เรื่องทั้งหมดโดย admin

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดโครงการเสริมสร้างความรู้ การปกครองระบอบประชาธิ ปไตย เพื่อสร้างพรรคการเมืองคุณภาพ (รุ่นที่ 1)

แชร์เนื้อหานี้

วันอังคาร ที่ 26 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมน่านกรีนเลค วิว รีสอร์ท อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นายโชคดี ด้วงแป้น ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดน่าน กล่าวรายงานต่อนายเกรียงไกร พานดอกไม้ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ประธานในพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อสร้างพรรคการเมืองคุณภาพ กิจกรรมที่ 4 อบรมเสริมสร้างความรู้หลักสูตรพรรคการเมืองคุณภาพ(รุ่นที่1 )ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ดำเนินโครงการ

เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข เพื่อสร้างพรรคการเมืองคุณภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกรรมการสาขาพรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด สมาชิกพรรคการเมือง

และประชาชนทั่วไป โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งในเรื่องของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเป็นพลเมืองคุณภาพ และการเป็นพรรคการเมืองคุณภาพ จากทีมวิทยากรพรรคการเมืองคุณภาพ

ที่ผ่านการอบรมจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อให้การดำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการปกครอง
ในระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กิจกรรมที่ 4
อบรมเสริมสร้างความรู้หลักสูตรพรรคการเมืองคุณภาพ

เป็นไปตามวัตถุประสงค์มีความมุ่งหวังให้เกิดการมแพร่ควายแพร่ความรั
สร้างความเข้าใจและสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการดำเนินกิจกรรม
ทางการเมือง ให้เป็นไปตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรระ
ด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดน่าน มีสาขาพรรคการเมือง
และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ที่ดำเนินกิจกรรมอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมจำนวน 9 สาขาพรรคการเมือง 4 ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จึงได้กำหนดให้มีการดำเนินกิจกรรมตามโครงการฯ ดังกล่าว แบ่งการอบรมออกเป็น 2 รุ่นๆ ละ 100 คน

รวม 200 คน ดังนี้ รุ่นที่ 1 วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมน่านกรีนเลค วิว รีสอร์ท อำเภอเมืองน่าน จำนวน 100 คน รุ่นที่ 2 วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมดิ อิมเพรส น่านอำเภอเมืองน่าน จำนวน 100 คน/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดแถลงข่าวการจัดงาน เทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ( Gastronomy Tourism ) เพื่อนกระตุ้นเศรษกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ จากการท่องเที่ยว

แชร์เนื้อหานี้

ช่วงค่ำ วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมเวอร์โซ หัวหิน อะวิรันดา คอลเลคชัน ตำบลหนองแก อำเ ภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายปรีดา สุขใจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดงาน เทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ( Gastronomy Tourism ) เพื่อกระตุ้นเศรษกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ จากการท่องเที่ยว ให้กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โดยมี นายสุทิน ประเสริฐศักดิ์ นายอำเภอบางสะพาน นายราม สิงหโศภิษฐ์ นายอำเภอปราณบุรี ร.ท.สิทธิชัย ตัณฑสิทธิ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น.ส.ศิริวรรณ คณะศร พาณิชย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เชฟนพดล นุชเจริญ ประธานที่ปรึกษาชมรมพ่อครัว ชะอำ/หัวหิน นายทวีสิน พัฒนาภิรัส ประธานสภา อบจ.ประจวบคีรีขันธ์ นายอิศรา กาญจนรัตน์ นายกเทศบาลตำบลบ้านกรูด พร้อม หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ประกอบการ สื่อมวลชน ร่วมกิจกรรม

สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ เพื่อยกระดับฯ มาตรฐานอาหารไทยจากระดับชุมชนสู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ภายในงาน รวม เมนูอาหารคาว- หวานกว่า 100 เหนู อร่อยกับอาหารทะเลปลอดภัย IG OTOP อาหารสายสุขภาพ ฮาลาล Food Truck กับบรรยากาศบนชายหาดริมทะเลสุดชิลล์ ทั้ง 8 อำเภอ ในจังหวัดประจวบ ย๊าวยาว!! จุกๆไปเลย! กับงานดีๆ 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1 “จากคลื่นสู่ครัว” 29-31 สิงหาคม 2568 ณ บริเวณ หาดเขากะโหลก อำเภอปราณบุรี จ.ประจวบ ฟังเพลงเพราะๆกับศิลปิน เอ๊ะ จิรากร หน้ากากอีกาดำ” จากรายการ The Mask Singer อินฟูเอ็นเซอร์สายอาหาร โหน่งโชว์ ปรุงเมนู “กุ้งผัดกะปีตะไคร่” แจกชิมฟรี!! และพูดคุยกับอินฟูเอ็นเซอร์สายสุขภาพ “ฟิตกับแพม” คุณปาเมลา ปาสิเนตดี หรือ เปมิกา ปาสิเนตตี้ ชื่อ เล่น แพม มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017

พิธีกรรายการ สามแซ็ป ช่อง 3 รวมชิมเมนูรังสรรค์ กับกิจกรรม แข่งขันทำอาหาร รางวัลรวมกว่า 3 หมื่นบาท จำนวน 10 ทีมครั้งที่ 2 “รสมือแม่” 12-14 กันยายน 2568 ณ บริเวณชายหาดบ้านกรูด อำเภอบางสะพานฟังเพลงจากหนุ่มประมงเสียงเล็ก “เล็ก-รัชเมศฐ์” นักร้องสักลาย ร้อยล้านวิวอินฟูเอ็นเซอร์สายอาหาร ชื่อดัง ปรุงอาหาร แจกซิมฟรี!!รู้จักกับเมนูอาหารชุมชนรสดังเดิม

จากการโชว์ 8 ชุมชนทั้งสองครั้ง ชมไฮไลท์ควงกระบองไฟทุกค่ำคืน เวลา 20.40 น. ดนตรี การแสดง เกมรับของที่ระลึก สัมผัสอาหารแบบ Fine Dining และซมพลุสุดอรังการพาณิชย์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมบูรณาการ จัดกิจกรรมนาทีทอง โดยจำหน่ายกุ้งขาวแวนนาไมสด จำนวน 1,100 กิโลกรัม นำมาจำหน่ายราคาพิเศษ ไม่ต่ำกว่า 150 กิโลกรัมต่อวัน มีทั้งปรุงสุก และสดกลับบ้านงานเริ่ม 16.00-24.00 น. ทุกวัน

////////////////////

ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / มทบ.38 ตรวจความพร้อมรับมือพายุ “คาจิกิ” จัดกำลัง 60 ชุดปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 เวลา 18.00 น. ณ หน้าค่ายสุริยพงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน พลตรีบุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 / ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 38 เป็นประธานตรวจความพร้อมกำลังพล ยานพาหนะ และเครื่องมือ

เพื่อเตรียมการรับมือกับสถานการณ์อิทธิพลพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นและคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดน่าน อาจก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก

ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 38 ได้จัดกำลัง 60 ชุดปฏิบัติการเข้าประจำพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติที่รวดเร็ว รอบคอบ และปลอดภัย รวมถึงการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือมีประสิทธิภาพสูงสุด

การตรวจความพร้อมครั้งนี้ มีหน่วยงานเข้าร่วม ได้แก่ กำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 38, กรมทหารพรานที่ 32, กองพันทหารม้าที่ 10 กรมทหารม้าที่ 2, กองพันทหารม้าที่ 15 กรมทหารม้าที่ 2, กองพลพัฒนาที่ 3, โรงพยาบาลค่ายสุริยพงษ์ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดน่าน

พลตรีบุญญฤทธิ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมครั้งนี้ว่า มทบ.38 มีหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่โดยตรง หากเกิดสถานการณ์วิกฤต จะต้องรีบเคลื่อนย้ายประชาชนและผู้ป่วยไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่กองพันทหารม้าที่ 2 กรมทหารม้าที่ 15 ซึ่งสามารถรองรับได้กว่า 150 เตียง เพื่อดูแลประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน พร้อมย้ำว่าทุกกำลังพลต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทน รอบคอบ และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

พลตรีบุญญฤทธิ์ ยังกล่าวชื่นชมกำลังพลและทุกหน่วยงานที่เข้าร่วม พร้อมยืนยันว่าการเตรียมการครั้งนี้จะสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนจังหวัดน่านว่า หากเกิดภัยพิบัติขึ้น หน่วยงานภาครัฐจะสามารถเข้าถึงพื้นที่และให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/ร.ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ขายแอลกอฮอล์ ในวันทางศาสนาได้ กำหนดโซนนิ่ง 5 ตำบลใน อ.เมือง / สภ.ละแมจับกุมผู้ต้องตามหมายจับของ ศาลจังหวัดหลังสวน 1ราย

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 ตามที่จังหวัดชุมพร แจ้งให้อำเภอเมืองชุมพร พิจารณากำหนดพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ตามข้อ 3 ของประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2568 โดยให้คำนึงถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม และประเพณีของพื้นที่ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว เช่น ข้อมูลสถานการณ์พักแรม จำนวนผู้เยี่ยมเยือน รายได้จากผู้เยี่ยมเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่เป็นสำคัญ และวิเคราะห์ข้อดีที่จะได้รับและข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกมิติ และจัดทำแผนมาตรการป้องกันการกระทำความผิดตามกฎหมาย เพื่อรองรับการกำหนดพื้นที่หรือบริเวณดังกล่าว ตลอดจนรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นต่อการพิจารณากำหนดพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้น

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองชุมพร นายเจริญโชค พรหมชุติมา นายอำเภอเมืองชุมพร ได้เชิญคณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว เข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นรวมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะในกรณีดังกล่าวผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก สภ.เมืองชุมพร สภ.ปากน้ำชุมพร สภ.บ้านวิสัยเหนือ สาธารณสุข อ.เมืองชุมพร พัฒนาการ อ.เมืองชุมพร ท้องถิ่น อ.เมืองชุมพร ผู้แทนจากเทศบาลเมืองชุมพร เทศบาลเมืองท่ายาง นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร ผู้แทนสมาคมโรงแรมจังหวัดชุมพร ประธานหอการค้าจังหวัดชุมพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดชุมพร ประธานชมรมร้านอาหารจังหวัดชุมพร ผู้แทนสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ราชการ อ.เมืองชุมพรที่เกี่ยวข้อง

ที่ประชุมใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 1 ชั่วโมง และมีมติให้กำหนดพื้นที่จำหน่ายแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาจำนวน 5 พื้นที่คือ 1.เขตเทศบาลเมืองชุมพร (ต.ท่าตะเภา) 2.ตำบลนาทุ่ง 3.ตำบลนาชะอัง 4.ตำบลท่ายาง และ 5.ตำบลปากน้ำ โดยสถานที่สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ในสำคัญทางศาสนาทั้ง 5 วัน ในพื้นที่ 5 ตำบล จะต้องเป็นสถานประกอบการที่เปิดให้บรืการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และร้านอาหารจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.ฎ.กำหนดพื้นที่ (Zonning), คำสั่ง หน.คสช.ที่ 22/2558, ปว.50 กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์

กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข (กรณีที่มีการแสดงมหรสพ การแสดงดนตรี เต้นรำ รำวง รองเง็ง ดิสโกเธค คาราโอเกะ ตู้เพลง หรือการแสดงอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน) กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาดและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอนึ่ง ในการลงมติมีกรรมการงดออกเสียง 2 คนคือ นายอำเภอเมืองชุมพร (ประธานการประชุม) และ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดชุมพร ซึ่งอำเภอเมืองชุมพรจะนำมติของที่ประชุมเสนอต่อที่ประชุมในระดับจังหวัดต่อไป

สภ.ละแมจับกุมผู้ต้องตามหมายจับของ ศาลจังหวัดหลังสวน 1ราย
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514
วันที่ 25 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน พ.ต.อ.อนันท์ อนุตรเวสารัช ผกก.สภ.ละแม ผู้ต้องหาตามหมายจับของ ศาลจังหวัดหลังสวน จ.153/2568 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ยักยอก” มอบหมายให้
พ.ต.ท.พชร อ่วมทองดี รอง ผกก.ป.สภ.ละแม, พ.ต.ท.สุชาติ สิงหา รอง ผกก.สส.สภ.ละแม, พ.ต.ท.โตษณ พันธุ์ทอง,พ.ต.ท.วรรณโน จิตภิบาล สวป.สภ.ละแม ประกอบด้วย ร.ต.อ.สุชาติ หนูชัยแก้ว รอง สวป.สภ.ละแม,ร.ต.ท.ธรรมนูญ นกเขา, จ.ส.ต.อาทิตย์ อิศเรนทร์. จ.ส.ต.อภิชัย เผือกเกิด
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบ บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 36 ม.6 ต.สวนแตง อ.ละแม จว.ชุมพร
ชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ออกสืบสวนจับกุมความผิดต่างๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ในห้วงระดมกวาด ล้างอาชญากรรมระยะแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 – 30 กันยายน 2568 จากการสืบสวนและสายลับแจ้งว่า บ้านเลขที่ 239 หมู่ที่ 9 ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร มีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดให้กับกลุ่มวัยรุ่นและมักมีกลุ่มวัยรุ่นมา มั่วสุมเสพยาเสพติด จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบมาโดยตลอด และวันนี้ 24 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 11.00 น.ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีการมั่วสุมจำหน่ายและเสพยาเสพติด จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้เรียก และแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ ได้พบเจ้าของบ้าน และ นางสาว วัดนาหรือหนู (สงวนนามสกุล) ทราบชื่อภายหลัง อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สอบถามว่ามา ทำอะไร นางสาว รัตนาหรือหนู แจ้งว่าตนเป็นคนดูแลทำความสะอาดบ้าน จากการสังเกตของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ เห็น นางสาวรัตนาฯ แสดงอาการทำที่มีพิรุธกระวนกระวายตลอดเวลา ต่อมา นางสาวรัตนาฯขอเข้าห้องน้ำอ้างว่าจะขอเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่ผู้ต้องหาออกมาจากห้องน้ำเป็นคนแรกและคนสุดท้ายในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย พ.ต.ต.โดษณ พันธุ์ทอง สว.สส.สภ.ละแม เจ้าพนักงาน ปปส.เลขที่ ๖๗๐๓๒๙๐ ได้แสดงบัตร และได้แสดงความบริสุทธิ์ให้ดูจนเป็นที่พอใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ขอทำการทดสอบหาสารเสพติดในปัสสาวะเบื้องต้น พบว่าให้ผลบวก (เป็นสีม่วง) แสดงว่ามีสาร เสพติดในตัวอย่างแต่ดูลักษณะท่าทางของผู้ต้องหา ท่าทางมีพิรุธสั่นกลัว ชุดจับกุมเชื่อว่าภายในบ้านอาจมียาเสพติดหรือสิ่งของผิดกฎหมายอื่นซุกซ่อนอยู่หากเนิ่นช้ากว่าจะขอหมายค้นมาทำการตรวจค้นทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิดอาจถูก โยกย้าย ซุกซ่อน ทำลายทำให้เสื่อมสภาพไปหรือบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหลบซ่อนอยู่ บุคคลนั้นจะหลบหนีไปหรือมีทรัพย์สินได้มาจากการกระทำความผิด หรือได้ใช้ในการกระทำความผิดหรืออาจจะใช้เป็น พยานหลักฐานสิ้นสภาพไปจากเดิมเมื่อแจ้งเหตุแห่งการตรวจค้นให้ผู้ต้องหาทราบ และ พ.ต.ต.โตษณ พันธุ์ทอง ได้แสดงบัตร พร้อมตรวจสอบเอกสารบัตร ปปส.เข้าใจ และพอใจแล้วยินยอมให้ตรวจค้น และนำตรวจค้นตลอด โดย ร.ต.อ.ธนธัช ประเทียบดินทร์ เป็นผู้ตรวจค้น และผู้ต้องหานำตรวจค้น จากการตรวจค้นภายในห้องน้ำที่ผู้ต้องหาเข้าเป็นคนสุดท้ายพบของ กลางข้างต้น สอบถาม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธและขอให้คำให้การตามข้างต้น จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง และได้นำตัว ผู้ต้องหามา สภ.ฯ และได้ตรวจเก็บปัสสาวะโดยนำปัสสาวะใส่ขวดปิดฉลาก ระบุชื่อ และเซ็นชื่อกำกับที่ฝ่าขวดเรียบร้อย และ ได้ทำหนังสือส่งโรงพยาบาลละแม เพื่อตรวจผลหาสารเสพติดยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลการตรวจจากโรงพยาบาลละแม แพทย์ ยืนกันว่าพบสารเสพติดในตัวอย่างปัสสาวะของผู้ต้องหาตามหนังสือข้างต้น จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ เมื่อผู้ต้องหา ทราบ สิทธิ์ และข้อกล่าวหาดีแล้วให้การรับสารภาพตามรายละเอียดข้างต้น จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่ง พง ส.สภ.ละแม เพื่อดำเนินคดีต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กิจกรรมเพื่อสังคม “Life Vaccine for Social” คณะนักศึกษา หลักสูตรวัคซีนชีวิต เพื่อสังคม สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 ได้จัดกิจกรรมดีๆ CSR ภาคเหนือ เป็นครั้งที่ 2

แชร์เนื้อหานี้

กิจกรรมเพื่อสังคม “Life Vaccine for Social” คณะนักศึกษา หลักสูตรวัคซีนชีวิต เพื่อสังคม สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 ได้จัดกิจกรรมดีๆ CSR ภาคเหนือ เป็นครั้งที่ 2 โดยมอบอุปกรณ์การศึกษาการกีฬาและทุนการศึกษาให้แก่ นักเรียน

โรงเรียน ตชด.พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชนที่ขาดโอกาสในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีและเชียงใหม่ พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่ทหารอากาศกอง

บิน 41 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และ ตำรวจตระเวนชายแดน กก.33 เชียงใหม่ และตำรวจภูธรสิงห์บุรีระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2568

เมื่อวันศุกร์ ที่ 22 - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568 คณะผู้เข้ารับการศึกษาในหลักสูตร “วัคซีนชีวิตเพื่อสังคม (Life Vaccine for Social)” สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 นำโดย พล.ต.อ. สมพงษ์ ชิงดวง รองนายกสมาคมตำรวจ/ประธานหลักสูตรฯ นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นางจุรีภรณ์ เมฆินไกรราช ในฐานะผู้แทนนักศึกษา วชส.1 ร่วมกับ สมาคมตำรวจ, และ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)ได้จัดกิจกรรมศึกษาดูงานในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 2 พร้อมทั้งดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) รุดเยี่ยมให้กำลังใจ บำรุงขวัญมอบถุงยังชีพ และ เครื่องตัดหญ้า เครื่องกีฬา ให้แก่ทหารอากาศ กองบิน 41 ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่และตำรวจภูธรสิงห์บุรี พร้อมจัดทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  โดยการมอบถุงยังชีพให้แก่ชาวบ้านที่ขาดโอกาส พร้อมมอบอุปกรณ์การศึกษา การกีฬา ให้แก่นักเรียนและพี่น้องประชาชนที่ขาดโอกาสในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี - จ.เชียงใหม่ รวม 500 ชุด อุปกรณ์การศึกษาการกีฬาทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนยากจน 150 ชุด โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้เข้ารับการอบรมวัคซีนชีวิต เพื่อสังคม สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 (วชส.1)ทุกๆ ท่าน

ตำรวจภูธรภาค 1 เตือนภัย นักดื่มแอลกอกอฮออล์พึงระวัง พลาดถูกจับ นอนคุก ขึ้นศาล เสียเวลา เสียเงิน เสียประวัติ พร้อมกับแจงข้อกฎหมายและโทษ ที่จะเกิดขึ้น หลังจากเมาแล้วขับ…” ตำรวจภูธร ภาค 1

เตือนประชาชน ที่อยู่หรือเข้ามาทำภารกิจ ในเขตพื้นที่ 9 จังหวัดซึ่งตำรวจภูธรภาค 1 รับผิดชอบ เมาแลัวขับ โดนเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอลล์ เสี่ยงติดคุกและถูกปรับเงินพร้อมโทษทางอาญา ยังเช็คตัวอย่างที่กำลังเป็นข่าวดัง….”

พลตำรวจตรี ภัคพงศ์สายอุบล ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 1 ในฐานะหัวหน้าฝ่ายอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งควบคุมงานประชาสัมพันธ์ข่าวและแถลงข่าวเปิดเผยว่า

พลตำรวจโท สุรพลเปรมบุตร ผบช.ภ.1 ได้ มีความห่วงใย ในการขับรถ ของประชาชนซึ่งเดิมแอลกอฮอล์ซึ่งอาจ จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ ตนเองและ ประชาชนที่ใช้ ท้องถนนและ พื้นที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน อาจก่อให้เกิด อันตรายและเสียชีวิตได้

จึงให้ งานประชาสัมพันธ์ ฝอ.5 บก.อก.ภ.1 ดำเนินการประชาสัมพันธ์ในเพจ Facebook ของ ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 2 เรื่อง คือ1.) 🚨รู้หรือไม่ หากปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า “เมาแล้วขับ””เมาขับ“ อันตรายถึงชีวิต ผิดกฎหมาย อาจต้องโทษสูงสุด จำคุก 10 ปี 🚨

🌡️ เช็กเลย ปริมาณ ”แอลกอฮอล์“ แค่ไหน = เมาแล้วขับ
▪️ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัม % ( สำหรับบุคคลทั่วไป )
▪️ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัม % ( สำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี หรือ มีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว ) 📍กฎหมายเกี่ยวกับเมาแล้วขับ ขับขี่ขณะดื่ม – เมาสุรา

เมาแล้วขับ – กระทำผิดครั้งแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับ 5,000 – 20,000 บาทเมาแล้วขับ – หากทำผิดซ้ำ ภายใน 2 ปี นับแต่กระทำผิดครั้งแรก เพิ่มโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 – 100,000 บาท ( ถูกพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ )

เมาแล้วขับ – หากทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต โทษสูงสุด 10 ปี ปรับ 200,000 บาท เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ❗️ทั้งนี้หากต่อสู้ ขัดขวางเจ้าหน้าที่ ❗️

จะเข้าข่ายความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ( ป.อาญา ม.138 ) “เมาไม่ขับ“ ด้วยความห่วงใยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมาไม่ขับ #ขับขี่ปลอดภัยสำนักงานตำรวจแห่งชาติRoyalthaipolice

2.) สภ.นครหลวง ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา🚨⛑⛑ สวมหมวกนิรภัย ขับขี่ปลอดภัยในท้องถนน⛑⛑⛑ 👮🚨🪖 ตำรวจ สภ.นครหลวง ร่วมกับนายก อบต.แม่ลา รับมอบหมวกกันน็อก จำนวน 70 ใบ

จากบริษัทโรงผลิตไฟฟ้าเอกชน นิคมนครหลวง เพื่อสนับสนุนโครงการ “ขับขี่ปลอดภัยในท้องถนน” แจกจ่ายให้ประชาชน ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนความปลอดภัยบนท้องถนน👮🚨🪖 Cr.#ตำรวจทำดี

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / โครงการป้องกันโรค มือ เท้า ปาก ประจำปี งบประมาณ 2568 งบสนับสนุนจากกองทุนหลักประกันสุขภาพ ต.โนนหัน

แชร์เนื้อหานี้

วันจันทร์ 25 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 น. นายนิโรจน์ แพ่งศรีสาร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนหัน กล่าวเปิดงาน โครงการป้องกันโรค มือ เท้า ปาก ประจำงบประมาณ 2568

ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองคลอง กล่าวรายงาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการส่งเสริมกิจกรรมเฝ้าระวังโรค มือ เท้า ปาก ให้แก่ ครู/ ผู้ดูแลเด็ก ผู้ปกครอง นายนิโรจน์ แพ่งศรีสาร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนหัน กล่าวถึงโครงการ ได้รับงบสนับสนุนจากกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลโนนหัน มีวัตถุประสงค์ในการเฝ้าระวังโรค มือ เท้า ปาก

ให้กับผู้ปกครอง บุคคลากร ในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนหัน และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นโรคติดต่อในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และอบรมความรู้เรื่องการเฝ้าระวังในครั้งนี้ มีกิจกรรมฝึกปฏิบัติทักษะการล้างมือที่ถูกวิธี
นางสาวณัฐริกา ทาเชาว์

ผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กล่าวขอบคุณผู้ปกครอง และเด็กในศูนย์พัฒนาจำนวน 60 คน ที่พาบุตรหลานร่วมกิจกรรมฯครั้งนี้
ผู้มีเกียรติ ทั้งท้องที่ และท้องถิ่น ร่วมงานครั้งนี้ เช่น

นายสันติ แก้วมูลตรี รองนายก อบต โนนหัน-นายกิตพศ นามนัย เลขานุการนายก อบต โนนหัน-นางขนิษฐา เลิศอุดมโชค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมประจำตำบลโนนหัน-นางสาวจตุรภัทร จันหา รองปลัด อ.บ.ต.โนนหัน
-นางสาวณัฐริกา ทาเชาว์ ผู้อำนวยการกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
-นางสาวรุ่งศริ ภูมิคอนสาร

นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ โครงการป้องกันโรค มือ เท้า ปาก มีการฝึกทักษะการล้างมือที่ถูกต้องแก่ผู้ปกครองและเด็ก ร่วมกันทำความสะอาด อาคาร สถานที่อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นต่างๆ ภายในศูนย์ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองคอง

ขอนแก่นเมืองหัตกรรมโลกแห่งผ้ามัดหมี่สื่อรัฐทีวี/สื่อรัฐนิวส์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภูธรภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ ภ.จว.ลำปาง และ ภ.จว.น่าน

แชร์เนื้อหานี้

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2568 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงผลการปฏิบัติคดีรายสำคัญ ของ สภ.แม่พริก จว.ลำปาง และ สภ.เวียงสา จว.น่าน ดังนี้

  1. วันที่ 23 ส.ค.68 – สภ.แม่พริก จว.ลำปาง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับกุมผู้ต้องหา 2 คน, รถยนต์บรรทุก 1 คัน พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 8,000,000 เม็ด
  2. วันที่ 24 ส.ค.68 – สภ.เวียงสา จว.น่าน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 คน, รถยนต์กระบะ 1 คัน พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 200,000 เม็ด

โดยมี พล.ต.ต.ภูมิปัญญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 , น.ส.นิตยา พงษ์พาณิช รอง ผวจ.ลำปาง, พ.อ.กวิน ยาวิชัย รอง ผบ.มทบ.32, พ.อ.สันทัด ภัทรกิตตินนท์ ผู้แทน กอ.รมน.ลำปาง, ผู้แทน ผอ.ปปส.ภาค 5, รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง, รอง ผบก.ภ.จว.น่าน, ผกก.สภ.แม่พริก, ผกก.สภ.เวียงสา ร่วมแถลงผลการจับกุม

ณ ลานแถลงข่าวตำรวจภูธรจังหวัดลำปาง ถ.ลำปาง – แจ้ห่ม ต.ต้นธงชัย อ.เมืองลำปาง จว.ลำปางสรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจฎธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 24 ส.ค.68จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 22,734คดีรายสำคัญ 232 คดี
ยึดของกลางยาเสพติด

ยาบ้า 240 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 11,400 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 197 กิโลกรัมเศษเคตามีน 1,840 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 155 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด ประมาณ 1,130 ล้านบาทเศษ….

สมจิตร แสงบันลังค์ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตำรวจทางหลวง รวบหนุ่มเมียนมา ลักลอบขนแรงงานเถื่อน อัดแน่นกระบะ 13 ชีวิต

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 24 สิงหาคม 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.แมน เม่นแย้ม, พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป. ปฏิบัติราชกาา บก.ทล., พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล., พ.ต.ท.อุดมศักดิ์ สุวรรณแสง, พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง รอง ผกก.2 บก.ทล.

 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.กล้า  สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล., ร.ต.อ.ชรัณ ปาณะศรี รอง สว. ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล., ด.ต.วงศ์วริศ ทรัพย์คนาสกุล ผบ.หมู่ ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล., จ.ส.ต.สราวุธ กรรณสุรางค์ ผบ.หมู่ ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล.,
สถานที่จับกุม บริเวณเหตุเกิด ทล.41 (เอเชีย) กม.24 ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร     ร่วมกันจับกุมตัว  1. นายจอ ตู ยะ อายุ 42 ปี เชื้อชาติ มอญ  สัญชาติ เมียนมา 2. บุคคลต่างด้าวสัญชาติ เมียนมา ชาย 7 คน หญิง 6 คน รวมทั้งหมด 13 คน  พร้อมยึดของกลาง 1 รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อ MAZDA สีเทา   2. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ OPPO หมายเลขโทรศัพท์ (ซิม2)

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.68 เวลา 05 : 55 น. น. ขณะเจ้าหน้าที่รวจทางหลวงชุมพร ขับรถวิทยุ 2408 ออกตรวจบนถนนเอเชีย (ทล.41) กม.24 ต.ครน อ.สวี เจอรถมาสด้า สีเทา ทะเบียน ผก 4743 นครปฐม ขับแซงขึ้นมาช่องขวา กระจกติดฟิล์มทึบ และท้ายรถปิดคลุมมิดชิด จึงใช้ไฟฉายส่อง พบมีคนนั่งเต็มคัน
เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจ พบผู้ขับคือ นายจอ ตู ยะ ชาวเมียนมา ภายในรถมีแรงงานต่างด้าวเพื่อนร่วมชาติ 13 คน (ชาย 7 หญิง 6) ไม่มีเอกสารอนุญาตเข้าประเทศ จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาที่ ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล.

สอบสวน นายจอ ตู ยะ รับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายหน้าคนมอญในชุมพร ติดต่อผ่านเบอร์โทร ให้ไปรับแรงงานต่างด้าวที่ ต.ขุนกระทิง อ.เมือง ชุมพร ช่วงตี 2 วันที่ 24 ส.ค. 68 แล้วจะขนไปส่งปลายทาง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้ค่าจ้าง 12,000 บาท

ตำรวจจึงแจ้งข้อหา “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เข้ามาโดยผิดกฎหมาย” ในความผิดฐาน ผู้ใดรู้ว่าคนต่างด้าวคนใด เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม, เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอานาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนส่งตัวผู้ต้องหา พร้อมแรงงานต่างด้าว และรถของกลาง ให้พนักงานสอบสวน สภ.สวี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ก๊วนกอล์ฟชุมพรระดมทุนสร้างศาลาพลับพลาพิธี มทบ.44 ได้ยอดบริจาครวม 336,180 บาท

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 23 สิงหาคม 2568 ณ คลับเฮ้าส์ สนามกอล์ฟ ค่ายเขตอุดมศักดิ์ มณฑลทหารบกที่ 44 (มทบ.44) จังหวัดชุมพร มีพิธีมอบรางวัลการแข่งขันกอล์ฟการกุศลชิงถ้วยรางวัลแม่ทัพภาคที่ 4 และผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสร้างศาลาพลับพลาพิธีประจำค่ายเขตอุดมศักดิ์ พลตรีสมคิด ชูเผือก ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44 (ผบ.มทบ.44) เป็น

ประธานในพิธี พร้อมด้วยนางณัฐวรรณ ฉายะบุตร ประธานจริยธรรมจังหวัดชุมพร และนักธุรกิจชื่อดังในพื้นที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ภายในงานมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างศาลาพลับพลาฯ ดังนี้:

นางณัฐวรรณ ฉายะบุตร ประธานจริยธรรมจังหวัดชุมพร มอบเงิน 100,000 บาทนายนิษกัณฐ์ ยังสุข โดยมีนายนันพิพัฒน์ ดวงธิราช เป็นผู้แทนมอบเงิน 100,000 บาทดร.ธน บุญเกิด

โดยมีนายสุธานน บุญเกิด เป็นผู้แทนมอบเงิน 36,180 บาทโปรอวย ศิริธร นาแพง มอบเงิน 60,000 บาทนายอนุวัติ วัชรพงษ์ เจ้าของบริษัท อีซูซุสุพรภัณฑ์ชุมพร จำกัด มอบเงิน 20,000 บาทนายสรไกร เมืองเทียน มอบเงิน 10,000 บาท

นายภาคย์ นวษุกร มอบเงิน 10,000 บาท ยอดบริจาคในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 336,180 บาท ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างศาลาพลับพลาพิธีเพื่อประโยชน์ของค่ายเขตอุดมศักดิ์และชุมชนต่อไป

พลตรีสมคิด ชูเผือก ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 44 เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้เห็นบรรยากาศนักกอล์ฟอยู่ในกิจกรรมจนวินาทีสุดท้ายถือว่าทุกท่านทุกคนให้ความเป็นกันเองกับ มทบ.44 บรรยากาศมีความอบอุ่นมาก และในโอกาสครั้งต่อๆไปคง

จะได้มีโอกาสจัดงานในลักษณะนี้อีก แล้วหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากนักกอล์ฟในจังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดพัทลุงแล้วก็จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

มาให้มากยิ่งขึ้นไป ในวันนี้ประสบความสำเร็จที่ได้ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากกำลังพลและครอบครัวของมณฑลทหารบกที่ 44 แล้วก็นักกอล์ฟทุกท่านที่ได้มาร่วมกันในวันนี้ขอขอบคุณมากๆครับผม

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เวทีเอฟเคไอไอ.ฟอรั่ม“ฟันธงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์คือคานงัดศักยภาพใหม่ประเทศไทยสู่ “เศรษฐกิจเอไอ.”(AI Economy)และรัฐบาลเอไอ.(AI Government)

แชร์เนื้อหานี้

สถาบันเอฟเคไอไอไทยแลนด์ (Field for Knowledge Integration and Innovation:FKI Thailand) โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand และ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand จัดงานสัมมนาFKII National Forum ในหัวข้อ “AI Thailand: อัปเกรดศักยภาพประเทศไทย” โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ประกอบการหลากหลายภาคส่วนนายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKI Thailand และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ได้เน้นย้ำว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์( AI Technology )คือคานงัดสร้างจุดหักเห(Turning Point)สู่การเป็นเอไอ. ไทยแลนด์ (AI Thailand) ซึ่งจะสร้างศักยภาพใหม่และระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจเอไอ.(AI Economy)ให้ประเทศไทยสามารถแก้ปัญหาหลักๆเช่น ปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันประสิทธิภาพภาครัฐ-ภาคเอกชน ความเหลื่อมล้ำ การคอรัปชัน เศรษฐกิจโตต่ำโตช้า หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือนและการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังพร้อมกับก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง“เอไอ. เทคโนโลยีดิจิตอลและระบอัโมัติ(Automation)เป็นเครื่องมือสร้างศักยภาพใหม่ในทุกภาคส่วนเช่น รัฐบาลเไอ. (AI Government) เอไอ.การศึกษา (AI Education) เอไอ.พาณิชย์(AI Commerce) เอไอ.การคลัง (AI Finance) เอไอ.อุตสาหกรรม (AI Industry) เอไอ.เกษตรกรรม (AI Agriculture) เอไอ.การท่องเที่ยว (AI Tourism) ฯลฯ ไปจนถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และการพัฒนานโยบายสาธารณะ“ นายอลงกรณ์ยังได้ยกตัวอย่างหลายประเทศที่ปรับเปลี่ยน(Transformation)ศักยภาพประเทศใหม่โดยใช้AIและเทคโนโลยีดิจิตอล เช่นประเทศเดนมาร์กจัดตั้งAgency for Digital Government จนประสบความสำเร็จได้รับการจัดอันดับ1ของโลกในด้านรัฐบาลดิจิตอลประเทศเกาหลีใต้สร้างโครงสร้างเครือข่ายGovernment Superhighway Network (GSN)บริการภาครัฐอย่างทั่วถึง ประเทศเอสโตเนียเปิดบริการภาครัฐออนไลน์ 99%ตลอด 24 ชั่วโมง ประเทศสิงคโปร์อัพเกรด70% ระบบราชการบนคลาวด์และทุกกระทรวงใช้เทคโนโลยี AI จนได้ฉายาว่า” Smart Nation”สหราชอาณาจักรจัดตั้งความร่วมมือภาครัฐภาคเอกชนภายใต้โครงการ”Digital Skills Partnership“ สำหรับประเทศไทยต้องปรับตัวเร่งมือให้ทันต่อการพัฒนาAIและเทคโนโลยีดิจิตอลที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากAI สู่Generative AI , Agentic AIและปีนี้AGI (Artificial General Intelligence)มาแล้วหากเราตื่นรู้ตื่นตัวทันสามารถใช้เทคโนโลยีนี้เพิ่มเศรษฐกิจดิจิตอลให้มีสัดส่วน 30% ของ GDP ภายในปี 2570ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งออกกฎหมายส่งเสริมและกำกับเอไอ.ให้ทันภายในปีนี้ด้วยในขณะที่นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้อำนวยการสถาบันเอฟเคไอไอ.และประธานสถาบันทิวาได้ฉายภาพความผันผวนของโลก (Global Storm) ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ สังคมสูงวัย ปัญหาโลกร้อน และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรง โดยเฉพาะการเร่งพัฒนา AI ของจีนและสหรัฐอเมริกา ดังนั้น FKI Thailand ซึ่งย่อมาจาก “Field for Knowledge Integration and Innovation” ที่ดำเนินงานแบบไม่แสวงหาผลกำไร มุ่งเน้นการยกระดับประเทศผ่านองค์ความรู้และนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น National Dialogue, National Forum และ Study Tripเป็นต้น ซึ่ง FKII Thailand เน้นย้ำที่ 5 จุดแข็งและนวัตกรรมที่ประเทศไทยควรโฟกัส ได้แก่ 1) Forest & Farm 2) Food Safety & Security 3)Longevity 4) AI Innovation และ 5) Soft Powerโดยระบุว่า “AI ไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังมาก” ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ“AI พัฒนามาอย่างยาวนานเพื่อเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนโลก เครื่องมืออัพเกรดศักยภาพประเทศและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในทุกมิติทั้งด้านภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการข้อมูล และการออกกฎหมายที่ส่งเสริมและกำกับดูแลอย่างสมดุล รวมถึงภาคเอกชนในการปรับตัวและลงทุนใน AI โดยเฉพาะกลุ่ม SME และการพัฒนาบุคลากร AI ของไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทั้งนี้ FKII Thailand จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นคลังความคิดภาคประชาสังคมที่สะท้อนปัญหาและระบุแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการไทยไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป”

ด้าน รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ประธานคณะกรรมการ Robotics และ AI หอการค้าไทย เปิดเผยว่า “ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ลดลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และ Micro Enterprise ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจ โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับจากการ “Being Digital” ไปสู่ “Being Digital-Driven” โดยต้องคำนึงถึง “Human Loop” ในระบบ AI เพื่อป้องกันปัญหา AI คุยกันเอง และเตือนถึงความเสี่ยงด้าน Cyber Security โดยเฉพาะ Ransomware ที่อาจมาพร้อมกับการนำ AI มาใช้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ภาครัฐทำหน้าที่เป็น Enabler หรือ Facilitator มากกว่าเป็นController และเสนอมาตรการสนับสนุนด้านภาษีและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัท AI ของไทย นอกจากนี้ได้เสนอผลการศึกษาที่ระบุว่าโรงงานที่ลงทุนใน AI สามารถเพิ่ม Productivity ได้ถึง 32-40%”
 ทางด้านดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) ได้เปิดเผยว่า “ปัจจุบันขนาดของตลาด AI ในไทยที่อยู่ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตขึ้น 3 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีบริษัทที่พัฒนา AI จริง ๆ ไม่ถึง 100 แห่ง ซึ่งน้อยกว่าเวียดนามและสิงคโปร์เป็นอย่างมาก แม้ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้นำในการสร้าง AI โมเดลพื้นฐาน (Base Model) แต่มีศักยภาพในการพัฒนา Domain-Specific AI เช่น AI ด้านการเกษตร, การแพทย์, หรือภาษาไทย. โดยเน้นย้ำว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานบางประเภท แต่จะสร้าง “อุตสาหกรรมใหม่ ๆ” และงานใหม่ ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ ขอเตือนถึงความเสี่ยงจากการใช้ LLM ของต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็น “อธิปไตยข้อมูล” (Data Sovereignty) และเสนอให้ภาครัฐจัดการข้อมูลอย่างเหมาะสม ไม่เปิดเผยทั้งหมด และให้โอกาสคนไทยเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา”

ส่วนนายอาศิสกานต์ ศรีลาธมาตย์ Chief Executive Officer บริษัท ซอร์สโค้ด จำกัด และ บริษัท แคส ค็อกไนเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ นายคเชนทร์ สิทธิโชค Chief Technology Officer (CTO) ได้นำเสนอตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม (Industry 4.0) เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน โดยครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่1) Smart Design: AI ช่วยในการออกแบบลดระยะเวลาจาก 3 เดือนเหลือ 1 เดือน (เพิ่มประสิทธิภาพ 200%) เช่น ในอุตสาหกรรมต่อเรือ2) Digital Manufacturing: การนำ IoT มาใช้เพื่อดึงข้อมูลจากเครื่องจักรแบบ Real-time และใช้ AI ตรวจสอบกระบวนการผลิต ลดความสูญเสีย
3) Intelligent Equipment: การใช้หุ่นยนต์ (Robotics) ในการผลิต เช่น การเชื่อมโลหะ และใช้ AI ตรวจสอบคุณภาพงาน ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ4) Safety & Security: ใช้ AI ในการเฝ้าระวังกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงงาน เช่น การวางสินค้าในพื้นที่อันตราย การสูบบุหรี่ หรือการไม่สวมเครื่องแบบ ช่วยป้องกันเหตุการณ์ร้ายก่อนที่จะเกิดขึ้น.สำหรับนายพุทธิพงษ์ สิริโชดก Chief AI Innovate Committee จาก Max Up AI Innovate Co., Ltd.นำเสนอแนวคิด AI Commerce ที่จะก้าวข้ามยุค E-commerce โดยเปิดเผยว่า “ปัจจุบันมีการค้นหาข้อมูลใน AI Search Engine สูงถึง 30 ล้านครั้งต่อวัน และ 10% ของการค้นหานั้นเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ ซึ่ง AI จะเข้ามาเป็น ผู้ช่วยส่วนตัว (Assistant) ในการช้อปปิ้ง ค้นหาสินค้าจากหลากหลายแหล่ง และยังผลักดัน AI Affiliate ซึ่ง AI จะช่วยแนะนำสินค้าและคำนวณคะแนน Affiliate ให้กับผู้แนะนำโดยอัตโนมัติ นี่คือโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการสร้างอธิปไตยทางเศรษฐกิจและข้อมูลกลับมาสู่ประเทศไทย ทางด้านนายสุทัศน์ สุระกุล Chief Technology Officerบริษัท วีทูเอส มาร์เก็ตติ้ง จำกัด สรุปถึงประโยชน์ของการนำ AI มาใช้ในธุรกิจจริง โดยมุ่งเน้น 3 ข้อหลัก ดังนี้
1) ลดต้นทุน: โดยเฉพาะต้นทุนด้านพนักงานและงานซ้ำซ้อน ลดได้ 30-90%
2) ทำงานได้เร็วขึ้น: AI Chatbot สามารถตอบลูกค้าได้เร็วขึ้น 20 เท่า (จาก 15 นาทีเหลือ 20วินาที) และเพิ่มยอดขายได้ถึง 50%
3) เพิ่มยอดขาย: การขยายธุรกิจทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนคน. ท่านยังได้แสดงตัวอย่างการทำงานของ AI Personal Assistant ที่สามารถจัดการอีเมล, สรุปเอกสาร, สรุปวิดีโอ YouTube และจัดการนัดหมายต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว.