เรื่องทั้งหมดโดย admin

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ไฟไหม้บ้านวอดทั้งหลัง ชาวบ้านช่วยกันหิ้วยายพิการหนีตายออกจากบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ เบื้องต้นคาดไฟฟ้าลัดวงจร

แชร์เนื้อหานี้

***เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีเหตุไฟกำลังลุกไหม้บ้านที่บ้านนาเจริญ ตำบลหนองหมี อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พอไปถึงไฟกำลังลุกไหมบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ บ้านเลขที่ 35 หมู่ 12 ตำบลหนองหมี อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ

ซึ่งไฟได้ไหม้จากชั้นบนลงมาชั้นล่าง มี นายอระชอน โนนทอง อายุ 59 ปี และ นางหนูเพียง โนนทอง อายุ 67 ปี (เป็นหญิงพิการ) ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน นั่งร้องให้อยู่ข้างบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ทั้งหลัง เจ้าหน้าดับเพลิงจาก อบต. หนองหมี และจาก อบต.ใกล้เคียง ได้ช่วยกันฉีดน้ำดับไฟ โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็สามารถควบคุมดพลิงไว้ได้

***จากการสอบถาม นางหนูเพียง โนนทอง เล่าให้ฟังว่า บ้านหลังนี้ตนอยู่ด้วยกัน 3 คน คือ ตน สามี และลูกชายนอกจากนี้ตนยังพิการนิ้วกุดด้วย เดินลำบาก ตอนเกิดเหตุตนนั่งกินข้าวอยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นตนได้ยิงเสียงดัง ตุ้ม ตุ้ม 2ครั้ง อยู่บนบ้าน และไฟก็เริ่มลุกไหม้

ตอนนั้นตนต้องกัดฟังพยายามเข้าไปในบ้านเพื่อจะไปเอาทรัพย์สินและโฉนดที่ดินที่อยู่บนบ้าน แต่ก็หอบมาได้แค่กระเป๋าใส่เอกสารบางส่วน เท่านั้น เนื่องจากตนเดินลำบาก ก่อนที่เพื่อนบ้านจะเข้ามาช่วยหิ้วปีกตนออกจากกองไฟ ส่วนทรัพย์สินที่ถูกไฟไหม้ก็จะมี ทั้งทีวี ดูเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว และฉโนดที่ดินส่วนหนึ่ง ถูกไฟไหม้วอดเสียหายทั้งหมด

***ด้าน นางจันทร์ศรี คำเอี่ยม อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านมีบ้านติดกัน เล่าให้ฟังว่า ก่อนเกินเหตุตนได้ยิงเสียงดังที่ชั้น 2 ของบ้านหลังเกิดเหตุ ก่อนจะมีประกายไฟและเห็นไฟกำลังลุกไหม้จากชั้น 2 ตอนนี้ตนก็ร้องกระโกนเรียกพี่น้อง เรียกชาวบ้านคนอื่นๆให้ เข้ามาช่วยดับไฟ

และพาตัว นางหนูเพียง ออกมาจากบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ ซึ่งตามปกติทุกวัน นางหนูเพียง จะชอบนอนอยู่ในบ้าน และจะไม่ค่อยมีใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับแก โชคดีที่ตนเห็นเหตุการก่อนจึงเข้าไปช่วย นางหนูเพียง ออกมาจากบ้านได้ทัน เพราะตอนนั้นที่บ้านไม่มีใครอยู่เลยมีเพียง นางหนูเพียง อยู่บ้านเพียงคนเดียว ตอนไฟไหม้นางหนูเพียรหวงของและพยามยามจะเข้าไปเอาของในบ้าน

***เบื้องต้นคาดว่า มิเตอร์ไฟฟ้าที่ชั้น 2 ของบ้าน หน้าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรแล้วระเบิดทำให้ เกิดประกายไฟจนทำให้ ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว บวกกับชั้น 2 ของบ้านเป็นไม้จึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำไห้ไฟไหม้วอดทั้งหลัง โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต ส่วนทรัพย์สิน และความเสียหาย ต้องรอเจ้าหน้าที่เข้ามาประเมินอีกครั้ง การจะได้ดำเนินการต่อไป
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ญาติร่ำไห้แทบขาดใจ “เผาหมู่” เหยื่อรถบัสมรณะ 18 ศพ ความสูญเสียครั้งใหญ่ของชาวบึงกาฬ

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (1 มีนาคม 2568) ที่วัดป่าวิเวกธรรมคุณ วันนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตและประชาชนทยอยเข้าร่วมพิธีฌาปนกิจศพเหยื่ออุบัติเหตุรถบัสพลิกคว่ำที่ปราจีนบุรี โดยเวลา 14.30 น.

มีพระราชภาวนาโสภณ วิ. เจ้าคณะจังหวัดบึงกาฬ ประธานฝ่ายสงฆ์ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆารวาส พร้อมด้วย นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนร่วมอาลัยฌาปนกิจศพ 13 ราย

โดยพิธีญาติและชาวบ้านได้จัดตามประเพณีเผาศพโบราณ ที่ชาวบ้านภาคอีสานเรียกว่า เผาด้วยกองฟอน หรือเชิงตะกอน ซึ่งมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานกว่า 3,000 คนส่วนที่วัดวิเวกพัฒนาราม ซึ่งตั้งบำเพ็ญกุศลผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย ได้มีพิธีฌาปนกิจในช่วงสายของวันนี้เช่นเดียวกัน และในวันที่ 2 มี.ค. มีพิธีฌาปนกิจ 1 ราย เวลา 14.00 ที่วัดบ้านหนองกุงพัฒนา ต.พรเจริญ อ.พรเจริญ

ขณะที่ทางญาติต้องการให้ผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติพร้อมๆ กัน จึงจัดพิธีเผาศพด้วยกองฟอน ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของบรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน บางคนร้องไห้แทบขาดใจ

และบางรายได้แต่กอดโลงศพร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด เนื่องจากต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด เพราะผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถทัวร์มรณะครั้งนี้ มีจำนวนมากถึง 18 คน และทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องกัน อีกทั้งบางครอบครัวมีผู้เสียชีวิตเกือบทั้งสองสามีภรรยา

ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มีญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทของผู้เสียชีวิต เดินทางมาร่วมไว้อาลัยครั้งสุดท้ายกว่า 3,000 คน เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้กับชาวบึงกาฬเป็นอย่างมาก หลายฝ่ายเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีก

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 096146432

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ปปช.ลงพื้นที่ตรวจสอบ ปมเบิกเงิน OT แต่ตัวไม่อยู่ ทีมผู้บริหารวิทยาลัยเทคนิค ด้าน ผอ.วิทยาลัยเทตนิด แจง ไม่เงิน OT แต่เป็นเงิน ค่าธุรการ

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงายว่า จากกรณีที่มีเพจ ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน ได้ลงภาพคณะผู้บริการ พร้อมข้อความว่า เบิก OT แต่ตัวไม่อยู่ ทีมผู้บริหาร วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ นำทีมโดย “ผอ.นิ” ตามด้วย “วุฒิ” รองผอ.ฝ่ายวิชาการ “ญา” รองผอ.ฝ่ายบริหารทรัพยากร “สุ” รองผอ.ฝ่ายแผนงานและความร่วมมือ และ “วรรณคดี” รองผอ.ฝ่ายพัฒนากิจการนักเรียนนักศึกษา เบิกเงินค่าล่วงเวลาจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 16.30 – 20.30 น. แต่ตัวไม่อยู่ทำงาน บางคนหายไปตั้งแต่ บ่าย 3 พอใกล้เบิกก็เซ็นลงเวลาย้อนหลัง ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว

***ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 68 นายอดุลย์ วันดี ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดศรีสะเกษ ได้เดินทางไปที่ วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่เป็นประเด็นบนโซเชียล โดยมี นายนิรันดร์ สมมุติ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ พร้อม คณะผู้บริหารให้การต้อนรับและเข้ามาชี้แจง

***นายอดุลย์ วันดี ผอ ปปช.ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ที่มาวันนี้เพื่อมาสอบถามรายละเอียดถึงเงินค่าล่วงเวลาที่เบิกจ่ายออกไป ว่าเป็นเงินอะไร มีการเบิกจ่ายออกไปถูกต้องหรือไหม มีขั้นตอนวิธีการแนวทางอย่าไร พร้อมกับได้มีการขอข้อมูลเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องนำไปศึกษา ตรวจสอบ โดยเบื้องต้นเรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครมาร้องเรียนที่ ปปช. แต่เนื่องจากเป็นประเด็นในโซเชียล เกี่ยวข้องกับทางราชการ และมีประชาชนให้ความสนใจ ตามหน้าที่ของ ปปช. จึงต้องลงมาตรวจสอบ ให้ข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว

***ด้าน นายนิรันดร์ สมมุติ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ เปิดเผยว่า เงินที่ประเด็นอยู่ขณะนี้เค้าเรียกว่าเป็น ค่าธุรการ ที่ข้าราชการ ลูกจ้าง ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ซึ่งจะคิดชั่วโมงละ 50 บาท วันหนึ่งก็จะมีการคิดค่าทำงานล่วงเวลา 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 16.30 น. ถึง 20.30 น. รวมแล้วจะได้ค่าล่วงเวลา 200 บาท ต่อวัน ไม่รวมวันเสาร์- อาทิตย์ และ หยุดวันนักขัตฤกษ์ ซึ่งช่วงเบิกเงินล่วงเวลานี้ จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งคนที่มีรายชื่อเบิกเงินตรงนี้มีทั้งผู้บริหาร ข้าราชการ ลูกจ้างช่วงคราว รวมแล้วกว่า 70 คน และแต่ละคนก็ได้เงินค่าล่วงเวลาไม่เท่ากัน เพราะบางคนมาทำงานไม่เท่ากัน โดยเงินตรงนี้เป็นเงินที่เรามีการเบิกไปตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ซึ่งสามารถดำเนินการเบิกได้

***ส่วนประเด็นที่ว่าทำการเบิกเงินไปแต่ไม่อยู่ทำงาน บางคนหายออกไปตั้งแต่บ่าย 3 ซึ่งในส่วนนี้ตนของยืนยันว่าทุกคนมาทำงานและอยู่ปฏิบัติงานตามเวลาจริงๆ โดยอีกอย่างหนึ่งวัตถุระสงค์ของเงินตรงนี้มันเป็นเงินที่ไม่ใช้เอามาจ่ายกับครูผู้สอนที่สอนล่วงเวลาราชการแต่อย่างเดียว เป็นเงินที่จ่ายให้ทั้งผู้บริหารที่เข้ามาทำงานบริหารงานทั่วไปทุกๆอย่าง และด้านการจัดการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องจ่ายให้กับลูกจ้างชั่วคราวที่มาปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ รวมถึงดูแลความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียน นักศึกษา ด้วย โดยตนมันใจในสิ่งที่ตนทำงานมาว่าถูกต้องตามระเบียบพร้อมให้ตรวจสอบได้
////////////////////////
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /กรมป่าไม้ เปิดยุทธการ พิทักษ์ผืนป่าตะวันออก /อ.ขุนตาล จัดพิธีน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร #มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประจำปี 2568

แชร์เนื้อหานี้

อธิบดีกรมป่าไม้ ได้สั่งการให้หน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 9 (ชลบุรี) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดปฏิบัติการปูพรมตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่ามีการบุกรุก ยึดถือครอบครอง เข้าทำประโยชน์พื้นที่ป่าไม้ เพื่อทำการเกษตรปลูกพืชเชิงเดี่ยว

สืบเนื่องจากการร้องเรียน/แจ้งเบาะแส และการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด พบว่ามีการบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ เพื่อทำการเกษตรปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะทุเรียน และยางพารา

อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระหว่างเดือนมกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจยึดดำเนินคดี ไปแล้วกว่า 15 คดี เนื้อที่กว่า 2,250 ไร่ ซึ่งเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป รวมถึงการลงพื้นที่ติดตาม ศึกษา และให้คำแนะนำของคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ในพื้นที่

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 กรมป่าไม้ โดยหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) นำโดยนายชาญชัย กิจศักดาภาพ หัวหน้าชุด ร่วมกับ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 1 (ภาคกลาง) หน่วยงานในสังกัดสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 9 (ชลบุรี) และ กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นำโดย พ.ต.อ.วิญญู แจ่มใส ผกก.กก.2 เปิดยุทธการ “พิทักษ์ผืนป่าตะวันออก” เพื่อร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ที่คาดว่าจะมีการบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครอง และเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 10 จุด เนื้อที่ประมาณ 800 ไร่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ตรวจยึดคืนพื้นที่ป่าเนำกลับมาฟื้นฟูสภาพป่า และหยุดยั้งการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ และจะขยายผลไปในท้องที่จังหวัดตราด ต่อไป

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันเข้าทำการตรวจสอบและตรวจยึดพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครอง เพื่อทำสวนทุเรียน ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าตกพรม ท้องที่ หมู่ที่ 4 บ้านโชคดี ตำบลบ่อเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี จำนวน 2 แปลง ดังนี้

แปลงที่ 1 ตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกบุกรุกปลูกทุเรียน เนื้อที่ 2-1-40 ไร่ พร้อมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย แปลงที่ 2 ตรวจยึดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกบุกรุก แผ้วถาง โดยนำเครื่องจักรกลหนักเข้ามาปรับพื้นที่ และมีการทำไม้ขนาดใหญ่ เพื่อปลูกทุเรียน และยางพารา เนื้อที่ 63-0-08 ไร่

ซึ่งผู้ต้องสงสัยเพศชาย ได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับรถมอเตอร์ไซค์วิบากหลบหนีเจ้าหน้าที่ออกไป จึงมอบหมายเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร) นำแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ตกพรม จ.จันทบุรี ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14 ประกอบมาตรา 31 และ ชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา 26/4 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 11 ประกอบมาตรา 73 มาตรา 54 ประกอบมาตรา 72 ตรี และมาตรา 69 เพื่อดำนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป ทั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายเป็นการต่อเนื่องจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจต่อไป..

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิด โครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระดับสถานีดำรวจ เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของ ภ.จว.เชียงใหม่

โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ยุทธนา แก่นจันทร์ ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, ผกก.หน.สถานี ในสังกัด ภ.จว.เชียงใหม่,

ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนเข้ารับการอบรม จำนวน 400 คน ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมฯ ณ อาคารศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่…

อำเภอขุนตาล #จัดพิธีน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ #พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร #มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประจำปี 2568

วันนี้ (27 ก.พ. 68) #นายนรศักดิ์ #สุขสมบูรณ์ #รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ประจำปี 2568 ที่บริเวณลาน

อเนกประสงค์ ศาลารอยพระบาท บ้านพญาพิภักดิ์ หมู่ที่ 13 ตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย #โดยมีนางพรจิตร #สุขสมบูรณ์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย #นายอดิเรก #ไลไธสง #นายอำเภอขุนตาล #ส่วนราชการในพื้นที่ ประชาชน และหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ซึ่งอำเภอขุนตาล กำหนดจัดขึ้นเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จ พระบรมชนากิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมประชาชนและกองกำลังทหาร ในพื้นที่อำเภอขุนตาล เมื่อ

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2525 และได้ทรงประทับรอยพระบาทของพระองค์ลงบนแผ่นปูนพลาสเตอร์ บนศาลาดอยพญาพิภักดิ์ บ้านพญาพิภักดิ์ หมู่ที่ 13 ตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย อันนำมาซึ่งความสงบสุขบนพื้นที่แห่งนี้

พร้อมกันนี้ยังไม่มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงการออกร้านแสดงนิทรรศการของหน่วยงานในพื้นที่และการแสดงศิลปะวัฒนธรรม เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่งด้วย///

สมจิตร แสงบันลังค์ ภาพ/ข่าว ทีมข่าวบกรายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภูธร ภาค 3 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยาบ้าจำนวน 2,572,806 เม็ด

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 17.00 น. ณ บก.สส.ภ.3 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมาตำรวจภูธรภาค 3 แถลงข่าวปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ตามนโยบายรัฐบาลจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยาบ้าจำนวน 2,572,806 เม็ด ตำรวจภูธรภาค 3 โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 พล.ต.ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รอง ผบช.ภ.๓ /รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายมานพ แสงโสทร ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 3 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ กวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ โดยให้ร่วมกันบูรณาการด้านการข่าว การแลกเปลี่ยนข่าวสารรวมถึงการร่วมมือกันในการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามพื้นที่แนวชายแดน และพื้นที่ตอนในโดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3 พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงษ์ รอง.ผบก.สส.ภ.3 พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง.ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วรวรรธน์ ขันธ์เครือ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.ทศพร เพียรปรุ ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๓ ,พ.ต.อ.พรเทพ ทุ้ยแป ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง,พ.ต.อ.สิทธิพล ทิมสูงเนิน ผกก.สภ.โนนสูง, , พ.ต.อ.ศิวภาคย์ พวงจันทร์ ผกก.สภ.บ้านปรางค์ พ.ต.อ.อิทธิพัทน์ ศรีมั่น ผกก.สภ.พระทองคำ สั่งการให้

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน นำโดย พ.ต.ท.สุรกฤษ คงธนกิตติ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.บุรัสกร ลาผ่าน รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.คำพู พลอยผักแว่น รอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., ร.ต.อ.หญิง เพ็ญแข ชัยรัตน์กรกิจ/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง , เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านปรางค์, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระทองคำ , และได้ร่วมบูรณาการสนธิกำลังร่วมกับ และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมสืบสวนจับกุม เครือข่ายที่ 1 วันที่ 28 ก.พ.2568 1.นายสายชล หรือดำ ศรีหนองห้าง อายุ 54 ปี เลขประจำตัวประชาชน 5470500012838 ที่อยู่ 95/1 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร
2.นายสุทธิพงษ์ หรือมอส ธรรมาภิรมย์ อายุ 34 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1470500065751 ที่อยู่ 198 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร
3.นายยุทธศักดิ์ หรือแนส วิถี อายุ 44 เลขประจำตัวประชาชน 3470500296384 ที่อยู่ 125 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร4.นายโชคทวี หรือเล็ก แสนโคตร อายุ 34 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1470500063740 ที่อยู่ 216 ม.7 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนครพร้อมของกลาง 1.ยาบ้า จำนวน 2,390,000 เม็ด (สองล้านสามแสนเก้าหมื่นเม็ด)ตรวจยึดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด-รถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน (ราคาประเมิน 300,000 บาท)-รถยนต์เก๋ง จำนวน 1 คัน (ราคาประเมิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท)โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุม สืบสวนทราบว่ามีเครือข่ายยาเสพติดชาว สปป.ลาว จะทำการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.บึงกาฬ ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่พื้นที่ภาคกลางตอนในของประเทศไทย ผ่านพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 3 และภาค 4 โดยเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวใช้ รถยนต์กระบะ ในการขนลำเลียงยาเสพติด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 , กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร

จังหวัดนครราชสีมา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว จนกระทั่งพบรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะต้องสงสัย ซึ่งมีการเคลื่อนตัวออกมาจากพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจาก จว.สกลนคร มีลักษณะขับขี่ตามกันมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าจะมีลำเลียงนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนเข้าไปยังพื้นที่ภาคกลางตอนในของประเทศไทยและเชื่อว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะใช้เส้นทางที่เคยวิ่งลำเลียงยาเสพติดมาก่อนหน้านี้ จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนในการจับกุม โดยวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ โดยวางกำลังเฝ้าดู พร้อมทั้งสะกดรอยติดตาม และเพื่อให้ทราบถึงขบวนการในการลำเลียงยาเสพติดและผู้สั่งการในการลำเลียงยาเสพติด จึงได้ขับรถยนต์ติดตามโดยพบว่ารถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะดังกล่าวที่บรรทุกสิ่งของบริเวณท้ายกระบะบรรทุกโดยใช้ผ้าใบปกคลุมปิดบังสิ่งของไว้ โดยรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะดังกล่าววิ่งมาถึงบริเวณ ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง จว.นครราชสีมา เพื่อตั้งด่านจุดสกัดยานพาหนะที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว สามารถสกัดรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะได้จำนวน 2 คัน พร้อมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน และของกลางยาบ้าจำนวน 2,390,000 เม็ด ทเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน พร้อมของกลาง มายัง กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 3 เพื่อตรวจเก็บพยานหลักฐาน จากนั้นได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อทราบถึงขบวนการและเครือข่ายยาเสพติด สอบถามผู้ต้องหาทั้ง 4 ให้การรับว่าพวกตนเองได้รับการว่าจ้างจากนายพจน์ ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง ให้ลำเลียงยาเสพติดไปส่งที่ จว.สระบุรี เมื่อไปถึงแล้ว จึงแจ้งให้นายพจน์ ทราบ และนายพจน์ จะแจ้งให้ทราบว่าไปส่งต่อที่ใด แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับได้ก่อน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างในการลำเลียงยาเสพติดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบสวนติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปเครือข่ายที่ 2ภายใต้การอำนวยการของ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 , พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รอง ผบช.ภ.3 ,พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3, พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ,พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.3,
สั่งการให้ พ.ต.อ.วรวรรธน์ ขันธ์เครือ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.สุรกฤษ คงธนกิตติ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.บุรัสกร ลาผ่าน รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.อิทธิพล เพ็ญเดิมพันธ์ สว.กก.สืบสวน 1ฯ ร.ต.อ.โสภณ ละเอียด และ ร.ต.อ.ธนะศักดิ์ ปุ๊กกระโทก รอง สว.กก.สืบสวน 1ฯ ว่าที่ ร.ต.ต.สันติชัย ไชยเสริฐ, ปรกฯ รอง สว.กก.สืบสวน 1ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 , เจ้าพนักงาน ปปส.ภ.3 ร่วมกันทำการสืบสวนจับกุม ร่วมกันสืบสวนจับกุม

เครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค 3 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย รวมยาบ้า 202,806 เม็ด ตรวจยึดทรัพย์สิน ประมาณ 1,300,000 บาท
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมนายอำนาจ หรือแอ๋ม มุ่งปานกลาง อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 59 หมู่ที่ 2 ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์น.ส.รุ้งนภา หรือก้อย สัญญารักษ์ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 78 หมู่ที่ 2 ต.หนองคู อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์นายนพชัยหรือบูม รักไร่ อายุ 25 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 246 หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแถลง อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมาน.ส.ลินดาหรือกิ๊ก ยอดพิกุล อายุ 27 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 207 หมู่ที่ 2 ต.หนองคู อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ในฐานความผิด “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 24,000 เม็ด , โทรศัพท์มือถือจำนวน 5 เครื่องตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 900,000 บาทพฤติการณ์การจับกุม เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1ฯ จากการจับุกม นายธนพล หรือทัดฯ พร้อมด้วยยาบ้า จำนวน 2,000 เม็ด ชุดสืบสวนจึงได้การขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมผุ้ต้องหาดังกล่าวได้สำเร็จสถานที่จับกุมบริเวณ ริมถนนหน้าทางเข้าแก้วมณีรีสอร์ท ม.2 ต.สารภี อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมานำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปต่อมาชุดสืบสวนได้ทำกาขยายผลจับกุมเครือยาเสพติดกลุ่มนักค้าชาวลาว ได้เพิ่มเติมดังนี้

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมนายบุญช่วย หรือจุ้ย ด้วงชำนาญ อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 105 หมู่ 1 ต.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ในความผิดฐาน “จำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”
พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 132,000 เม็ด และได้ทำการตรวจยึดยาบ้าอยู่ภายในบ้าน จำนวน 200,00 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 152,000 เม็ด , ตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 200,000 บาทพฤติการณ์การจับกุม เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1ฯ ทำการจับกุม นายนพชัยหรือบูม พร้อมพวกรวม 4 ราย และยาบ้า จำนวน 42,000 เม็ด ชุดสืบสวนจึงได้การขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้สำเร็จสถานที่จับกุมบริเวณทางเข้าบ้านเลขที่ 105 ม. 1 ต.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งทั้งสองราย ได้จากการขยายผลการจับกุมยาเสพติดนายเจตพล หรือแจ๊บฯ เพชรกระโทก อายุ 23 ปี ในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 806 เม็ดและขยายผลจับกุม นายธนพล หรือทัต เทกระโทก อายุ 30 ปี ในความผิดฐาน “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมของกลาง ยาบ้า

ภาพ/ข่าว : ตำรวจภูธรภาค 3

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่ามุกดาหารมอบสิ่งของพระราชทาน แก่ผู้ประสบอัคคีภัย

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 16.00 น. นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร มอบหมายให้ นายสมพงษ์ คุ้มสุวรรณ ปลัดจังหวัดมุกดาหาร เชิญสิ่งของพระราชทานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบให้แก่ผู้ประสบเหตุอัคคีภัย ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ตำบลกุดแข้ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งได้รับความเสียหาย 1 หลังคาเรือน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์

ในการนี้ นายคมเพชร สีดามาตร์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมุกดาหาร​ พร้อมด้วย นางวิลาวัลย์ คุ้มสุวรรณ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดมุกดาหาร​ ร่วมกับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดมุกดาหาร องค์การบริหารส่วนตำบลกุดแข้ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสงเคราะห์ผุ้ประสบภัย ร่วมลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือ ดังกล่าวจังหวัดมุกดาหารให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้​ สิ่งของพระราชทานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ จำนวน 1 ชุด​

พมจ.มุกดาหาร มอบเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน 3,000 บาท พร้อมถุงยังชีพ 1 ชุด​ เหล่ากาชาดมอบของช่วย เหลือเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 2 ชุด​ เงินสดจำนวน 8,000 บาท​ กระติกน้ำร้อนจำนวน 1 เครื่อง​ ชุดเสื้อผ้าจำนวน 3 ชุด​ ชมรมแม่บ้านมหาดไทยมอบเงินสดจำนวน 2,000 บาท​ และเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 1 ชุด​ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ มอบสิ่งของช่วยเหลือในเบื้องต้น และได้สำรวจความเสียหายเพื่อจะให้การช่วยเหลือตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านพักอาศัยของนางบาหยัน คำจันทร์ บ้านเลขที่ 105 หมู่ 4 ตำบลกุดแข้ อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร บ้านพักอาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลัง จำนวน 1 หลัง มีผู้พักอาศัยจำนวน 3 คน ชาย 1 คน หญิง 2 คน มีผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน

ขณะนี้ผู้ประสบภัยได้พักอาศัยอยู่บ้านลูกสาวที่อยู่ใกล้เคียง​ การให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นเทศบาลตำบลกุดแข้และเทศบาลตำบลโพนทรายเข้าระงับเหตุเพลิงไหม้เรียบร้อยแล้ว​ ส่วนสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนและความเสียหายอยู่ระหว่างการสำรวจและจะรายงานเพื่อทราบต่อไป

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / นักท่องเที่ยวโวยปะการังน้ำตื้นเกาะทะลุพังยับเยินกว่า 1 ไร่หลังเรือบาร์จ 3 ลำ โดนคลื่นทะเลพัดหลุดเข้าไปในทุ่งปะการังสวยงาม

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 12.00  น.วันที่ 28   กุมภาพันธ์  ผู้สื่อข่าว จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ไปดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่บริเวณอ่าวใหญ่ หน้าเกาะทะลุ หมู่ 3 ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ พบปะการังสวยงามถูกทำลายเสียหายยับเยิน  โดยขอให้หน่วยงานสังกัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคประจวบคีรีขันธ์  ฝ่ายปกครอง อ.บางสะพานน้อย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต. ทราบทอง ดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ กรณีที่เรือบาร์จจอดหลบลมบริเวณด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะทะลุ ถูกคลื่นทะเลพัดหลุดเข้าไปในพื้นที่ปะการังน้ำตื้นทำให้เกิดความเสียหายเป็นบริเวณกว้างกว่า 1 ไร่   เหตุเกิดเมื่อวันที่  27 กุมภาพันธ์ 2568 ขณะที่เรือลากจูงยังจอดในจุดเดิม  แต่ยังไม่มี จนท.รัฐหน่วยใดไปตรวจสอบความเสียหายของปะการังน้ำตื้น ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพนานหลายสิบปี

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. วันเดียวกันสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือว่าเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ชื่อ เรือสุขอุดมทรัพย์ 19 ทะเบียนเรือ 500051373ขนาด 75 ตันกรอส เรือดัน-ลากจูง พร้อมกับเรือบาร์จอีก 3 ลำทราบชื่อ   1. ป.พลายแก้ว 6 2. เพิ่มทรัพย์ภูมรินทร์ 3. เลิศวัฒนา 6  โดยเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เรือสุขอุดมทรัพย์ 19 ได้ทำการลากพ่วงเรือทั้ง 3 ลำ โดยบรรทุกสินค้าปูนซีเมนต์จากกรุงเทพฯ ไป จ.ปัตตานี ระหว่างทางมีคลื่นลมแรง ผู้ควบคุมเรือจึงได้ทำการทอดสมอโดยทิ้งสมอจากเรือบาร์จลำแรก เพื่อหลบลมที่เกาะทะลุ เวลาประมาณ 03.00 น. และในเวลา 15.00 น. ของวันเดียวกันพบว่าโซ่สมอขาดส่งผลให้เรือบาร์จทั้งสามลำไปชนกับปะการังและโขดหิน ทำให้เกิดความเสียหายบริเวณท้องเรือจนทำให้เรือรั่ว จำเป็นต้องใช้ปั๊มน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เรือจม ผู้ควบคุมเรือจึงได้ลากเรือบาร์จลำแรกไปยังพิกัด 11°05.224’ N, 099°30.058’ E เพื่อรอการซ่อม

ขณะที่เรือบาร์จสองลำที่เหลือไม่สามารถลากออกมาได้เนื่องจากติดน้ำตื้น จำเป็นต้องรอให้น้ำทะเลขึ้นก่อน จากนั้นเรือสุขอุดมทรัพย์ 19 ได้ลากจูงเรือบาร์จทั้งสองลำที่เหลือมายังจุดเดียวกันเพื่อรอการซ่อม  สำหรับเจ้าของเรือดังกล่าวคือ  บริษัท เซ้าท์เธิร์นโลจิสติกส์ (2009) จำกัด เรือสุขอุดมทรัพย์ 19 ทะเบียนเรือ 500051373 ขนาด 75.00 ตันกรอส เรือดัน-ลากจูง ใบอนุญาตใช้เรือหมดอายุวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2569 และจาการตรวจสอบพบว่า นายสมเกียรติ ไชยะผู้ควบคุมเรือและใบประกาศนียบัตรที่ใช้หมดอายุ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2567 ซึ่งมีความผิดตามมาตตรา 282 ตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย 2456 จะต้องเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่สำนักงานเจ้าท่าภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย   

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคประจวบคีรีขันธ์  ได้ประสานงานกับผู้ควบคุมเรือ ซึ่งได้รับแจ้งว่าขณะนี้มีการดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในเบื้องต้น และหากมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม จะมีการติดต่อแจ้งขอความช่วยเหลือต่อไป  ต่อมาสำนักงานเจ้าท่าได้ออกคำสั่งห้ามใช้เรือทั้งหมด 3 ลำได้แก่ 1. ป.พลายแก้ว 6 ทะเบียนเรือ 191089488 2. เพิ่มทรัพย์ภูมรินทร์ ทะเบียนเรือ 4310022173. เลิศวัฒนา 6 ทะเบียนเรือ 421003376 พร้อมออกประกาศที่  35/2568 ให้ระมัดระวังการเดินเรือในบริเวณดังกล่าว รวมถึงเรือนำเที่ยวไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะทะลุ
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / พิธีเปิดงาน มหกรรมโคเนื้อและเนื้อดีศรีสะเกษ ประจำปี 2568 มีเชฟดังกับ เมนูพิเศษ แกงมัสมั่นตุ๋นเนื้อน่องลาย / โจรขโมยรถจากศูนย์ฟอร์ดอุบล ขับรถหลบหนี ขู่เติมน้ำมัน ชิงลอตเตอรี่ ยังจับตัวไม่ได้

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 17.30 น.นายอนุพงษ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานเปิดงาน มหกรรมโคเนื้อและเนื้อดีศรีสะเกษประจำปี 2568 นายสัตวแพทย์นัทธ์เวโรจน์ บูชาพัฒน์ ปศุสัตว์จังหวัดศรีสะเกษ หน่วยงานดำเนินการจัดงาน กล่าวรายงาน จังหวัดศรี สะเกษเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตโคเนื้อที่สำคัญของประเทศไทย มีเกษตรกรผู้เลี้ยง โคเนื้อกว่า 105,500 ราย และมีโคเนื้อมากกว่า 511,213 ตัว คิดเป็น ๔๑.๙96

ของจำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทั้งหมด การพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด และเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ การจัดงานครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่1.การเชื่อมโยงตลาด เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการร่วมมือระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมถึงการเจรจา การค้ากับร้านอาหาร โรงแรม และตลาดค้าปลีก
2.การส่งเสริมคุณภาพโคเนื้อ พัฒนามาตรฐานการเลี้ยงและกระบวนการผลิต โดยสนับสนุนการปรับปรุงสายพันธุ์

การบริหารจัดการฟาร์มตามมาตรฐาน GFM (Good Farming Management) และเทคนิคการขุนโคเพื่อเพิ่มคุณภาพเนื้อ3.การสร้างแบรนด์ “เนื้อดีศรีสะเกษ / Srisaket Premium Beef”เพื่อผลักดันให้เนื้อโคศรีสะเกษเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาด การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการสร้างเมนูพิเศษที่ดึงดูดผู้บริโภค

;

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่กิจกรรมเชฟเทเบิลสุดพิเศษ นำเสนอสุดยอดเมนูจากเนื้อโคศรีสะเกษ ผ่านการรังสรรค์ของเชฟชื่อดังกิจกรรมเวิร์กช็อป ผู้เข้าร่วมจะได้รับการส่งเสริมความรู้และทักษะ ด้านการทำอาหาร การแปรรูปเครื่องหนัง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอด เป็นผลิตภัตภัณฑ์แฮนด์เมดเพื่อจำหน่ายกิจกรรม Business Matching

;

เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการร้านอาหาร เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสทางการค้า โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การสร้างความร่วมมือเพื่อขยายตลาดโคเนื้อศรีสะเกษให้เติบโตอย่างยังยืนเพราะตลาดที่ดีเริ่มต้นจากเครือข่าย ที่แข็งแกร่ง Business Matching ครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการขยายโอกาสให้กับโคเนื้อศรีสะเกษการแสดงและกิจกรรมความบันเทิง


;

นอกจากกิจกรรมเชิงธุรกิจ และความรู้แล้ว งานมหกรรมโคเนื้อและเนื้อดีศรีสะเกษ 2568 ยังมีกิจกรรมการแสดงและกิจกรรมความบันเทิง ที่ช่วยสร้างบรรยากาศความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกกลุ่มเป้าหมายกิจกรรมในพิธีเปิด วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งภายในงานดำเนินกิจกรรมลงนาม MOU ข้อตกลงความร่วมมือซื้อขายโคระยะต้นน้ำ ระหว่างประธานสหกรณ์โคเนื้อดอกลำดวนจำกัด กับ

กลุ่มวิสวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน บนเวที รวมทั้งกิจกรรม Shef’s Table Fine Ding รังสรรค์เมนุพิเศษ กับเมนูมัสมั่นตุ๋นเนื้อน่องลาย สำหรับประธาน แขกรับผู้มีเกียรติ จำนวน 100 ท่าน และผู้โชคดีที่ร่วมกิจกรรมบนแฟนเพจFacebook มหกรรมโคเนื้อและเนื้อดีศรีสะเกษ จำนวน 30 คน ซึ่งนำวัตถุดิบจากจากเกษตรตรกรจังหวัดศรีสะเกษ รวมทั้งชมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง เน็ค นฤพล พร้อมทั้งเยี่ยมขมร้านค้าที่มาออกบูธจำหน่ายสินค้า 40 ร้านกิจกรรมจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568 ที่สวนสาธารณะลานออดหลอด อนุสรณ์ 238 ปีจังหวัดศรีสะเกษ
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

โจรขโมยรถจากศูนย์ฟอร์ดอุบล ขับรถหลบหนี ขู่เติมน้ำมัน ชิงลอตเตอรี่ ยังจับตัวไม่ได้

***เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 ก.พ. 68 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีเหตุคนขับรถกระบะ 4 ประตู มาเติมน้ำมันแล้วไม่ยอมจ่าย พร้อมขู่จะยิงคนในปั๊มน้ำมันยกปั๊ม inก่อนจะขับรถหลบหนีไปด้วยไม่จ่ายเงินค้าน้ำมันที่เติม เหตุเกิดที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบ พ.ต.ท. ประดิษฐ์ อบอุ่น สารวัตรสืบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ เข้าเก็บหลังฐาน สอบปากคำ และตรวจดูกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ

***จากการสอบถาม นายทิวา (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี ซึ่งเป็นเด็กปั๊ม เล่าให้ฟังว่า รถยนต์คันก่อเหตุคันดังกล่าวเป็นรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อฟอร์ด รุ่น เรนเจอร์ สีดำเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีชายอายุประมาณ 55-60 ปี ขับมาจอดที่ช่องเติมน้ำมันช่องที่ 1 ขอเติมน้ำมันดีเซล B7 เต็มถัง

เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น. ซึ่งเด็กปั๊มก็เติมน้ำมันให้เต็มถังเป็นเงิน 2,610 บาท ก่อนจะเดินลงจากรถมาขอเงินไปกินข้าวอีก 1,000 บาท ตอนนั้นตนคิดว่าพูดเล่น และก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ก่อนที่ชายคนดังกล่าวก็เดินไปที่รถไปเอากระเป๋าคาดเอว และกุญแจมือ มาขู่เด็กปั๊มอีกครั้งว่าถ้าไม่ให้จะยิงให้ตายยกปั๊ม พร้อมกับอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ ก่อนจะเดินไปที่รถแล้วขับรถหลบหนีไปเลย

***ทั้งนี้จากรายงาน ชายคนดังกล่าว เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (28 ก.พ. 68) ได้ไปขโมยรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อฟอร์ด ที่ขับมาก่อนี้จากโชว์รูมรถยนต์ฟอร์ด ซึ่งเป็นรถยนต์ของคนที่นำรถมาเข้าศูนย์ ก่อนจะขับมาที่อำเภอกันทรารมย์ และพยายามจะขู่เด็กปั๊มให้เติมน้ำมัน แต่เด็กปั๊มไม่ได้เติมให้ ก่อนจะขับมาที่ปั๊มในตำบลโพธิ์ (ปั๊มที่เกิดเหตุ) และมาก่อเหตุดังกล่าว

ต่อมาผู้ก่อเหตุยังขับรถยนต์คันดังกล่าวไปก่อเหตุขโมยขนมในร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันในตำบลหนองครก อำเภอเมือง อีกด้วย ต่อมาผู้ก่อเหตุขับรถมุ่งหน้าจากถนนศรีสะเกษ-ขุขันธ์ ผ่านอำเภอวังหิน ระหว่างทางผู้ก่อเหตุแวะที่ตลาดไทอำเภอวังหิน ผู้ก่อเหตุอ้างตัวเป็นตำรวจขู่จะยิงแล้วชิงลอตเตอรี่ 2 แผง ขึ้นรถขับมุ่งหน้าไปยังอำเภอขุขันธ์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้เร่งติดตามตั้งด่านสกัดจับรถยนต์ต้องสงสัยแล้ว คาดว่าจะได้ตัวเร็วๆนี้

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ป.ป.ส. นำทัพสื่อลงพื้นที่บำบัด ร่วมสร้างพลังชุมชนเข้มแข็ง คืนคนคุณภาพสู่สังคม

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 27 -28 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวอารีภักดิ์ เงินบำรุง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ
นายนิพนธ์ คนขยัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบึงกาฬ เขต 3 นางแว่นฟ้า ทองศรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ นายแพทย์ ภมร ดรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ นายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอปากคาด พ.จ.อ.โสภณ สิทธิจันทร์ นายอำเภอโซ่พิสัย น.พ.ตฤณกฤต สิทธิศรนพ.ชำนาญ

การ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ นายมนตรี จารุธำรง นายอำเภอพรเจริญ พ.ต.อ.ศิวัช วรคุตตานนท์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรปากคาด นายแพทย์จรูญ สุรารักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลปากคาด นพ.สุรพงษ์ ลักษวุธ รองนพ.สสจ.บึงกาฬ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลโซ่พิสัย นายภาคภูมิ เดชหัสดิน หรือ หมอแล็บแพนด้า นายพงษ์พันธ์ วิจารย์ประสิทธิ์ เจ้าของเพจคุณพระ พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส. และคณะสื่อมวลชนส่วนกลางและภูมิภาคลงพื้นที่ จังหวัดบึงกาฬ

เพื่อเป็นการสนับสนุนงานรณรงค์ประชาสัมพันธ์การสร้างการรับรู้การดำเนินงานด้านยาเสพติดของรัฐบาล และสำนักงาน ป.ป.ส. รวมทั้ง เป็นการสร้างความสัมพันธ์สื่อมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องอันจะเกิดภาพลักษณ์ที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงาน รวมไปถึงนโยบายต่าง ๆ ไปสู่ประชาชนเป้าหมายให้เกิดความตระหนัก และมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดผ่านการศึกษาดูงานการบำบัด และฟื้นฟู ผู้ติดยาเสพติด ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ

ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดมากที่สุด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในปี 2567 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้เข้ารับการบำบัดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากกว่าปี 2566 และหากเทียบกับจำนวน ผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดทั้งประเทศในปี 2567 จะมีปริมาณมากกว่าภาคอื่นๆ เมื่อเทียบจากจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติดทั้งหมดในประเทศ จึงถือว่าเป็นพื้นที่สำคัญที่ควรมีการเฝ้าระวัง ติดตามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงพื้นที่บำบัด และฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด จำนวน 3 พื้นที่ ได้แก่

พื้นที่อำเภอปากคาดโดยศึกษาดูงานค่ายฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นค่ายฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดจำนวน 120 วัน ประกอบด้วยผู้บำบัดชายล้วน จำนวน 40 คน โดยมีกระบวนการบำบัด 2 เดือนแรก จะเน้นไปที่การฟื้นฟูสมอง โดยการให้ความรู้กึ่งวิชาการ จากทำกิจกรรมฟื้นฟูสมอง เช่น กิจกรรมสันทนาการ นันทนาการ และใน 2 เดือน

หลังจะเป็นการฝึกอาชีพ เช่น ซ่อมเครื่องยนต์ ทำพรมเช็ดเท้า อาหารแปรรูป เป็นต้น โดยค่ายดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเป็นสถานที่บำบัดฟื้นฟูยาเสพติดที่สร้างขึ้นจากสภาพปัญหาภายในชุมชน ที่มีผู้เสพผู้ติดเป็นจำนวนมาก โดยเน้น การเข้ารับการบัดบัดโดยสมัครใจ และการผลักดันจากคนในชุมชนเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันสร้างปลอดภัยโดยกิจกรรมการจะเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างพลังชุมชนเข้มแข็งคืนคนคุณภาพสู่สังคม

พื้นที่ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาดูงานในพื้นที่อำเภอพรเจริญ โดยมีการศึกษาดูงานในโรงพยาบาลพรเจริญซึ่งเป็นการศึกษาบำบัดผู้ติดยาเสพติดขั้นรุนแรง ปัจจุบันมีจำนวน 7 คน ต้องดูแลใกล้ชิด และมีการรักษาโดยการให้ยา มีระยะเวลา 14 วัน และมีการสาธิตการทำครอบครัวบำบัด เนื่องจากเป็นผู้ป่วยขั้นรุนแรงที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่สามารอยู่ร่วมกับชุมชนได้ จึงต้องการการรักษาในโรงพยาบาล และเมื่ออาการดีขึ้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีครอบครัวที่คอยดูแลอย่างถูกวิธีจึงเกิดการทำครอบครัวบำบัดขึ้น เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมได้อย่างปลอดภัย

รวมถึงมีการศึกษาดูงานจากค่ายบ้านเจริญสุข กองร้อยอาสารักษาดินแดน เป็นจุดต่อเนื่องจากโรงพยาบาลพรเจริญ ซึ่งเป็นค่ายฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด 120 วัน ประกอบด้วยผู้บำบัดชายล้วนจำนวน 41 คน ซึ่งผ่ากระบวนการบำบัดการฟื้นฟูสมอง โดยการให้ความรู้ และการทำกิจกรรมฟื้นฟูสมอง เช่น การวาดภาพ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย และภายหลังเป็นการฝึกอาชีพ เช่น ช่างปูน ซ่อมเครื่องยนต์ ปลูกพืช เลี้ยงปลา เป็นต้น เพื่อนำผู้เสพผู้ติดที่มีอาการดีขึ้นจากอาการป่วยขั้นรุนแรงที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมอง และการฝึกอาชีพเพื่อคืนคนคุณภาพสู่สังคมต่อไป

พื้นที่สุดท้ายเป็นการศึกษาดูงานในพื้นที่อำเภอโซ่พิสัย ผ่านการศึกษาดูงานกองร้อย อส.อำเภอโซ่พิสัย ซึ่งเป็นค่ายฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ประกอบด้วยผู้บำบัดชาย 196 คน ผู้บำบัดหญิง 30 คน โดยมีกระบวนการบำบัด 3 ระบบ คือ การล้างพิษโดยการใช้ยาจากจิตแพทย์ การเข้าค่ายมินิธัญญารักษ์ และการเข้าค่ายฟื้นฟู 120 วัน ซึ่งมีทั้งการฟื้นฟูสมอง และการฝึกอาชีพ เพื่อลดโอกาสการกลับไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดได้อย่างยั่งยืน

นางสาวอารีภักดิ์ เงินบำรุง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวทิ้งท้าย ว่า กิจกรรมในครั้งนี้ จะเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้นโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องอันจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ดีของทุกภาคส่วน และนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด ผ่านสื่อมวลชน ซึ่งมีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากต่อ

การสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน เพื่อพัฒนากระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผุ้เสพผู้ติด ยาเสพติดการฝึกอาชีพการศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม ทั้งกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง และผู้เข้ารับการบำบัด รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีกครั้ง เพราะผู้เสพ คือ ผู้ที่ก้าวพลาดที่เราทุกคนพร้อมจะหยิบยื่นโอกาสให้ร่วมกันสร้าง “พลังชุมชนเข้มแข็ง คืนคนมีคุณภาพสู่สังคม”

ด้านนายนิพนธ์ ยอมรับว่า อีสานตอนบนมีปัญหาเรื่องยาเสพติดจำนวนมาก ตนในฐานะผู้ดำเนินการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่องได้มีการ ประสานบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่นำผู้ป่วยเข้าบำบัดรักษาอย่างได้ผล สามารถคืนลูกหลานให้ครอบครัวและสังคมได้ พร้อมเสนอแนะให้นำโรงเรียนบ้านโนนชัยศรีมาเป็นศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดขนาดใหญ่ เพื่อเป็นศูนย์หลักในการดำเนินการ

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล/บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ฤกษ์มงคล ครบ 72 ปี คล้ายวันเกิด “#เฮียซุ้ย”ร่วมพิธีเปิดป้าย โครงการน้ำทองน่าน ธุรกิจซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองน่าน / “สว.เจ ภิญญาพัชญ์” ปลุกพลัง “สตรี” สร้างความเชื่อมั่น “ผู้หญิง”พัฒนาตัวเองได้

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สำนักงานขาย บริษัท #น้ำทองน่าน จำกัด ต.ไชยสถาน อ.เมืองน่าน จ.น่าน นายทวีศักดิ์ ล้อบุณยารักษ์ และ นางมณีนุช ล้อบุณยารักษ์ พร้อมญาติพี่น้องตระกูลล้อ นักธุรกิจในจังหวัดน่านและแขกผู้มีเกียรติ ร่วมตัดริ้บบิ้นพิธีเปิดป้ายสำนักงานขาย บริษัท น้ำทองน่าน จำกัด โดยในช่วงเช้ามี #พิธีสงฆ์ ทำบุญสำนักงานแห่งใหม่ การ #ฟ้อนรำล้านนาไทย และ #การเชิดสิงโต ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยเชื้อสายจีน

หลังจากนั้นช่วงกลางวัน มีงานเลี้ยงอาหารโต๊ะจีน ฉลองครบ 6 รอบ 72 ปี เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของ นายทวีศักดิ์ ล้อบุณยารักษ์ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมน้ำทองน่าน

สำหรับ #ชีวประวัติ ของ #นักธุรกิจชื่อดัง โครงการน้ำทองน่าน “เฮียซุ้ย” พอสังเขปมีดังนี้ นายทวีศักดิ์ ล้อบุณยารักษ์ ชื่อเดิมสมัยเด็กๆ เด็กชายจิ้นซุ้ย แซ่ล้อ ภูมิลำเนาเป็นคนแพร่โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2496 ครอบครัวของเฮียซุ้ยมีพี่น้อง จำนวน 9 คน เป็นบุตรชายคนที่ 6 ของ #ตระกูลแซ่ล้อ โดยมีบิดาเป็นผู้บุกเบิกหอบเสื่อผืนหมอนใบจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในอดีต เริ่มแรกจาก “ลูกจ้างนึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยว” สู่ต้นกำเนิด #โรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว เฮียซุ้ย ในปัจจุบัน

และอีกอาชีพหนึ่งของครอบครัวนี้ในอดีตเตี่ย (บิดา) ปั่นรถซาเล็บน้ำแข็งน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ที่เรียกว่า “ลูก” มาจากโรงน้ำแข็งแล้วจึงนำมาแบ่งโดยการเลื่อยเป็น “กั๊ก” และจากกั๊กเป็น “มือ” ขายปลีกทั่วตลาดเมืองแพร่ สมัยนั้นยังไม่มีน้ำแข็งหลอด เหมือนสมัยนี้ ร้านขายโอเลี้ยงต่างๆ

ก็ต้องซื้อน้ำแข็ง ซึ่งเฮียซุ้ยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่ทำงานในแผนกนี้คือ “#คนเลื่อยน้ำแข็ง” จากน้ำแข็งเป็นลูกๆ สู่กั๊กจากกั๊กสู่มือ สมัยนั้นที่คนแถวนั้นยังจำกันได้ก็คือจะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งใส่กางเกงขาสั้นถอดเสื้อ ก้มหน้าก้มตา ยืนเลื่อยน้ำแข็งอย่างขยันขันแข็ง ตั้งแต่เช้ายันเย็นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยคนผู้นั้นก็คือ “#เฮียซุ้ย” นั่นเอง

เฮียซุยเริ่มต้นหาลู่ทางการทำธุรกิจ “#หาเงิน #หาทอง” ร่วมกับเฮียกิม (ผู้พี่) พี่น้องร่วมสาบาน แรกเริ่มจาก #ห้องแถว หรือชื่อเรียก “#อาคารพาณิชย์” ในปัจจุบัน ในบริเวณตลาดชมภูมิ่ง จ.แพร่ เมื่อปี พ.ศ.2532

โดยเริ่มขายห้องละไม่กี่แสนบาท ประมาณ 10 ห้อง ผลปรากฏว่าการตอบรับดีเยี่ยม ขายหมดในเวลาไม่นาน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่มาของ #โครงการน้ำทองแพร่ และ #โครงการน้ำทองน่าน ในปัจจุบัน/เครดิตเบส/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

“สว.เจ ภิญญาพัชญ์” ปลุกพลัง “สตรี” สร้างความเชื่อมั่น ดึงศักยภาพพัฒนาตัวเอง ชี้ ทัศนคติที่ดีทำ “ผู้หญิง”พัฒนาตัวเองได้

วันนี้ (28 ก.พ.) ที่โรงแรมเมธาวลัย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นางสาวภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้บรรยายเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น เสริมสร้างความรู้ ทักษะ ศักยภาพในการพัฒนาตนเองของสตรี เพื่อเป็นฐานพลังในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพสตรี โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 200 คน

โดยนางสาวภิญญาพัชญ์ หรือ สว.เจ กล่าวช่วงหนึ่งว่า การพัฒนาศักยภาพสตรีได้ ต้องมีเป้าหมายที่ดี หรือ Smart Goals ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน วัดผลได้ ทำได้จริง ที่สำคัญคือทุกคนล้วนเคยเผชิญอุปสรรค แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จและทำให้มีความสุขในชีวิต

อีกทั้งความเชื่อมั่นในตัวเอง จะทำให้เรากล้าตัดสินใจและลงมือทำสิ่งต่างๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว รวมถึงกล้าเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ

นางสาวภิญญาพัชญ์ (สว.เจ) กล่าวต่อว่า “ความมั่นใจในตัวเอง จะทำให้เรามีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ ทำให้ผู้หญิงสามารถเติบโตและพัฒนาตนได้อย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ การสร้างสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้เราสื่อสารได้ดีขึ้น รวมถึงการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกได้อย่างเหมาะสมด้วย/บุญยฃค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน