สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตอกย้ำความเป็นเลิศ ติดอันดับ 12 ของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในโลก

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้รับการจัดอันดับให้ ติดอันดับ 1 ใน 50 ท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในโลก (Most Connected Airport) จากรายงาน OAG Megahubs 2025 ซึ่งจัดทำโดย OAG (Official Airline Guide)

หน่วยงานผู้ให้บริการข้อมูลด้านการบินชั้นนำระดับโลก โดย ทสภ.อยู่ในลำดับที่ 12 ในกลุ่ม Global Airport Megahubs และติดอันดับ 5 ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในกลุ่ม Top International by region นอกจากนี้ ท่าอากาศยานดอนเมืองติดอันดับที่ 22 ในหมวด Low-Cost Carrier Airports Megahubs ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าวของ OAG

เป็นการพิจารณาจากจำนวนที่นั่งที่จัดในเที่ยวบินในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2567 – สิงหาคม 2568 โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากวันที่มีปริมาณการเดินทางมากที่สุด เพื่อแสดงศักยภาพและความหนาแน่นของการเชื่อมต่อเที่ยวบินในสนามบินต่างๆ ทั่วโลก การที่ ทสภ.

ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 12 ของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดของโลกสะท้อนให้เห็นว่า ทสภ. มีศักยภาพในการเชื่อมต่อเที่ยวบินและเส้นทางการเดินทางทางอากาศทั่วโลก ความสามารถในการรองรับเที่ยวบินและความ

พร้อมในด้านต่างๆ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยาน ตลอดจนความพร้อมด้านขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในท่าอากาศยาน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นและดึงดูดสายการบินให้ทำการบินมายังประเทศไทยมากขึ้น เพื่อผลักดันให้ ทสภ. ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคต่อไป


เดี่ยว / ศราวุธ คงสินธ์ จ.สมุทรปราการ

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคองเผยสถานการณ์น้ำในเขื่อนลำตะคอง

สถานการณ์น้ำในเขื่อนลำตะคองวันนี้ ปริมาณน้ำมีมากน้อยเพียงใด และจะส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำ ของประชาชนหรือไม่ อย่างไรนายไพฑูรย์ ยังรักษา ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง เผยว่า

สถานการณ์น้ำวันนี้ อยู่ที่ 115 ล้านลูกบาศก์เซนติเมตร คิดเป็นความจุอยู่ที่ประมาณ 37% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ววันเดียวกัน อยู่ที่ประมาณ 108 ล้านฯ หรือ 34% ต่างกันประมาณ 7 ล้าน

หลังจากพ้นฤดูฝน คือ วันที่ 1 พ.ย.2568 คาดการณ์ว่าน้ำจะเข้าอ่างประมาณ 110 – 115 ล้านฯ ประมาณความจุ 40 กว่าเปอร์เซ็น แผนการใช้น้ำของเราเดี๋ยวจะมีการประชุม GMC ถ้าน้ำไม่ถึง 50% การทำนาปัง หรือปลูกพืชฤดูแล้ง เราจะงดให้การสนับสนุนก่อน น้ำใช้ในการอุปโภค บริโภค เราจะให้ความสำคัญก่อน ให้ใช้ประมาณ 70 ล่านฯ ฤดูแล้งประมาณ 23 ล้านฯ ฤดูฝนประมาณ 35 ล้านฯ

รักษานิเวศน์ฤดูฝนอยู่ที่ 26 ล้านฯ ฤดูแล้งประมาณ 25 ล้านฯ แผนที่เราวางไว้ ปัจจุบันฝนตกในปีนี้ ค่าเฉลี่ย ที่โคราชประมาณ 1000 มิล/ปี ตอนนี้ฝนตกแล้วประมาณ 806 มิล คิดเป็นเปอร์เซ็น คือ 82%

น้ำเข้าอ่างอยู่ที่ประมาณ 300 กว่าล้านฯ แต่ปีนี้ น้ำเข้าอ่างแล้ว 81 ล้านฯ ล่าสุดเมื่อเช้า เข้าอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านฯ กว่าๆ ค่าเฉลี่ยของน้ำเข้าอ่างแต่ละปี อยู่ที่ประมาณ 260 ล้านฯ

การบริการจีดการน้ำในตอนนี้คือ ฝนตกท้ายเขื่อนค่อนข้างเยอะ โซนท้ายเขื่อนลงมา น้ำเริ่มท่วม จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ เกิดน้ำท่วม เราบริหารการจัดการน้ำ โดยการปิดเขื่อนวันพุธที่ผ่านมา โดยอาศัยน้ำที่ตกท้ายเขื่อน นำมาบริหารการจัดการท้ายเขื่อน การบริหารการจัดการน้ำ.ไม่น่ามีปัญหา

แต่ต้องมีความปราณีต เราจะเน้นการใช้น้ำอุปโภค บริโภค เป็นหลัก น้ำในปีนี้มีมากกว่าปีที่แล้ว ผมรับประกันน้ำใช้เพื่ออุปโภค บริโภค ไม่น่าขาด ฝากถึง ประชาชนใช้น้ำให้ประหยัด

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เสนอถนนเส้นยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดนประจวบ-ชุมพร-ระนอง รับฟังความคิดเห็นเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด 20 ปี

วันที่ 16 ต.ค.68 นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานเปิดการประชุมประชาคมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด 20 ปี (พ.ศ. 2566 – 2585) ช่วง พ.ศ. 2571 – 2575 ของจังหวัดชุมพร เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดทำเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด 20 ปี โดยมีผู้แทนส่วนราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมจำนวนทั้งสิ้น 200 คน เข้าร่วมพิธีเปิดฯ ณ ห้องปทุมทิพย์ โรงแรมมรกตทวิน อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ดำเนินงานโดย นางสาวปานนภา สุภาพรเหมินทร์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดชุมพร

โดยนายอนิรุท พลราม นายกองค์การบริหารส่วน ตำบล สลุย อำเภอท่าแซะ ได้นำเสนอถนนเส้นเลียบชายแดนประจวบ-ชุมพร-ระนอง เพื่อเป็นเส้นทาง
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชายแดน นำเสนอทางลอดใต้สะพานถนนเพชรเกษม เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนน นำเสนอกล้วยเล็บมือนางสินค้า GI ของจังหวัดชุมพรควบคู่กับทุเรียน เพื่อจะนำไปสู่การตลาดในประเทศและต่างประเทศในอนาคต และการใช้ประโยชน์ป่าชุมชนแบบยั่งยืนที่มีการบริหารโดยชุมชนและตรงเป้าหมายในการอนุรักษ์ที่ประชาชนมีส่วนร่วม

สำหรับการประชุมประชาคมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด 20 ปี (พ.ศ. 2566 – 2585) ช่วง พ.ศ. 2571 – 2575 ของจังหวัดชุมพร จัดขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดทำเป้าหมายการพัฒนาจังหวัด 20 ปี และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 ที่มุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วน ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนจังหวัดร่วมกันต่อไป
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จนท. ตชด.44 ปอเนาะ ถูกยิงเสียชีวิต ขณะทำการวิสามัญคนร้ายไป 1 ราย จับ 1 ราย ยึดปืน 2 กระบอก/ผู้การแกะ ‘ ผบ.ฉก.ทพ.44 เร่งอพยพนักเรียนปอเนาะ 132 คน

วันที่ 16 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวปัตตานีรายงานว่า (วานนี้ 15 ตค.) เมื่อเวลาประมาณเวลา 16.00 น. พ.ต.อ.ธีรพจน์ ยินดี ผกก.สภ.สายบุรี จว.ปัตตานี ได้รับแจ้งว่าได้ยินเสียงระเบิด บริเวณสถาบันปอเนาะมะอ์หัด อัตตัรบียาตุลฮะดีซะห์ ม.4 ต.บางเก่า อ.สายบุรี จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนสอบสวนและ ประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตชด.44 เข้าไปทำการตรวจสอบ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณโดยรอบ ปรากฏว่าพบชายต้องสงสัยได้วิ่งออกมาจากหอพัก

ซึ่งอยู่ภายในบริเวณสถาบันปอเนาะเเห่งนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นจนกระทั่งจับกุมตัวได้ ทำการค้นในตัวพบอาวุธปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนจึงได้ควบคุมตัว สอบสวนทราบชื่อ นาย ซูรฮาฟีซี สือแม อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53 ม.3 ต.ไทรทอง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบประวัติพบว่ามีหมายจับ ป.วิญา จำนวน 1 หมาย จึงได้ทำการจับ

จากนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอกำลังเสริมจากชุดปฏิบัติการร่วมของ จ.ปัตตานี และ กำลังเสริมของกองกำลังทหารพรานจังหวัดภาคใต้ นำกองกำลังเข้าพื้นที่ปะทะ ณะที่ทาง จนท.ได้ เข้าเสริม กำลังเพื่อกระชับพื้นที่ จำกัดวงพื้นที่เพื่อทำการ ปิดล้อม นั้นซึ่งขณะที่ตรวจค้น จนท.ชุดเเรกที่เข้าไปเเละตามตัวมาตลอด จึงได้ประเมิณว่า เชื่อว่าน่าจะมีคนร้ายอีก2-3คนหลบ ซ่อนตัวภายในสถาบันปอเนาะนี้ ภายหลังทราบว่า มีการปิดล้อมพื้นที่ อ.สายบุรี ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปที่เกิดเหตุทันที เนื่องจากเป็นสถาบันปอเนาะ บ่มเพาะความรู้ด้านศาสนาอิสลาม เเต่คนร้ายกลับมาอาศัยอยู่ภายในปอเนาะ จึงได้ทราบอย่างมั่นใจว่ามีคนรเ้ายอีกคนอยู่ภายในปอเนาะจนกระทั่งเวลาผ่านมา 4-5 ชม. ราวๆเวลา 20.30 น.จากนั้นเจ้าที่จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นภายในหอพัก แต่ละหลัง ขณะที่ ด.ต.สมศักดิ์ นาคเสน อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (ตชด.44) ได้เข้าไปตรวจค้นภายในหอพักหลังหนึ่งหรือเรียกว่าปอเนาะหลังปรากฏว่า คนร้ายซึ่งหลบซ่อนตัวภายในตู้เสื้อผ้า ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่ ดต. สมศักดิ์ หลายนัด จนล้มลงกองกับพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

จากนั้นคนร้ายที่ยิง ดต.สมศักดิ์ ได้กระโดดหนีออกจากทางหน้าต่าง เเละคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนที่ยิงไปก่อนนั้นติดตัวไปด้วย ซึ่งขณะกระโดดหนีทางหน้าต่างคนร้ายได้อาวุธปืน ยิงใส่เจ้าหน้าที่เพื่อ เปิดเส้นทางหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ได้ยิงตอบโต้เป็นเหตุทำให้คนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิตทันทีตรงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดอาวุธปืนที่ดังกล่าวไว้เพื่อนำไปพิสูจย์ตามดีเอ็นเอของคนร้ายว่าเคยก่อเหตุที่ไหนมาเเล้วบ้าง ในส่วนของ ดต. สมศักดิ์ ถูกนำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี แพทย์พยาบาลได้พยายาม ช่วยชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่เนื่องจากกระสุนปืนได้เข้าบริเวณศรีษะ และลำตัวหลายนัด ทำให้เสียเลือดมาก ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิต ในเวลาต่อมา

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 พร้อมด้วย พล.ต.ต.สันทัศน์ เชื้อพุฒตาล ผบก.ภ.จว.ปัตตานี เดินทางไปที่เกิดเหตุ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและทำการสืบสวนสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องว่าคนร้ายที่เสียชีวิตและผู้ต้องหาเข้ามาภายในสถาบันปอเนาะได้อย่างไร
ตำรวจและทหารพรานที่ขอกำลังเสริมมานั้นรอฟังคำสั่งจาก ผ.บเหตุการณ์
ด้าน พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภาค 9 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสืบ

เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าได้ยินเสียงระเบิดบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสถาบันปอเนาะดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับรายงานว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ จึงได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง ขณะตรวจสอบก็ไม่พบจุดที่เกิดระเบิด แต่ด้วยก่อนหน้านี้ได้รับแจ้ง จากสายข่าวในพื้นที่ว่า มีกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการเข้ามาหลบซ่อน และใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่ฝึกอาวุธและร่างกายเพื่อเตรียมที่จะก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจค้น อย่างละเอียด กระทั่งเกิดการปะทะกันขึ้นกับคนร้ายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 1 ราย ฝ่ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย สำหรับผู้ต้องหาที่จะจับกุมได้นั้นได้กำชับให้ทำการสอบสวนขยายผลต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง เพิ่มมาตรการคุมเข้มสถานที่ต่างๆ และดูแลความปลอดภัยประชาชนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันกลุ่มก่อความไม่สงบตอบโต้ ส่วนคนร้ายที่เสียชีวิตนั้นยังต้องรอการพิสูจน์ลายนิ้วมือว่าเป็นใคร ส่วนอาวุธปืนที่ยึดได้จากศพและยึดได้จากผู้ต้องหาได้สั่งการให้ตรวจสอบว่าอาวุธปืนทั้งสองกระบอกเคยก่อเหตุที่ใดมาบ้าง เชื่อว่าจะมีการเชื่อมโยงอีกหลายคดี

ภาพข่าว/ ตอริก สหสันติวรกุล ปัตตานี

ผู้การแกะ ‘ ผบ.ฉก.ทพ.44 นำกำลังเจ้าหน้าที่เร่งอพยพนักเรียนปอเนาะ 132 คน หลังเหตุปะทะในพื้นที่ ต.บางเก่า อ.สายบุรี (วานนี้ 15 ตค.68) โดยเข้าไปช่วยเหลือกำชับ เน้นความปลอดภัยของเยาวชน

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันที่ 16 ตค 68 จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าบังคับใช้กฎหมายในบริเวณโรงเรียนปอเนาะ ม.4 ต.บางเก่า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 มีรายละเอียดสำคัญดังนี้:

เหตุการณ์ปะทะและการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีการใช้พื้นที่บางส่วนของสถาบันปอเนาะเป็นแหล่งหลบซ่อนและฝึกฝนของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ


จนเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มคนร้าย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ EOD เสียชีวิต 1 นาย คนร้ายเสียชีวิต 1 ราย และจับกุมได้อีก 1 ราย ทางด้านคนร้ายที่ผู้เสียชีวิตจากเหตุวิสามัญ คือ นายมูลฮัมหมัด เจ๊ะโดสามะ ซึ่งมีหมายจับในคดีความมั่นคงหลายคดี

โดยในช่วงเหตุการณ์ที่ทางจนท.ได้พบบุคคลเป้าหมาย จนเกิดเหตุปะทะกัน ซึ่งขณะนั้นนักเรียนหลายร้อยคนยัง อยู่ภายในปอเนาะทั้งนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยนักเรียนในโรงเรียนปอเนาะจำนวน 132 คน (ชาย 83 คน หญิง 49 คน) จึงถูก จนท.ทหารพรานช่วยอพยพไปยังโรงเรียนบ้านป่าทุ่ง ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทหารพราน 4404 ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ มีการประสานให้ผู้ปกครองมารับบุตรหลานกลับบ้าน เนื่องจากนักเรียนหลายคนอยู่ในอาการตื่นตกใจและหวาดกลัวจากเหตุการณ์

ผู้สื่อข่าวยังมีรายงานเพิ่มเติม อีกว่า พันเอก ณัฐวุฒิ ศรีสังข์ ผบ.ฉก.ทพ.44 ได้วิทยุ สั่งข้อสั่งการจากแม่ทัพพภาคที่4 ที่ได้กำชับไปยัง ชุดคุ้มครองตำบล (ชคต) เฝ้าระวังอย่างสุดขีดกำลังซึ่งจะอาจเกิดเหตุ โดยเฉพาะพื้นที่ จุดเปราะบาง โดยใช้การเช็ควิทยุสื่อสาร สื่อสารกันถึงมาตรการป้องกันที่อาจจะต้องเพิ่มเติมเพื่อจำกัดเสรีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงงที่ยังกบดานอยู่หลายคนในพื้นที่ อ.สายบุรี , ไม้แก่น , กะพ้อ , ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี

พันเอก ณัฐวุฒิ ศรีสังข์ ผบ.ฉก.ทพ.44 ยังเผยอีกว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดในพื้นที่ และความจำเป็นในการดูแลความปลอดภัยของเยาวชนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในสถานศึกษาที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยและสงบ หากคุณต้องการให้ฉันช่วยร่างข่าวประชาสัมพันธ์หรือโพสต์สำหรับสื่อสังคมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ฉันสามารถช่วยได้ทันที

นอกจากนี้แล้ว ทาง จนท. ฝ่ายความมั่นคงได้แจ้งเตือนข่าวให้ทุกฐานปฏิบัติการในพื้นที่ยกระดับมาตรการความปลอดภัย เพื่อป้องกันการตอบโต้จากกลุ่มผู้ก่อเหตุ

// ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน //

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สิงห์เมืองมุก ผนึกกำลัง สิงห์ดงหลวง! บุกจับผู้ค้ายาเสพติดกลางผึ่งแดด ยึดยาบ้า 400 เม็ด

วันที่ 15 ตุลาคม 2568 นายชายสิทธิ์ สุวรรณโชติ นายอำเภอเมืองมุกดาหาร / ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอเมืองมุกดาหาร (ศป.ปส.อ.เมืองมุกดาหาร)

ได้สั่งการให้นางสาวธัญญารัตน์ เหล่าบุตรศรี ปลัดอำเภอ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองมุกดาหาร (สิงห์เมืองมุก) พร้อมสมาชิก อส. ร้อย อส.อ.เมืองมุกดาหารที่ 2

บูรณาการร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอดงหลวง ภายใต้การอำนวยการของนายพิเชษฐ์ ศรีมารุต นายอำเภอดงหลวง (ผอ.ศป.ปส.อ.ดงหลวง)

โดยมีนายชัช โชติชูชัย ปลัดอำเภอ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอดงหลวง (สิงห์ดงหลวง) พร้อมสมาชิก อส. ร้อย อส.อ.ดงหลวงที่ 8 ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบ หลังได้รับร้องเรียนว่ามีผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในเขตพื้นที่ตำบลผึ่งแดด อำเภอเมืองมุกดาหาร

ผลการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 400 เม็ด โดยแจ้งข้อกล่าวหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย” จำนวน 1 ราย และ“เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน)

โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย” จำนวน 1 ราย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ผึ่งแดด อำเภอเมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

มุกดาหาร #ยาเสพติด #ฝ่ายปกครอง #สิงห์เมืองมุก #สิงห์ดงหลวง #ผึ่งแดด #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้/////ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯจ.ร้อยเอ็ด เตรียมจัดงานสมโภชเมืองร้อยเอ็ด ครบ 250 ปี อย่างยิ่งใหญ่

วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมพระเวสสันดร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด มอบหมายให้ นายพิชัยยา ตุระซอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อม

การจัดงาน “สมโภชเมืองร้อยเอ็ด ครบ 250 ปี” โดยได้รับความเมตตาจาก พระครูมหาธรรมบาลมุรี รองเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เจ้าอาวาสวัดบ้านอ้น เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน และพิจารณารายละเอียดรูปแบบงาน รวมถึงร่างกำหนดการจัดงาน ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 28 ธันวาคม 2568 ณ อนุสาวรีย์พระขัติยะวงษา ห้าแยกสายน้ำผึ้ง และ ลานสาเกตนคร สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดร้อยเอ็ด

การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมสำคัญ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 250 ปีแห่งการสถาปนาเมืองร้อยเอ็ด ตอกย้ำความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ วิถีวัฒนธรรม และความเจริญรุ่งเรืองของชาวร้อยเอ็ด ที่ร่วมกันสืบสานและพัฒนาเมืองให้มั่นคง ยั่งยืน และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์แห่งอีสาน

ทั้งนี้ ในการประชุมได้พิจารณา 2 เรื่องสำคัญ คือ รูปแบบการจัดงานและร่างกำหนดการกิจกรรม และ จำนวนผู้ร่วมรำสมโภชเมืองร้อยเอ็ด ครบ 250 ปี ซึ่งเป็นกิจกรรมไฮไลต์สำคัญที่จะสะท้อนพลังความสามัคคีของชาวร้อยเอ็ด
!!!!!!
คมกฤช พวงศรีเคน ภาพ
คณิต ไชยจันทร์ รายงานจาก จ.ร้อยเอ็ด
โทร 093-458-9192

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ร้านค้าประจวบฯ คึกคัก! ร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ประชาชนรอลงทะเบียนพร้อมใช้สิทธิ์ 29 ต.ค.นี้ /

เมื่อวันที่ 15 ต.ค.68 ที่ห้องประชุมบางนางรม ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดประจวบฯ นายปรีดา สุขใจ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ เป็นประธานเปิด “ศูนย์ One Stop Service คนละครึ่งพลัส ประจวบคีรีขันธ์” โดยมีนางสาวกนกกร เอี่ยมเพชร์ คลังจังหวัดประจวบฯ นางมรกต ลิมปิวรรณ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาประจวบฯ นายสุธี เล้าสุบินประเสริฐ ปลัดจังหวัดฯ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่สำนักงานคลังจังหวัดฯ เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจเดินทางมาเข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก การเปิดศูนย์ปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทั่วไปและร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในพื้นที่ จ.ประจวบฯ โดยได้จัดทีมงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้บริการ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ระหว่างวันที่ 15 – 26 ต.ค. 68 ที่ห้องประชุมบางนางรม ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดประจวบฯ

นายปรีดา สุขใจ กล่าวว่า จังหวัดประจวบฯ ได้มอบหมายให้แต่ละอำเภอในพื้นที่ จัดตั้ง “ศูนย์ให้บริการ One Stop Service คนละครึ่งพลัส” เป็นศูนย์ย่อยให้บริการประชาชนกระจายครอบคลุมทุกอำเภอในจังหวัดฯ และมีศูนย์กลางให้บริการฯ ประจำการที่ศาลากลางจังหวัดฯ เปิดให้บริการและสนับสนุนช่วยเหลือปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อให้ประชาชนในจังหวัดได้ไม่พลาดสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบโอกาสในการใช้สิทธิตามเงื่อนไขของโครงการ สำหรับร้านค้าได้เริ่มเปิดลงทะเบียนให้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. – 19 ธ.ค. 68

ในส่วนของประชาชนจะเปิดให้ผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไป ลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 20 – 26 ต.ค. 68 เวลา 06.00 – 22.00 น. และใช้สิทธิได้ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 68 ด้านสิทธิประโยชน์ของประชาชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ภาครัฐจะช่วยจ่าย 50% ของค่าสินค้าและบริการ มีวงเงินสูงสุด 200 บาทต่อคนต่อวัน โดยผู้ที่ยื่นแบบภาษีจะได้รับวงเงินรวม 2,400 บาท ผู้ที่ไม่ยื่นแบบภาษีจะได้รับวงเงินรวม 2,000 บาท เริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ต.ค. – 31 ต.ค. 68 เวลา 06.00 – 23.00 น. สำหรับผู้ที่เคยได้รับสิทธิในเฟส 5 ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ แต่ต้องอัปเดตแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และกดเข้าร่วมโครงการฯ ได้เลย ที่ีผ่านมามีประชาชนจำนวนมากสอบถามเข้ามาและรอเข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งนี้.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

ตอบโจทย์“แก่ก่อนรวย“สู่สินทรัพย์ใหม่
“อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.”วิเคราะห์โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเขียนบทความเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคมสูงวัยในเฟสบุ้ควันนี้เรื่อง“จาก’แก่ก่อนรวย’สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”โดยวิเคราะห์ปัญหาและโอกาสของไทยในยุคสังคมสูงวัยสมบูรณ์พร้อมเสนอแนวทางสินทรัพย์ใหม่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจสูงวัยไว้อย่างน่าสนใจโดยมีข้อความในบทความเชิงวิเคราะห์ดังนี้

“จาก‘แก่ก่อนรวย‘สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ

“เศรษฐกิจสูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของ “วัยเกษียณ” แต่คือโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่(Silver Economy)ที่ให้คุณค่ากับ “ประสบการณ์” และ “ปัญญา”
อลงกรณ์ พลบุตร

ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปรากฏการณ์ เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงตลาดสินค้าบริการสำหรับผู้สูงอายุ แต่คือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่มอง “วัย”เป็นทรัพยากรที่มีค่า
ในอดีต “วัยเกษียณ” ถูกมองเป็นภาระแต่วันนี้โลกพิสูจน์แล้วว่า “ประสบการณ์และปัญญา”ของผู้สูงวัยคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดภายใต้เศรษฐกิจยุคใหม่
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ได้นำเราเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ” อย่างเต็มตัว
ความท้าทายที่เคยเป็นเรื่องของการดูแลและสวัสดิการ กำลังถูกแปลงโฉมเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าจะพุ่งทะยานสู่ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากประชากรสูงอายุที่คาดว่าจะแตะ 2.1 พันล้านคนภายในปี 2050
การใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนสูงวัยจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตของเศรษฐกิจในทศวรรษหน้าโดยหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน(Transformation)ครั้งนี้คือการเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ของผู้สูงวัยให้เป็น “สินทรัพย์ที่ตีราคาได้จริง”

ตัวอย่างจากหลายประเทศพิสูจน์แล้ว

นานาประเทศได้พัฒนากลไกที่หลากหลายเพื่อดึงดูดและใช้ประโยชน์จากแรงงานสูงวัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการบูรณาการประสบการณ์และปัญญาเข้ากับระบบเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น
“ธนาคารแรงงานสูงวัย” กว่า 4.2 ล้านคน คือคลังสมองขนาดใหญ่ที่ยังพร้อมสร้างมูลค่า ญี่ปุ่นใช้กฎหมายขยายการจ้างงานไปจนถึงอายุ 70 ปี ส่งผลให้มีผู้ทำงานอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.1 ล้านคนในปี 2023 โดยมีอัตราการจ้างงานในกลุ่ม 65-69 ปีสูงกว่า 52%

เยอรมนี
เปิดโอกาสงานพาร์ทไทม์ปลอดภาษีสำหรับวัย 65+ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังต้องการประสบการณ์
เสนอนโยบาย “Aktiverente” ที่ให้รายได้ปลอดภาษีสูงถึง 2,000 ยูโรต่อเดือน

สหรัฐอเมริกา
ใช้โครงการ “Returnship” เพื่อนำมืออาชีพกลับสู่สายงานทักษะสูงอย่าง IT และการเงิน ผ่านการฝึกอบรมเข้มข้น 15-16 สัปดาห์ เป็นการตอกย้ำว่าทักษะที่สั่งสมมายาวนานไม่มีวันล้าสมัย

จีน
ใช้ ระบบเครดิตภาษี เพื่อกระตุ้นให้บริษัทลงทุนในการ ฝึกอบรมพนักงานสูงวัย ควบคู่แรงจูงใจทางภาษี เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นทักษะสมัยใหม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้าง มูลค่าเพิ่ม ให้กับทุนมนุษย์จนทำให้ “ประสบการณ์และปัญญา” กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูง

อาเซียน: ตัวอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับ “คลื่นสูงวัย” อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะสูงถึง 127 ล้านคนในปี 2035 ซึ่งมีสองประเทศที่แสดงแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการกับความท้าทายนี้

สิงคโปร์
มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกือบ 20% ในปี 2024ได้ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้การทำงานที่ยาวนานขึ้น
มีการปรับเพิ่มอายุเกษียณ (Retirement Age) และอายุการจ้างงานซ้ำ (Re-employment Age) อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่อายุ 65 ปีและ 70 ปีตามลำดับภายในปี 2035ผลจากนโยบายเชิงรุกนี้ทำให้อัตราการจ้างงานในกลุ่มอายุ 65-69 ปีพุ่งสูงถึงประมาณ 49.1% ในปี 2024 ทำให้สิงคโปร์มีอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานสูงวัยติดอันดับสูงของโลก

มาเลเซีย
ใช้แนวทางแรงจูงใจทางภาษีและการปฏิรูปสวัสดิการกระตุ้นนายจ้าง โดยขยาย แรงจูงใจทางภาษี สำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปไปจนถึงปี 2025 นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมปฏิรูปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (EPF) ให้มีระบบการถอนเงินแบบรายเดือนคล้ายบำนาญ เพื่อเสริมความมั่นคงทางรายได้ให้กับผู้สูงอายุ เนื่องจากข้อมูลระบุว่า 42% ของผู้สูงอายุยังคงมีฐานะค่อนข้างยากจน กลยุทธ์จึงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางการเงินควบคู่ไปกับการจูงใจให้เกิดการจ้างงาน

สถานการณ์ไทย: วิกฤตหรือโอกาส?
จาก “ผู้รับสวัสดิการ” สู่ “ผู้สร้างมูลค่า”

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้วโดยประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 13.5 ล้านคน คิดเป็น 20.2% ของทั้งประเทศและจะเพิ่มเป็น 35% ภายในปี 2583 ทำให้งบประมาณด้านสาธารณสุขและสวัสดิการเพิ่มขึ้นทุกปี
ในขณะที่สัดส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุมีอยู่เพียง 2% ของประชากรทั้งหมด และปัญหาที่พบคือการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ โดยส่วนมากยังอยู่ในภาคใช้แรงกาย แทบจะไม่ได้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ ทำให้ได้รับค่าตอบแทนต่ำ
คำถามสำคัญคือเรายังมอง“ประชากรผู้สูงอายุ”เป็นปัญหาสังคม หรือมองเห็น “ตลาดใหม่” ที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท?
การเผชิญกับภาวะ “แก่ก่อนรวย” เป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข ที่ผ่านมาใช้นโยบายหลักโดยการจูงใจนายจ้างผ่านการ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 100% สำหรับค่าจ้างผู้สูงอายุที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แรงงานสูงวัยของไทยยังคงกระจุกตัวในงานทักษะต่ำ โดยกว่า 57.8% อยู่ในภาค เกษตรกรรม และมีค่าตอบแทนต่ำ
ในอีกด้านหนึ่งคิอโอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัยของไทยเพราะมีมูลค่าการบริโภคสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 3.55 ล้านล้านบาทภายในปี 2576 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีฐานะมีมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านบาท จากจำนวน 6.7 แสนคน
ยิ่งกว่านั้นศักยภาพเศรษฐกิจสูงวัยไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจ้างงาน แต่รวมถึงการเกิดตลาดใหม่เช่น
1.นวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุ (Silver Tech)ได้แก่ นวัตกรรมสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะกลุ่ม
2.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Wellness Tourism)สำหรับตลาดผู้สูงวัย
3.ที่อยู่อาศัยและชุมชน(Co-living Space)สำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับแนวทางการแปลงประสบการณ์และปัญญาเป็นสินทรัพย์สำหรับไทยมีหลายโมเดลที่ควรพิจารณา:

  1. ระบบเครดิประสบการณ์(Experience Credit System)
    พัฒนาระบบบันทึกและประเมินมูลค่าทักษะที่สั่งสมมา เป็น “เครดิต” ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนทางการเงิน หรือโอกาสในการทำงานได้
    2.คลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณ (Silver Knowledge Bank)
    สร้างคลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่บริษัทสามารถเข้าถึงได้
  2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentive Model)
    ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่จ้างผู้สูงอายุเป็นที่ปรึกษา
    4.สร้างพื้นที่ทำงานร่วมระหว่าง
    เยเนอเรชัน (Inter-generational Collaboration)เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์

บทสรุป: โจทย์ใหญ่ของไทย: การเปลี่ยนจาก “ภาระ” สู่ “พลังเศรษฐกิจ”

เราต้องถอดบทเรียนจากประเทศผู้นำในการก้าวข้ามจากมาตรการจูงใจทั่วไป ไปสู่การ ลงทุนในการเปลี่ยนผ่านทักษะ (Skill Transformation) ของผู้สูงอายุอย่างจริงจัง
ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ที่มีค่าให้เป็น “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้าง ผลิตภาพ (Productivity) และ มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน
การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุยังคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจสร้างประโยชน์ในหลายมิติเพราะเมื่อยังทำงานมีรายได้ใช้จ่ายและเสียภาษีเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและยังลดภาระการพึ่งพิงเงินภาครัฐและครอบครัวนอกจากนี้การมีผู้ทำงานมากขึ้นช่วยเพิ่มฐานภาษีทำให้รัฐมีงบประมาณเพิ่มขึ้นประการสำคัญคือผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าไม่เป็นภาระอีกต่อไป
การเปลี่ยนผู้สูงอายุจาก “ภาระ” สู่ “พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ“จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของไทยในการตอบโจทย์”แก่ก่อนรวย“สู่สินทรัพย์ใหม่คือโอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”

(อ้างอิง: Dataintelo, UN, nippon.com, IamExpat.de, JPMorgan Chase, MOM, ASEAN , DOP 2023, TDRI, Deloitte, Royal Decree No. 639 B.E. 2560 ,nippon.com, Bernama)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเขียนบทความเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคมสูงวัยในเฟสบุ้ควันนี้เรื่อง“จาก’แก่ก่อนรวย’สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”โดยวิเคราะห์ปัญหาและโอกาสของไทยในยุคสังคมสูงวัยสมบูรณ์พร้อมเสนอแนวทางสินทรัพย์ใหม่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจสูงวัยไว้อย่างน่าสนใจโดยมีข้อความในบทความเชิงวิเคราะห์ดังนี้

“จาก‘แก่ก่อนรวย‘สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ

“เศรษฐกิจสูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของ “วัยเกษียณ” แต่คือโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่(Silver Economy)ที่ให้คุณค่ากับ “ประสบการณ์” และ “ปัญญา”
อลงกรณ์ พลบุตร

ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปรากฏการณ์ เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงตลาดสินค้าบริการสำหรับผู้สูงอายุ แต่คือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่มอง “วัย”เป็นทรัพยากรที่มีค่า
ในอดีต “วัยเกษียณ” ถูกมองเป็นภาระแต่วันนี้โลกพิสูจน์แล้วว่า “ประสบการณ์และปัญญา”ของผู้สูงวัยคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดภายใต้เศรษฐกิจยุคใหม่
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ได้นำเราเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ” อย่างเต็มตัว
ความท้าทายที่เคยเป็นเรื่องของการดูแลและสวัสดิการ กำลังถูกแปลงโฉมเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าจะพุ่งทะยานสู่ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากประชากรสูงอายุที่คาดว่าจะแตะ 2.1 พันล้านคนภายในปี 2050
การใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนสูงวัยจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตของเศรษฐกิจในทศวรรษหน้าโดยหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน(Transformation)ครั้งนี้คือการเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ของผู้สูงวัยให้เป็น “สินทรัพย์ที่ตีราคาได้จริง”

ตัวอย่างจากหลายประเทศพิสูจน์แล้ว

นานาประเทศได้พัฒนากลไกที่หลากหลายเพื่อดึงดูดและใช้ประโยชน์จากแรงงานสูงวัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการบูรณาการประสบการณ์และปัญญาเข้ากับระบบเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น
“ธนาคารแรงงานสูงวัย” กว่า 4.2 ล้านคน คือคลังสมองขนาดใหญ่ที่ยังพร้อมสร้างมูลค่า ญี่ปุ่นใช้กฎหมายขยายการจ้างงานไปจนถึงอายุ 70 ปี ส่งผลให้มีผู้ทำงานอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.1 ล้านคนในปี 2023 โดยมีอัตราการจ้างงานในกลุ่ม 65-69 ปีสูงกว่า 52%

เยอรมนี
เปิดโอกาสงานพาร์ทไทม์ปลอดภาษีสำหรับวัย 65+ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังต้องการประสบการณ์
เสนอนโยบาย “Aktiverente” ที่ให้รายได้ปลอดภาษีสูงถึง 2,000 ยูโรต่อเดือน

สหรัฐอเมริกา
ใช้โครงการ “Returnship” เพื่อนำมืออาชีพกลับสู่สายงานทักษะสูงอย่าง IT และการเงิน ผ่านการฝึกอบรมเข้มข้น 15-16 สัปดาห์ เป็นการตอกย้ำว่าทักษะที่สั่งสมมายาวนานไม่มีวันล้าสมัย

จีน
ใช้ ระบบเครดิตภาษี เพื่อกระตุ้นให้บริษัทลงทุนในการ ฝึกอบรมพนักงานสูงวัย ควบคู่แรงจูงใจทางภาษี เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นทักษะสมัยใหม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้าง มูลค่าเพิ่ม ให้กับทุนมนุษย์จนทำให้ “ประสบการณ์และปัญญา” กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูง

อาเซียน: ตัวอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับ “คลื่นสูงวัย” อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะสูงถึง 127 ล้านคนในปี 2035 ซึ่งมีสองประเทศที่แสดงแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการกับความท้าทายนี้

สิงคโปร์
มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกือบ 20% ในปี 2024ได้ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้การทำงานที่ยาวนานขึ้น
มีการปรับเพิ่มอายุเกษียณ (Retirement Age) และอายุการจ้างงานซ้ำ (Re-employment Age) อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่อายุ 65 ปีและ 70 ปีตามลำดับภายในปี 2035ผลจากนโยบายเชิงรุกนี้ทำให้อัตราการจ้างงานในกลุ่มอายุ 65-69 ปีพุ่งสูงถึงประมาณ 49.1% ในปี 2024 ทำให้สิงคโปร์มีอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานสูงวัยติดอันดับสูงของโลก

มาเลเซีย
ใช้แนวทางแรงจูงใจทางภาษีและการปฏิรูปสวัสดิการกระตุ้นนายจ้าง โดยขยาย แรงจูงใจทางภาษี สำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปไปจนถึงปี 2025 นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมปฏิรูปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (EPF) ให้มีระบบการถอนเงินแบบรายเดือนคล้ายบำนาญ เพื่อเสริมความมั่นคงทางรายได้ให้กับผู้สูงอายุ เนื่องจากข้อมูลระบุว่า 42% ของผู้สูงอายุยังคงมีฐานะค่อนข้างยากจน กลยุทธ์จึงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางการเงินควบคู่ไปกับการจูงใจให้เกิดการจ้างงาน

สถานการณ์ไทย: วิกฤตหรือโอกาส?
จาก “ผู้รับสวัสดิการ” สู่ “ผู้สร้างมูลค่า”

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้วโดยประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 13.5 ล้านคน คิดเป็น 20.2% ของทั้งประเทศและจะเพิ่มเป็น 35% ภายในปี 2583 ทำให้งบประมาณด้านสาธารณสุขและสวัสดิการเพิ่มขึ้นทุกปี
ในขณะที่สัดส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุมีอยู่เพียง 2% ของประชากรทั้งหมด และปัญหาที่พบคือการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ โดยส่วนมากยังอยู่ในภาคใช้แรงกาย แทบจะไม่ได้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ ทำให้ได้รับค่าตอบแทนต่ำ
คำถามสำคัญคือเรายังมอง“ประชากรผู้สูงอายุ”เป็นปัญหาสังคม หรือมองเห็น “ตลาดใหม่” ที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท?
การเผชิญกับภาวะ “แก่ก่อนรวย” เป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข ที่ผ่านมาใช้นโยบายหลักโดยการจูงใจนายจ้างผ่านการ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 100% สำหรับค่าจ้างผู้สูงอายุที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แรงงานสูงวัยของไทยยังคงกระจุกตัวในงานทักษะต่ำ โดยกว่า 57.8% อยู่ในภาค เกษตรกรรม และมีค่าตอบแทนต่ำ
ในอีกด้านหนึ่งคิอโอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัยของไทยเพราะมีมูลค่าการบริโภคสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 3.55 ล้านล้านบาทภายในปี 2576 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีฐานะมีมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านบาท จากจำนวน 6.7 แสนคน
ยิ่งกว่านั้นศักยภาพเศรษฐกิจสูงวัยไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจ้างงาน แต่รวมถึงการเกิดตลาดใหม่เช่น
1.นวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุ (Silver Tech)ได้แก่ นวัตกรรมสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะกลุ่ม
2.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Wellness Tourism)สำหรับตลาดผู้สูงวัย
3.ที่อยู่อาศัยและชุมชน(Co-living Space)สำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับแนวทางการแปลงประสบการณ์และปัญญาเป็นสินทรัพย์สำหรับไทยมีหลายโมเดลที่ควรพิจารณา:

  1. ระบบเครดิประสบการณ์(Experience Credit System)
    พัฒนาระบบบันทึกและประเมินมูลค่าทักษะที่สั่งสมมา เป็น “เครดิต” ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนทางการเงิน หรือโอกาสในการทำงานได้
    2.คลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณ (Silver Knowledge Bank)
    สร้างคลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่บริษัทสามารถเข้าถึงได้
  2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentive Model)
    ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่จ้างผู้สูงอายุเป็นที่ปรึกษา
    4.สร้างพื้นที่ทำงานร่วมระหว่าง
    เยเนอเรชัน (Inter-generational Collaboration)เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์

บทสรุป: โจทย์ใหญ่ของไทย: การเปลี่ยนจาก “ภาระ” สู่ “พลังเศรษฐกิจ”

เราต้องถอดบทเรียนจากประเทศผู้นำในการก้าวข้ามจากมาตรการจูงใจทั่วไป ไปสู่การ ลงทุนในการเปลี่ยนผ่านทักษะ (Skill Transformation) ของผู้สูงอายุอย่างจริงจัง
ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ที่มีค่าให้เป็น “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้าง ผลิตภาพ (Productivity) และ มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน
การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุยังคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจสร้างประโยชน์ในหลายมิติเพราะเมื่อยังทำงานมีรายได้ใช้จ่ายและเสียภาษีเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและยังลดภาระการพึ่งพิงเงินภาครัฐและครอบครัวนอกจากนี้การมีผู้ทำงานมากขึ้นช่วยเพิ่มฐานภาษีทำให้รัฐมีงบประมาณเพิ่มขึ้นประการสำคัญคือผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าไม่เป็นภาระอีกต่อไป
การเปลี่ยนผู้สูงอายุจาก “ภาระ” สู่ “พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ“จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของไทยในการตอบโจทย์”แก่ก่อนรวย“สู่สินทรัพย์ใหม่คือโอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”

(อ้างอิง: Dataintelo, UN, nippon.com, IamExpat.de, JPMorgan Chase, MOM, ASEAN , DOP 2023, TDRI, Deloitte, Royal Decree No. 639 B.E. 2560 ,nippon.com, Bernama)

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ยึดยาบ้าเกือบ 2 แสนเม็ด 1 ล้านบาท ผู้ต้องหา 197 ราย เครือข่ายใหญ่7 ราย หลังแก๊งยาบ้าเปลี่ยนวิธีใช้รถแท็กซี่ขนยาบ้าพื้นที่ศรีสะเกษ

***วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.ศุภชัย ศักรินพานิชกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับ นายสุริยา บุตรจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดในช่วงวันที่ 1 – 13 ตุลาคม 2568 ซึ่งจากปฏิบัติการดังกล่าว เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวมทั้งหมด 197 คน ของกลางยาบ้าจำนวน 199,975 เม็ด และยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาคดียาเสพติดรวมมูลค่าประมาณ 1,050,000 บาท ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่เรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ

***ทั้งนี้ สำหรับการปราบปรามเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในเดือนตุลาคม ชุดปราบปรามยาเสพติดของตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการ “238 พิทักษ์นครลำดวน” ซึ่งประกอบด้วยตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่เรือนจำฯ สามารถสืบสวนติดตามและจับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญได้ 1 เครือข่าย จำนวน 5 ราย ผู้ต้องหา 4 คน ของกลางยาบ้า 190,000 เม็ด และยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 920,000 บาท หนึ่งในนั้นเป็นรถแท็กซี่ที่พ่อค้ายาใช้ขับขนสินค้ากระจ่ายให้ลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องอีก 7 ราย

***พล.ต.ต.ศุภชัย ศักรินพานิชกุล เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออันเข้มแข็งของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนและลดปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และขอความร่วมมือจากประชาชนและสถานประกอบการทุกแห่งในการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นผู้เสพ ผู้ค้า หรือผู้ใช้สถานประกอบการในการกระทำผิดโดยสามารถแจ้งข้อมูลได้ผ่านสายด่วนยาเสพติด 1599, สายด่วน 191, Application Police I lert U และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดศรีสะเกษ สายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างเข้มข้น โดยการร่วมมือของประชาชนถือเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะดำเนินการจับกุมและปราบปรามแล้ว ข้อมูลจากชาวบ้านถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยลดปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ


***นายสุริยา บุตรจินดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า การปฏิบัติการนี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยต้องดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด


***นโยบายของรัฐบาลเน้นการดำเนินงานตามกฎหมายไทยและหลักสากลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด การปิดล้อมตรวจค้น การทำลายเครือข่าย และการสืบสวนขยายผลผู้ค้ายาเสพติดในทุกระดับ จึงถือว่าการจับกุมผู้ต้องหาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธการ “พิฆาตทรชนคนค้ายาอีสานใต้” และยุทธการ “238 พิทักษ์นครลำดวน” ของจังหวัดศรีสะเกษ


***ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในสังกัดตำรวจภูธรภาค 3 และจังหวัดศรีสะเกษ ยังคงเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมระดมกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดและลดปัญหาอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับประชาชนที่พบเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถแจ้งได้ทุกช่องทางที่กำหนดโดยเจ้าหน้าที่ ทั้งสายด่วนและแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ชาวไทยมุสลิมนับร้อยคน ถูกลอยแพ ทิ้งกลางสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ บริษัททัวร์ปิดหนี กบดานศรัทธากับความสิ้นหวัง สูญนับร้อยล้านบาท

จากกรณีเกิดความวุ่นวายที่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา สืบเนื่องจาก ผู้เดินทางไปแสวงบุญอุมเราะฮฺ จำนวน 170 คน ที่ เตรียมออกเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทุกคนที่จะเดินทาง และญาติพี่น้องที่มาส่ง ต่างพากันรอเพื่อเตรียมตัว กันขึ้นเครื่องเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปยังประเทศซาอุดิอารเบีย แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง ปรากกว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ ของบริษัทดังกล่าวมาแสดงตัว ทุกคนได้พยายามติดตาม บริษัทแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งทางบริษัทได้ ส่งข้อความ ทางไลน์กลุ่มของผู้ที่จะเดินทางว่า “ไม่สามารถเดินทางได้” ทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่า ถูกหลอก ทำให้บรรยากาศวันดังกล่าวทุกคนที่คาดหวังว่าจะเดินทางไปอุมเราะห์ต่างผิดหวังและร้องไห้ รวมไปถึงญาติ ๆ ที่มาส่งกัน ต่างได้รับความเสียใจอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งของชาวมุสลิมจะเก็บเงินไปแสงบุญ

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด วานนี้ วันที่ 14 ตค. เวลา 13.30 น. กลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 41 คน ทั้งจากจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และสงขลา ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับบริษัทผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว โดยมี พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี ,พ.ต.ท.ศักดิ์อนันตื คำไสย รอง ผกก.ทท.หาดใหญ่ และ พ.ต.ท.ณัฐวรรธน์ สงคง สว.ทท.นราธิวาส รวมถึงเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ จชต.โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันจะรวบรวมหลักฐาน เพื่อเอาคนผิดมาดำเนินคดี โดยความเสียหายเบื้องต้น ร่วม 10 กว่าล้านบาท

โดยบริษัทดังกล่าวมีชื่อว่า รุส ฮัจญ์ แอนด์ ทราเวล ผู้เสียหายแต่ละรายระบุว่า ได้จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้ว รายละเกือบ 60,000 -100,000 บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อไปแสวงบุญ แต่กลับถูกลอยแพไม่ทราบชะตากรรมของผู้จัดการบริษัท ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าของบริษัทหายตัวไปอย่างเงียบ และหลังจากเหตุการณ์ 1 วัน ทางบริษัทได้โพสข้อความแสดงคำขอโทษ และจะพยายามหาเงินมาจ่ายคืนแก่ผู้เสียหายภายใน 5 เดือน และไม่มีการติดต่อมาอีกเลย เบื้อต้นมีผู้เสียหายราย 170 ราย

ดำเนินการเพราะผู้เสียหายครั้งนี้มีเป็นจำนวนมาก พร้อมยืนยันจะรวบรวหลักฐาน เพื่อเอาคนผิดมาดำเนินคดี โดยความเสียหายเบื้องต้น ร่วม 10 กว่าล้านบาทนางรอดีย๊ะ อาแว ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มของตนมีกำหนดเดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยก่อนเดินทางหนึ่งวัน ได้มีการพูดคุยกันในกลุ่มไลน์เกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทาง แต่ปรากฏว่าไม่มีคำตอบชัดเจนจากทางบริษัท ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจและสงสัยว่าทำไมบริษัทไม่แจ้งข้อมูล หรือกำหนดเวลาเดินทางให้แน่ชัด

ต่อมาทางบริษัทได้แจ้งเพิ่มเติมว่า ไม่สามารถเดินทางได้ เนื่องจาก แพ็กเกจที่ทุกคนซื้อไปไม่พอจ่าย และขอให้ผู้เดินทางทุกคนโอนเงินเพิ่มคนละ 15,000 บาท โดยยืนยันว่าหากชำระเพิ่มแล้วจะสามารถเดินทางได้แน่นอน ด้วยความตั้งใจและศรัทธาที่อยากไปประกอบพิธี ทุกคนจึงยอมโอนเงินไปตามที่บริษัทแจ้ง

แต่สุดท้าย บริษัทกลับเงียบหายไป และปิดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด ไม่สามารถติดต่อได้อีกทุกคนเสียใจมาก คืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลย… ส่วนตนก็รู้สึกจุกในใจมาก เพราะตั้งใจจะพาแม่ ๆ ป้า ๆ ไปทำอุมเราะห์ แต่สุดท้ายกลับต้องเห็นพวกเขาร้องไห้กันหมดนางกุลยา เจะเลาะ ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนรออยู่ที่สนามบิน ด้วยความหวัง ว่าจะได้เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ แต่เมื่อรอแล้วรออีก ก็เริ่มรู้ชะตากรรมว่าคงไม่ได้ไปต่อ ด้วยความอยากไป จึงลองไปตรวจสอบตั๋วที่สนามบิน ปรากฏว่าไม่มีชื่อของตนอยู่ในรายชื่อผู้โดยสาร ทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ก็ยังคงยืนรอต่อไป

ส่วนคนอื่น ๆ ที่มาร่วมเดินทางก็น่าสงสารมาก โดยเฉพาะเมาะ (คนแก่) บางคนที่เดินทางมาไกล ตั้งแต่ตี 2 มานั่งรอจนฟ้าสว่าง สุดท้ายก็ไม่ได้ไป และไม่มีใครจากบริษัทออกมาดำเนินการหรือชี้แจง ทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ ตาแดงกันไปหมดเงินหามาใหม่ได้ แต่ความรู้สึกเสียไปแล้ว เพราะตนตั้งใจอย่างมากที่จะไปทำอุมเราะห์ กว่าจะได้ลางานไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งแพ็กเกจนี้ตนชำระเงินล่วงหน้าไปกว่า 3 เดือน แต่สุดท้ายบริษัทกลับทำกับเราด้วยวิธีแบบนี้ ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักกันมาก่อน แต่เมื่อเจอปัญหาเดียวกัน ทุกคนต่างพากันกอดกันท่ามกลางน้ำตา

ด้าน พ.ต.ท.วินิตร อินสุวรรณ. รอง ผกก.สืบสวน สภ.เมืองปัตตานี เปิดเผยว่า วันนี้มีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความราว41ราย และยังมีผู้เสียหายอื่นๆอีกที่กำลังจะเข้ามาแจ้งความเพิ่ม โดยส่วนใหญ่ผู้เสียหายได้มีการโอนไป และบ้างรายก็จ่ายสด 8-9หมื่นบาท บางราย เสียหาย1แสนบาทซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้แนะนำผู้เสียหายให้รวบรวมหลักฐานทั้งสลิปการโอน แชทสนทนา กำหนดการเดินทาง หรือเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาประกอบพยานหลักฐานมาดำเนินคดีต่อไป // ตอริก สหสันติวรกุล ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ปัตตานี

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เรียนเชิญพี่ๆสื่อร่วมงานแถลงข่าว ภาพยนตร์ บยอ แตน เชิญร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง ขยอ แตน

           กำหนดงาน

14:30 น.ลงทะเบียน
15:30 น.เริ่มงานบริเวณชั้น3 โรงภาพยนตร์ เมเจอร์รัชโยธิน
16:00 น..เริมงานในโรงภาพยนตร์โรง6 โดยพิธีเปิดตัว บริษัท รอยัลพิกชิว เอนเตอเทรนเม้นผู้น่า ภาพยนตร์เมียนมาร์ เข้าฉายในโรงหนังชั้นนำในประเทศไทยเช่นเมเจอร์
โดยนาย อิทธิพัทธ์ ภกิจจีรภรณ์ กรรมการบริหารงาน บริษัท รอยัล พิกชิวอินเตอร์เทนเม้นไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัท ริยัล พิกชิว ร่วมกับ เมเจอร์ ได้นำหนังยอดนิยม จากต่างประเทศโดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้หลายอารมณ์ จากประเทศ เมียนมาร์ นำเข้ามาฉายทีประเทศไทย โดยบื้องต้นบริษัทจะเริ่มนำมาฉายภายในเครือเมเจอร์
พร้อมด้วยนาย เต็ง หล่าย วิน
นาย พิว เว โซ (Mr Thein Hlain Win) และMr Phyo Ngwe Soe
ร่วมพูดคุยถึงภาพยนตร์และมาพร้อมนักแสดงนำ พูดคุยถึงภาพยนตร์เรื่องนี้

สอบถามรายละเอียด
หรือเฟิร์มร่วมงานโทร.0928579195

เปิดตัว!!ขึ้นแท่นนักแสดงดาวรุ่ง อลิซ ทวีธาร ไกรกรรดิ นางสาวไทยระยอง ในละครเทิดพระเกียรติ ออกอากาศทางช่อง5 ฝากติดตามนางร้ายป้ายแดงคนนี้ด้วยนะคะ

นางสาวไทยระยอง

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง