแรกวันที่๓ กรกฎษ คม ๒๕๖๘ ครั้งที่๒ วันที่๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และครั้งที่๓ วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจ บ้านพละจึงได้วางแผนเพื่อทำการตรวจสอบรถคันดังกล่าว จนกระทั่งวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๐๐.๕๐ น.ร.ต.ต.ภานุวัฒน์ฯ

ได้ทำการตรวจสอบรถคันดังกล่าวผ่านระบบกล้อง LICENSR PLATE RECOGNITION(LPR) พบว่ารถคันดังกล่าวได้ผ่านถนนเพชรเกษม อ.บ้านลาดท่าเสน จ.เพชรบุรี ขาล่องใต้ เวลา ประมาณ ๐๐.๓๙น. ของวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจบ้านพละพร้อมเจ้าหน้าที่ทหาร จึงได้ วางแผนตั้งด่านเพื่อตรวจสอบรถคันดังกล่าว บริเวณหน้าด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ ๐๓.๒๐น. ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจด่าตรวจความมั่นคงบ้านพละและเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการตั้งด่านตรวจพบรถคัน ดังกล่าววิ่งมาบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้จึงได้ส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวหยุดรถเพื่อทำการตรวจค้น แต่รถคัน ดังกล่าวได้ขับผ่านไปโดยไม่ได้หยุดรถให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละจึง ได้ขับรถติดตามรถคันดังกล่าวไป จนกระทั่งถึงบริเวณริมถนนเพชรเกษมทางเข้าวัดพรุตะเคียน ม.๒ ต.สลุย อ.ท่า แซะ จ.ชุมพร จึงได้ส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวหยุดรถ จากการตรวจค้นเบื้องต้นพบนายสุริยา (เอ็ม) อายุ ๓๖ ปี ชาว ต.ปากเพรียว อ.เมืองสระบุรี จ. สระบุรี เป็นผู้ขับขี่ และมีนายวนัส(สี่) อายุ๓๓ปี ชาว ต.ลุมพลี

อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นผู้นั่งโดยสารตอนหน้า จากการตรวจค้นเบื้องต้น ณ ที่สั่งให้ทำการ หยุดรถไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่นายวนัสฯและนายสุริยาฯท่าทางมีพิรุท ต้องสงสัยว่าในรถคันดังกล่าวมีสิ่งของผิด กฎหมายและยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ภายในรถ จึงได้นำรถคันดังกล่าวพร้อมผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้ง๒คน มาทำการ ตรวจค้นโดยละเอียดที่ด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ เมื่อถึงที่ทำการด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ ได้ตรวจค้นโดย ละเอียดต่อหน้านายสุริยาฯและนายวนัสฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจค้นบริเวณฝากระโปรงท้ายรถ พบแผ่น พลาสติกสีดำปิดกั้นบริเวณเบาะผู้โดยสารตอนหลัง จึง

ได้น้าแผ่นพลาสติกสีดำดังกล่าวออก พบถุงพลาสติกสีเหลือง จำนวน ๒ ถุง ซุกซ่อนอยู่ที่หลังเบาะที่นั่งผู้โดยสารตอนหลัง จึงได้นำออกมาเปิดดู ภายในถุงพลาสติกสีเหลืองนั้นมี วัตถุก้อนสีเหลืองรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าห่อด้วยกระดาษไขสีเหลือง มีตัวเลขอาราบิกสีน้ำเงิน เลข ๙๙๙ และรูปดาว ๕ แฉก จำนวนสดวง อยู่ด้านบนของตัวเลขอาราบิกสีนำเงิน เลข ๙๙๙ ประทับอยู่บนวัตถุก้อนสีเหลืองรูปทรง สี่เหลี่ยมผืนผ้าห่อด้วยกระดาษไขสีเหลือง จำนวน ๒ ก้อน แยกบรรจุถุงละ ๑ ก้อน ภายใน ๑ ก้อน บรรจุก้อนละ ๕ มัด มัดละ ๒,๐๐๐เม็ด รวมยาบ้า ๒ ก้อน ประมาณ ๒๐,๐๐๐ เม็ด จากประสบการณ์การจับกุมยาเสพติดและกลิ่น ของวัตถุดังกล่าวทำให้ทราบว่า

วัตถุดังกล่าวคือเมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด(ยาบ้า) จึงได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายให้กับ นายสุริยาฯและนายวนัสฯทราบและเข้าใจดีแล้ว ทั้ง๒คนรับว่าได้นำยาเสพติดดังกล่าวมาจาก จ.สระบุรีเพื่อไปส่งที่ อ ท่าแซะ จ.ชุมพร จากการ สอบถามนายวนัสฯ รับสารภาพว่ายาบ้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละตรวจค้นพบ เป็นของ ตน และกำลังจะนำไปส่งที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และให้การต่อไปว่าตนได้รับยาบ้ามาจากนายบูมไม่ทราบชื่อสกุลจริง โดยการใช้โทรศัพท์หมายเลข๐๘๒-๐๗๕-๑๙๖๖

ส่งข้อความไปหานาย บูมผ่าน แอปพลิเคชั่นไลน์ และได้มีการนัดรับ ของที่ถนนตากฟ้า เขต จังหวัด นครสวรรค์ ในวันที่ ๒๕ ส.ค.๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น. ตนได้เดินทางไปรับ ยาบ้าเพียงคนเดียวโดยใช้รถคันดังกล่าวในการไปรับยาบ้าที่วางไว้ ณ จุดนัดหมายริมถนนตากฟ้า เขต จ.นครสวรรค์ และนำเงินสดจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ใส่ถุงวางไว้ ณ จุดที่นัดรับยาบ้า เมื่อได้รับยาบ้าแล้วตนได้นำยาบ้าซุกซ่อนใส่ใน ฝากระโปรงท้ายรถคันดังกล่าว จึงได้ขับรถกลับมายังที่บ้านพัก ต่อมาในวันที่๒๖ ส.ค.๒๕๖๘ นายวนัสฯได้ไปทำงาน ที่บริษัทขนส่งพัสดุเจแอนต์ทีเอ็กซ์เพรส (J&T EXPRESS)เลิกงานประมาณ๑๙.๐๐น.

จึงได้กลับไปยังที่บ้านพักและ ได้ใช้โทรศัพท์หมายเลข๐๘๒-๐๓๗๕-๑๙๖๖ โทรผ่านแอปพลิเคชั่น MESSENGER ชักชวนนายสุริยาฯ ให้ร่วมเดินทาง ไปส่งยาบ้าที่จ.ชุมพร นายสุริยาฯตอบตกลงว่าจะไปด้วย ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ ๒๓.๐๐น.ของวันที่ ๒๖ ส.ค. ๒๕๖๘ นายวนัสฯได้ขับรถคันดังกล่าวออกจากที่พักเพื่อไปรับนายสุริยาฯ เมื่อไปถึงบ้านนายสุริยาฯได้ให้นายสุริยาฯ เป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวจนมาถึงจ.ชุมพร โดยใช้เส้นทางมาชุมพรโดยผ่าน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา อ.บาง บัวทอง จ.นนทบุรี

ถนนพระราม๒ ถนนเพชรเกษมจนกระทั่งมาถึงด่านตรวจความมั่นคงบ้านพละ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ขับรถติดตามและแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสัญญาณให้จอดรถและนำรถคันดังกล่าวมาตรวจค้นที่ด่านตรวจ ความมั่นคงบ้านพละ พบยาเสพติดดังกล่าวที่ซุกซ่อนมาภายในรถ จากการสอบถามนายวนัสฯ ให้การเพิ่มเติมว่าใน เดือนส.ค.๒๕๖๘ ตนและนายสุริยาฯได้นำยาบ้ามาส่งที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จำนวน ๒ ครั้ง และได้กำไรจากการ จำหน่ายยาบ้าดังกล่าว ครั้งละประมาณ ๑๐,๐๐๐บาท และได้แบ่งเงินให้นายสุริยาฯครั้งละ ๓,๐๐๐ บาท

จากการสอบถามนายสุริยาฯ รับสารภาพว่าเมื่อวันที่ ๒๖ส.ค.๒๕๖๘ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐น.นายวนัสฯได้ ใช้โทรศัพท์หมยเลข ๐๘๗๒-๐๗๕-๑๙๖๖ โทรผ่านแอปพลิเคชั่น MESSENGER มาหาโทรศัพท์ของตนหมายเลข๐๙๐-๓๓๓-๘๗๓๖ เพื่อชักชวนไปส่งยาบ้าที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ตนได้ตอบตกลงให้มารับที่บ้านพัก เมื่อถึงเวลาประมาณ ๒๑.๓๐น. นายวนัสฯได้เดินทางมารับตนที่บ้านพัก และได้ให้ตนเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวจนกระทั่งถึง จ.ชุมพร เมื่อได้ ทำการส่งยาบ้าเสร็จ จะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการจำหน่ายยาบ้า ครั้งละ๓,๐๐๐ บาท จากการสอบถามนายสุริยาฯ ถึงพฤติกรรมในการส่งยาบ้า นายสุริยาฯจะเป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวทุกครั้ง โดยมีนายวนัสฯเป็นผู้นั่งอยู่เบาะโดยสาร ข้างคนขับ เมื่อถึงจุดนัดส่งยาบ้า นายวนัสฯจะเป็นผู้ลงไปนำยาบ้าออกจากรถและวางไว้ในจุดที่นัดหมาย โดยที่นาย สุริยาฯไม่ได้ลงจากรถ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตัวจึงได้ควบคุมตัวและแจ้งข้อหาให้นายวนัสฯและนายสุริยาฯทราบว่ามี

ความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท ๑ (ยาบ้า) โดยเป็น การกระทำที่มีลักษณะกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบ ต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชา รับทราบ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยมีไว้เพื่อการค้า ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน” ซึ่งเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคงของประเทศอย่างร้ายแรง จากนั้นเจ้าพนักงานผู้จับได้นำตัวผู้ต้องหา/ผู้ถูกจับพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบ อำมฤต ดำเนินคดีตามกฎหมายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๘ เวลา 13.30 น.