เรื่องทั้งหมดโดย admin

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผญบ.สาวหล่อหนองปลาไหล จับมือคู่รักเข้าที่ว่าการฯ ประเดิมสมรสเท่าเทียมคู่แรก อ.บางละมุง/ชีวิตไม่ท้อ! คู่รักวีลแชร์เปิดหมวกหารายได้ยังชีพประทังชีวิตพร้อมแมวน้อย “มาร์แชลและอลิซ”/บริษัทในเครือโชคชัยกรุ๊ป จัดพิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหมโชคชัยเพื่อความเป็นสิริมงคล

แชร์เนื้อหานี้

ตามที่กรมปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนการดำเนินการกฎหมายสมรสเท่าเทียมหรือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มกราคม 2568 เพื่อมอบสิทธิให้กับบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ว่าเพศใดสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมายนั้น

วันที่ 23 ม.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศห้องทะเบียนราษฎร์ ที่ว่าการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี ในวันนี้เป็นไปอย่างคึกคัก คู่รัก LGBTQ ในพื้นที่ต่างพากันควงแขนออกมาจดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ไก่โห่ ด้านอำเภอบางละมุงก็ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้เพียงพอ สะดวกและรวดเร็วด้วยเช่นกัน

นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง เผยว่า ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับที่ 24 พ.ศ 2561 ให้มีการบริการประชาชนบนหลักการความเสมอภาคและเท่าเทียม ด้วยการจดทะเบียนคู่รัก LGBTQ พร้อมกันทั้ง 878 อำเภอทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 23 มกราคม 2568 นั้น

วันนี้เป็นวันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มใช้เป็นวันแรก ซึ่งสามารถทำให้บุคคลไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายมีความเท่าเทียมกัน โดยผู้ที่ประสงค์จะจดทะเบียนสมรส สามารถเดินทางไปจดทะเบียนสมรสได้ ณ ที่ว่าการอำเภอทั้ง 878 อำเภอทั่วไทย สำนักงานเขต 50 เขตในกรุงเทพมหานคร รวมถึงสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ

มีรายงานด้วยว่า สำหรับคู่รักที่มาจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นคู่แรกของอำเภอบางละมุงได้แก่คู่ของนางวิลาวัลย์ เทียบทัน ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.หนองปลาไหล ที่จูงมือคนรัก น.ส.วรินธร บุญเสมอ มาจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมพร้อมรอยยิ้มและความปิติยินดี ก่อนเผยว่า

“ทั้งคู่ได้คบหาดูใจกันมากว่า 6 ปีแล้ว เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านใช้อย่างเป็นทางการ จึงชวนกันมาจดทะเบียนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กันและกัน รู้สึกดีใจและตื่นเต้นเพราะรอเวลานี้มานาน หลังจากนี้จะคุยกันว่าจะจัดงานแต่งงานอย่างไรต่อไป แต่ยืนยันว่ามีการจัดงานแต่งอย่างแน่นอน” ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.หนองปลาไหล กล่าว

ชีวิตไม่ท้อ! คู่รักวีลแชร์เปิดหมวกหารายได้ยังชีพประทังชีวิตพร้อมแมวน้อย “มาร์แชลและอลิซ”

ผู้สื่อข่าวผ่านไปยังถนนเลียบชายหาดพัทยาพัทยา บริเวณฟุตปาธริมทะเล ตรงข้าม สภ.เมืองพัทยา ได้พบกับคู่รักคนพิการนั่งรถวีลแชร์เปิดหมวดร้องเพลงหารายได้ โดยมีเจ้าแมวน้อย 2 ตัวนอนอยู่บนที่นอนใกล้กันเพื่อดึงดูดความสนใจ

จากการพูดคุยสอบทราบทราบชื่องทั้งสอง คือ นายธนวัฒน์ แก่นแดง อายุ 47 ปี และอลิสา พุ่มศิลป์ 21 ปี ทั้งสองเป็นคู่รักที่จะพากันลากรถวีลแชร์มาเปิดแสดงความสามารถร้องเพลงเปิดหมวก พร้อมแสดงหลักฐานบัตรวณิพกสามารถหากินในพื้นที่สาธารณะได้มายืนยัน ก่อนนายธนวัฒน์ จะให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาเคยใช้รถเข็นสามล้อจำหน่ายผลไม้ให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณริมชายหาดพัทยา

ก่อนภาครัฐจะกวดขันจับกุมเลยเปลี่ยนเป็นการแสดงเปิดหมวกร้องเพลงแสดงความสามารถแทนเนื่องจากตนเองมีบัตรวณิพกอยู่แล้ว โดยแต่ละวันจะใช้รถหัวลากรถวีลแชร์จากบ้านมาที่ชายหาดพัทยาเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลา 19.00-00.00 น. แล้วจึงกลับบ้าน เพื่อหารายได้มาใช้จ่ายประจำวันสำหรับตนเองและแฟนสาวรวมทั้งค่าใช้จ่ายของแมวที่เลี้ยงไว้จำนวน 2 ตัว

โดยตัวหนึ่งเป็นแมวสายพันธุ์เปอร์เซีย สีส้ม เพศผู้ อายุประมาณ 2 ปี ชื่อ “มาร์แชล” และอีกตัวเป็นแมวสายพันธุ์เปอร์เซียเช่นกัน สีขาว เพศเมีย ชื่อ “อลิซ” อายุประมาณ 3 เดือน โดยต้องพาออกมาเปิดหมวกด้วยทุกครั้งที่ออกทำการแสดงร้องเพลงมาหารายได้ ซึ่งสร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดี

บริษัทในเครือโชคชัยกรุ๊ป จัดพิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหมโชคชัยเพื่อความเป็นสิริมงคล

เวลา 09.19 น.วันที่ 22 ม.ค.68 ที่บริเวณหน้าโครงการ เดอะชิลด์ พัทยา นายไพศาล แซ่โซว และคุณสุมาลี โล่ห์ชัยสกุล ผู้บริหารบริษัทในเครือโชคชัยกรุ๊ป พร้อมด้วย นายพีระโรจน์ โล่ห์ชัยสกุล ผู้บริหารห้าง The Chilled (เดอะ ชิลด์) ซอยเขาน้อย ได้จัดพิธีบวงสรวงท้าวมหาพรหมโชคชัย โดยได้รับเกียรติจากนายสุวัจชัย อัญชลีวิวัฒน์ และคุณวันดี อัญชลีวิวัฒน์ ผู้บริหารโรงแรมในเครืออัญชลีวิวัฒน์ กรุ๊ป ร่วมเป็นประธานในพิธี

ทั้งนี้ ในพิธีได้ทำการบวงสรวงโดยคณะผู้บริหารได้จุดธปเทียนบูชาเทพยดาฟ้าดิน ก่อนคณะนางรำจะรำถวายเบิกฤกษ์เบิกชัย จากนั้นคณะโหรา นำโดย โหราจารย์ เอกณัฏฐ์ เรืองเดชธนาวุฒิ (พญาแสนเมือง ศรีสัตตนาคราช) ได้ประกอบพิธีไหว้ครูบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปิดธรณีอัญเชิญเทพเทวาตามลำดับพิธี ก่อนเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญเลี้ยงเพลพระสงฆ์จำนวน 9 รูป จากวัดบุญสัมพันธ์

สำหรับ ท้าวมหาพรหมโชคชัย ที่ทำพิธีบวงสรวงในวันนี้ ขนาดหน้าตักกว้าง 25 นิ้ว ความสูง 1 เมตร จัดสร้างและสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลต่อการดำเนินธุรกิจและครอบครัว ตลอดจนพนักงานและบุคคลากรในเครือ รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้สักการะ

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากแขกเหรื่อเข้าร่วม อาทิ นายวิชัย รอดเปีย อดีตรองประธานสภาเมืองพัทยา นายไพรัตน์ ไตรศุภโชค นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลห้วยใหญ่ นายวินัย อินทร์พิทักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหนองปรือ คณะผู้บริหาร และสมาชิกสภาเทศบาลเมืองหนองปรือ

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / “หัวหิน” คึกคัก คู่รักนั่งรถไฟไปจดทะเบียนเท่าเทียมพร้อมฮันนีมูนสุดโรแมนติก

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.68 ที่สถานีรถไฟหัวหิน (อาคารใหม่) จ.ประจวบฯ บรรดาคู่รักรวม 6 คู่ นั่งรถไฟขบวน Royal Blossom ออกจากสถานีหัวลำโพงไปลงยังสถานีรถไฟหัวหิน เพื่อจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมครั้งแรกในประเทศไทยร่วมกับคู่รักอีก 17 คู่ รวมทั้งหมด 23 คู่ ในงาน “Hua Hin Grand Inter Pride 2025” ที่ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน โดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

Oplus_131072

ในพิธี นายศรัณยศักดิ์  ศรีเครือเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายสราวุธ เจริญธนาสกุล ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ นายพลกฤต  พวงวลัยสิน นายอำเภอหัวหิน นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน

นายนิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผอ.ททท.สำนักงานประจวบฯ นางวาสนา ศรีกาญนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ นางสาววจี กลมเกลี้ยง กรรมการบริหาร บริษัทหัวหิน แอสเสท จำกัด พร้อมคนในวงการบันเทิง อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง และแขกผู้มีเกียรตินับพันคนร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในครั้งนี้ท่ามกลางบรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กล่าวว่า “วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของหัวหินและจังหวัดประจวบฯในการแสดงออกถึงการยอมรับและสนับสนุนความหลากหลาย ความเท่าเทียม และคุณค่าของความรักในทุกมิติ ซึ่ง Hua Hin Grand Inter Pride 2025 ไม่เพียงแต่เป็นงานที่สะท้อนถึงการยอมรับในความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของหัวหินในฐานะเมืองที่เปิดกว้างและเต็มไปด้วยความอบอุ่น สร้างสรรค์กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริง

โดยหัวหิน ถือเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศักยภาพ ไม่เพียงแต่ในด้านการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมเศรษฐกิจของความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being Economy) ซึ่งการจัดงานในวันนี้คือส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบที่ครอบคลุมและสร้างโอกาสใหม่ ทั้งในด้านของธุรกิจโรงแรม การบริการ ร้านอาหาร และกิจกรรมท้องถิ่นที่จะช่วยกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนในพื้นที่ ที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เมืองหัวหินและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกของนักท่องเที่ยว ที่ยกระดับในการเป็นเมืองที่พร้อมสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม”

นางสาววจี กลมเกลี้ยง กรรมการบริหาร บริษัทหัวหิน แอสเสท จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงานในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่บลูพอร์ต หัวหิน เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญในการจัดงาน Hua Hin Grand Inter Pride 2025 เรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้หัวหินเป็นเมืองที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มที่ ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีความเท่าเทียม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานระหว่างธุรกิจการท่องเที่ยวและการส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมในสังคมไทย ถือเป็นก้าวแรกในการปูทางสู่การจัดกิจกรรม Pride Month ที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568

ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่จะช่วยเสริมความน่าสนใจให้กับหัวหินในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจในระดับโลกที่ไม่เพียงแต่สนับสนุนความเท่าเทียม แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รองรับความหลากหลายได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งการสร้างความน่าสนใจให้กับหัวหินในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลก

ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่กำลังกลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงในการใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเมืองหัวหินมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวจากทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม. 
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / การเมืองท้องถิ่นเชียงรายโค้งสุดท้าย#มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย #คณะรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิตราชภัฎเชียงราย

แชร์เนื้อหานี้

นกอทิตาธร-อ.สักจฤฎดิ์ ดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน เบอร์ไหนนโยบายตรงใจนักศึกษาเทคะแนน #ประชาชนเรียกร้องกกต.จัดดีเบตเวทีใหญ่เพื่อฟังวิชั่นการพัฒนาเชียงราย โค้งสุดท้ายของการหาเสียงเริ่มเข้มข้นรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย วีดีโอคอล ย้ำเลือกตั้งไม่ทุจริตซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ขณะที่นิสิต นักศึกษาแสดงความเห็นติดสติกเกอร์ลงในบร์อด สื่อถึงความต้องการผู้นำยุคใหม่เชียงรายต้องไปไกล ไร้ปัญหาทุจริต ผู้นำต้องซื่อสัตย์มีคุณธรรมนำพัฒนาเชียงรายได้ประโยชน์สูงสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 14.00 น.วันที่22 มกราคม 2568 ที่ห้องกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้ เชิญบุคลากรทางด้านการศึกษาและนิสิตนักศึกษาจำนวนประมาณ200 กว่าคน รับฟังการดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จำนวน2เบอร์ได้แก่ 1.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เบอร์1 2.นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช เบอร์ 2
สำหรับการดีเบตครั้งนี้ในหัวข้อความสำคัญในระบบการศึกษาไทยโดยกำหนดมีเวลา30นาที โดยให้ผู้สมัครทั้ง2 เสนอโยบาย และตอบคำถามอันเป็นคำถามลักษณะเดียวกันจำนวน3ข้อๆละ3นาที เน้นย้ำข้อให้อยู่ภายในระยะ3นาทีซึ่งจากการตอบปัญหาที่ตั้งประเด็นเอาไว้แบบจับลูกบอลในกล่อง

นางอทิตาธรได้ตอบปัญหาได้อย่างมั่นใจตามนโยบายและอยูาภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด ส่วนนางสลักจฎดิ์ ได้ใช้เวลาการตอบคำถามเกินไปกว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อยในประเด็น โดยเฉพาะประเด็น คำถาม” ในบทบาทนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ท่านมีแนวทางในการสร้างจิตสำนึกร่วมให้กับคนเชียงรายอย่างไร?”ซึ่งปัญหาดังกล่าวทางด้านนางอทิตาธร ได้ตอบต่อนักศึกษาที่มานั่งฟังกว่า200คน สรุปเป็นประเด็นย่อๆว่า”ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใด การจะพัฒนาอะไรก็ตามสิ่งที่สำคัญสุดคือเสียงจากประชาชนสำคัญสุด การมีส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ทุกเพศทุกวัยอาชีพไหน ย่อมมีความสำคัญ สิ่งที่ชัดเจนสิ่งที่ตนให้ความชัดเจนคือเรื่องPM2.5 เนื่องจากทุกเพศทุกวัยต้องใช้ลมหายใจร่วมกัน การสร้างจิตสำนึกการลดค่าPM.2.5ในพื้นที่เชียงราย ส่วนใดที่ทางอบจ.จะเข้าไปให้จัดการและองค์ความรู้ ลดการเผาด้วยการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและ การทำแนวกันไฟขนาดใหญ่เพื่อลดปัญหาไฟป่าลุกลามเกิดพีเอ็ม2.5
ส่วนนางสลักจฤฏดิ์

ได้ตอบคำถามลักษณะเดียวกัน ในบทบาทนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในการสร้างจิตสามัญสำนึกให้กับคนเชียงราย ชูประเด็นปัญหาการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาขยะ การจัดแยกขยะลดปริมาณขยะ จากครัวเรือนที่ตนได้เคยทำมาตั้งแต่ต้น สร้างจิตสำนึกให้กับชนทุกช่วงวัย เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ รักษาสิ่งแวดล้อมตลอด มีการประชาสัมพันธ์สร้างจิตสามัญสำนึกในการมีส่วนร่วมตลอดแก้ไขปัญหายาเสพติดในสังคมโดยใช้วัฒนธรรมท้องถิ่น ให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

สำหรับปัญหาคำถามหลัก3ข้อซึ่งว่ามีความสำคัญในการนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกนายกอบจเชียงรายโดยเฉพาะนโยบายการบริหารงานของนายกอบจ.เชียงรายในอนาคตซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากเชียงรายกำลังต้องการพัฒนาเต็มรูปแบบทุกมิติ สาระความสำคัญ ที่จังหวัดเชียงรายจะเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ด้วยทิศทางการบริหารอย่างชัดเจนสิ่งที่สำคัญจากการที่นิสิตนักศึกษาที่สนใจเข้าร่วมการรับฟังการดีเบต ครั้งนี้ได้สะท้อนความต้องการตพากันติดสติกเกอร์บนกระดานบร์อปัญหา”ผู้นำท้องถิ่น ในฝันที่คุณอยากให้เป็น”
เรื่องที่นักศึกษาให้ความสำคัญ 3 ข้อ 1.ความซื่อสัตย์และจริงใจ
2.เป็นธรรม
3.มีความรู้ฉลาด
ส่วนกระดานบาร์อด”เรื่องเร่งด่วนให้ท้องถิ่นแก้ปัญหา”นักศึกษาให้ความสำคัญได้แก่

การศึกษา การเกษตร การสาธารณสุข ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเมืองท้องถิ่นยุคใหม่เอาความโปร่งใสซื่อสัตย์ ยุติธรรมของผู้นำเป็นตัวตั้ง ซึ่งจากการประมวลสิ่งที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการนั้นล้วนแล้วต้องการผู้บริหารที่มีวิชั่นแก้ไขปัญหาทุกจุดตรงประเด็นครบถ้วน สำหรับการดีเบตครั้งนี้จัดขึ้นเฉพาะกลุ่มนักศึกษาเท่านั้นแต่ประชาชนได้ฝากเรียกร้องถึงคณะกรรมการเลือกตั้งจังหวัดเชียงรายเห็นควรจัดการดีเบตใหญ่ต่อหน้าประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายเพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดเชียงรายได้รับฟังนำมาวิเคราะห์ประกอบกับการตัดสินใจเลือกนายกอบจ.เชียงราย ในห้วงโค้งสุดท้ายในการหาเสียงก่อนที่จะมีการลงคะแนน ในวันที่เสาร์ 1 กุมภาพันธ์ 2568 อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการหาเสียงโดยบริสุทธิปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง โดยช่วงก่อนมีการให้ผู้สมัครทั้ง2สรุปประเด็นภาพรวมก่อนมีการจบดีเบตต่อหน้านิสิตนักศึกษา ทางนายประเสริฐ จิตพลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้วิดีโอคอลถึงผู้เข้าร่วมรับฟังดีเบตเน้นย้ำการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความบริสุทธิยุติธรรมไม่ทุจริตซื้อสิทธิขายเสียง
ในการดีเบตครั้งนี้สำนักคณะกรรมการเลือกตั้งได้จัดการแสดงคูหาเลือกตั้งและนำเสนอวิธีการเลือกนายกอบจ.เชียงราย และส.อบจ.เชียงรายอย่างถูกต้องอาทิสีบัตรเลือกตั้ง ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกจะต้องเลือกแบบไม่ผิดพลาด.

    ทีมงานข่าวเชียงรายรายงาน

    สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ตร.พิสูจน์หลักฐานจังหวัดลพบุรี จัดอบรมความรู้เบื้องต้นอาวุธปืน ที่เกี่ยวข้องและการเข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุ

    แชร์เนื้อหานี้

    วันที่ 22 ม.ค. 2567 เวลา 09.30 น. พ.ต.อ.สมศักดิ์ รัศมีจันทร์ นวท.(สบ 4) พฐ.จว.ลพบุรี ได้จัดการอบรมในหัวข้อ “ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่เกี่ยวข้องในงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ” เพื่อเพิ่มพูนทักษะและความมั่นใจในการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีที่เกี่ยวกับอาวุธปืนแก่เจ้าหน้าที่ พฐ.จว.ละบุรี

    “โครงการอบรมฝึกทักษะใช้ปืนให้แก่ข้าราชการตำรวจของ พฐ.จว.ลพบุรี มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เจ้าหน้ามีความเสี่ยงต่อการสูญเสีย ได้รับอันตรายถึงชีวิตน้อยที่สุด โครงการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มทักษะความชำนาญในการตรวจใช้อาวุธปืนให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน พฐ.จว.ลพบุรี

    โดยเชื่อว่าหลังจากที่ได้มีการฝึกทบทวนแล้วจะทำให้ลดการสูญเสีย และระมัดระวังเกี่ยวกับพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ พัฒนาเพิ่มทักษะ ขีดความสามารถ ให้มีความรู้ ความชำนาญ รวมทั้งการใช้อาวุธปืนประจำกายทุกครั้งจะเป็นไปตามมาตรฐานสากลและพัฒนาสู่ความ “เป็นตำรวจพิสูจน์หลักฐานมืออาชีพ”

    นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพตามหลักยุทธวิธีการเข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน และระงับเหตุตามแบบการใช้อาวุธและการยิงปืน นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติเองยังสามารถตัดสินใจใช้อาวุธปืนในการเข้าระงับเหตุได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย และถูกต้องตามหลักยุทธวิธี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผ่านการฝึกทบทวนจะได้รับความรู้และวิทยาการใหม่ๆ นำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการฝึกทบทวนในครั้งนี้อีกด้วย

    สนอง แท่นสูงเนิน ผอ.ศูนย์ข่าวฯ ประจำจังหวัดลพบุรี และอนุกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัดลพบุรี รายงาน

    สื่อรัฐทีวี-สื่้อรัฐนิวส์ / กูเซ็งโคม่าถูก3 ส.ส.2 พรรคการเมืองใหญ่ปราศรัยถล่มยับ ช่วยอ้อนขอคะแนนเสียงช่วยพี่ชาย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เตรียมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลัง25ปี นราฯล้าหลัง

    แชร์เนื้อหานี้

    เมื่อเวลา 21.00 น. ของคืนวันที่ 22 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ที่บริเวณลานตลาดเกษตรกลางใจเมือง อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีการเปิดปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.และสมาชิก อบจ.ของนายซาการียา สะอิ ส.ส.นราธิวาส เขต 4 พรรคภูมิใจไทย เพื่อช่วยนายอับดุลลักษณ์ สะอิ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ที่ได้ลงเล่นการเมืองระดับท้องถิ่นเป็นครั้งแรก โดยมีนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 3 พรรคกล้าธรรม นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 2 พรรคกล้าธรรม ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็นมือขวาของนายธรรมนัส พรหมเผ่า แถมยังมีนายนัจมุดดีน อูมา ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

    ช่วยปราศรัยอ้อนของคะแนนเสียง ถล่มยับนายกูเซ็ง ยาวอหะซัน แกนนำหลักพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นอดีต นายก อบจ.นราธิวาส 5 สมัย โดยมีคลื่นมหาชนจากพื้นที่ อ.ระแงะ จะแนะและเจาะไอร้อง จำนวนร่วม 8,000 คน มาให้กำลังใจพร้อมรับฟังนโยบาย ในหัวข้อ 25 ปีชาวนราธิวาสได้อะไรบ้างถึงเวลาทุกคนต้องเปลี่ยน เพื่อการพัฒนาในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยวการศึกษาที่ล้าหลัง ติดอันดับสุดท้ายของตาราง จนลานตลาดเกษตรใจกลางเมือง อ.ระแงะ แทบแตกมากไปด้วยคลื่นมหาชน มีการตบมือเป็นระยะๆ ที่แต่ละคนสลับสับเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยหาเสียงก่อนโค้งสุดท้าย

    โดยการปราศรัยในครั้งนี้ เป็นการปราศรัยนโยบายของนายอับดุลลักษณ์ สะอิ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ที่เป็นคู่แข่ง 1 เดียวของนายกูเซ็ง ยาวอหะซัน อดีตนายก อบจ.5 สมัย ที่มีการมอบหมายให้ผู้ปราศรัยแต่ละคนขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวถึงนโยบายแต่ละข้อ ที่นายอับดุลลักษณ์ เมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเร่งดำเนินการพัฒนาเพื่อให้เทียบเท่าจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ คนแรกที่ขึ้นปราศรัยช่วยหาเสียงให้นายอับดุลลักษณ์ สะอิ คือ นายไพซอล อาแว นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งมีความชำนาญและช่ำชองในเรื่องของการบริหารงานท้องถิ่น ได้กล่าวในเห็นถึงการบริหารบ้านเมืองในปัจจุบัน ต้องมีแนวคิดที่กว้างไกลรอบด้านและความสัมพันธ์ส่วนตัว ที่จะมีความกระตือรืนร้นดึงความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและอกชนเข้ามาผลักดันพัฒนาฟื้นฟูโครงการต่างๆ มิใช่เพียงแต่ใช้งบประมาณที่มีขีดจำกัด ก่อนที่จะถามคลื่นมวลชนว่าถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง

    คนที่ 2 คือแม่งานคนสำคัญ คือ ตัวนายอับดุลลักษณ์ คู่แข่งคนสำคัญของนายกูเซ็ง ยางอหะซัน เมื่อถึงคิวขึ้นปราศรัยหลังจากคลื่นมหาชนได้รับฟังการปราศรัยหรือเรียกน้ำย่อยนโยบายจากนายไพซอล คลื่นมหาชนได้ถือโอกาสมอบพวงมาลัยและดอกกุหลาบเพื่อเป็นกำลังใจ โดยบางคนพูดเพียงสั้นๆกับนายอับดุลลักษณ์ในขณะมอบพวงมาลัยและดอกกุหลาบว่า ต้องเปลี่ยนให้ได้น่ะให้สมกับการรอคอย โดยนายอับดุลลักษณ์ ได้กล่าวถึงการศึกษาที่นราธิวาสติดอันดับสุดท้ายของตาราง เศรษฐกิจซบเซาที่แนวชายแดน การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่มากมี แต่ไม่เคยถูกหยิบยกมาเป็นนโยบายและฟื้นฟู ทั้งๆที่เป็นเม็ดเงินสร้างรายได้ให้กับจังหวัด ผมขอเวลาและโอกาสนั่งเก้าอี้นายก อบจ.ถ้าผมทำไม้ได้ เลือกตั้งครั้งต่อไปอย่าเลือกผม

    ในส่วนของนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 3 พรรคกล้าธรรม นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 2 พรรคกล้าธรรม นายนัจมุดดีน อูมา ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเจาะลึกลงไปในด้านการค้าแนวชายแดน โดยเฉพาะผลสืบเนื่องจากการท่องเที่ยว ทั้งๆทีในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส มีธรรมชาติที่สวยงามสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสัมผัส เช่นทะเลหมอกที่สวยงาม แต่คนนราธิวาสกับไปเที่ยวชมทะเลหมอกในพื้นที่อื่นๆ มันแปลกดีน่ะคือมีดีแต่ไม่มีคนหยิบยกมาโชว์ และการปราศรัยปิดท้ายในครั้งนี้ คือ นายซาการียา สะอิ ส.ส.นราธิวาส เขต 4 พรรคภูมิใจไทย

    ซึ่งเป็นน้องชายของนายอับดุลลักษณ์ ได้กล่าวเจาะลึกลงไปถึงการศึกษา ที่จังหวัดอื่นๆทั่วประเทศเล็งเห็นความสำคัญด้านการศึกษาปูพื้นฐานตั้งแต่เป็นเด็กเยาวชน ซึ่งถือว่าเป็นฐานรากที่เข้มแข็งของประเทศ แต่บ้านเรามีมั๊ยมีที่ไหนจัดติวเพื่อสอบเข้าแข็งขันขึ้นไปสู่ระดับต่างๆในรั้วโรงเรียนหรือรั้วของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แต่เพียงการศึกษาของภาครัฐ มันรวมไปถึงการศึกษาของโรงเรียนสอนศาสนาหรือตาดีกา ที่ปัจจุบันถือว่ายังดีที่โรงเรียนสอนศาสนาหรือตาดีกา บางแห่งยังคงได้รับการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือจากต่างประเทศ มิเช่นนั้นโรงเรียนสอนศาสนาหรือตาดีกา อยากจะกลายเป็นตำนานหรือเป็นโรงเรียนร้างไปโดยปริยาย

    ด้านนายอับดุลลักษณ์ สะอิ ผู้สมัครนายก อบจ. นราธิวาส กล่าวด้วยความมั่นใจในชัยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า ผมพร้อมที่จะเปลี่ยนจังนราธิวาสทันที โดยการส่งเสริมเศรษฐกิจพื้นฐานและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีก่อน โดยเริ่มจากให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยว จากการส่งเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งเราจะทำให้ได้ทันที รวมถึงการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกัน เพิ่มรายได้ให้ชานราธิวาส โดยการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการศึกษา พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งผมคิดว่าจากการลงพื้นที่ของผมนั้นรอบนี้นราธิวาสต้องเปลี่ยนให้ได้ ซึ่งผมมั่นใจเพราะจากการที่ได้ลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน ทุกพื้นที่ในจังหวัดนราธิวาสมีการตอบรับจากชาวบ้านในพื้นที่ ว่าเรามาเปลี่ยนนราธิวาสไปด้วยกัน
    ///////////////////////////// 23 มกราคม 2568
    ข่าว/กรียา/นราธิวาส

    สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / มทร.อีสาน ร่วม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิด “ศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสาน”

    แชร์เนื้อหานี้

    มุ่งสร้างความเข้มแข็งในทุกมิติและเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ชุมชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้ฐานความรู้จากการวิจัยและนวัตกรรมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน โดย คณะนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จัดพิธีเปิด “ศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสาน” ณ คณะนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ศูนย์การศึกษาหนองระเวียง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ต.หนองระเวียง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมี นายสุรพันธ์ ศิลปะสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มทร.อีสาน กล่าวต้อนรับดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, พลตรี นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2, พลตรี กิตติศักดิ์ ถาวร เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2, พันเอก พงศ์กฤษฏ์ รุจิโยธิน รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21, นายสัตวแพทย์พศวีร์ สมใจ ปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมา, ผู้แทนประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, คุณปิยวรรณ ดาษสกุล ผู้แทนพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา, ศาสตราจารย์ ดร.ไชยณรงค์ นาวานุเคราะห์ รองประธานเครือข่ายวิจัยภูมิภาค:ภาคตะวันออกฉียงเหนือ หัวหน้าส่วนราชการและแขกที่เข้าร่วมงาน จากนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฉลิมพล เยื้องกลาง คณบดีคณะนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร กล่าวรายงานที่มาและความสำคัญของโครงการ และได้รับเกียรติจาก ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวเปิดงานและมอบป้ายศูนย์วิจัยชุมชน

    สำหรับที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสาน” เกิดขึ้นจากคณะนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ มีภารกิจในการสนับสนุนการจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยชุมชน” ผ่านเครือข่ายวิจัยภูมิภาค ในพื้นที่หนองระเวียง คณะนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร ที่มีความพร้อมขององค์ความรู้จากผลงานวิจัย และมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่คณาจารย์ในด้านการเรียนการสอนให้กับนักศึกษา ชุมชนและสังคม จึงรับเป็นผู้ประสานงานการจัดตั้งศูนย์วิจัยชุมชน โดยใช้ฐานความรู้จากการวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมให้ครอบคลุมอย่างเป็นรูปธรรมในรูปแบบศูนย์วิจัยชุมชน

    โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “สำหรับการจัดตั้งศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสาน นับเป็นศูนย์วิจัยชุมชนฯ แห่งที่ 15 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทาง วช. มุ่งหวังว่าจะเป็นศูนย์วิจัยชุมชนฯ ที่สามารถสร้างความเข้มแข็งและแก้ปัญหาของชุมชนได้ เป็นที่ทราบกันดีว่า “โคเนื้อ” เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและภาคอีสาน ปัจจุบันมีจำนวนโคเนื้อกว่า 10 ล้านตัว (ร้อยละ 55 เลี้ยงในภาคอีสาน) และมีเกษตรกรไม่น้อยกว่า 1.4 ล้านครัวเรือน ที่ยึดเป็นอาชีพหลัก ช่วงปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่า ราคาโคเนื้อขยับเพิ่มขึ้น แต่ยังพบว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ ได้กำไรน้อยมาก ทั้งนี้เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้น ความรู้จากงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ที่สำคัญๆ ได้แก่ เทคโนโลยีการผสมพันธุ์เพื่อผลิตลูกโค/ฟิคไทม์ เอไอ อาหารโคขุนต้นทุนต่ำ เทคนิคการแปรรูปผลิตภัณฑ์เนื้อโค และอื่นๆ ซึ่งได้ถูกรวบรวมขึ้นโดย ศูนย์วิจัยชุมชนฯ แห่งนี้จะก่อให้เกิดผลผลิต ผลลัพธ์ และวิถีผลกระทบและความสำเร็จ หรือ impact pathway ขึ้น

    ในนามของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ขอชื่นชมพลังแห่งความร่วมมือของเครือข่ายวิจัยภูมิภาค: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ คณาจารย์ นักวิจัย วิสาหกิจชุมชน เกษตรกร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานโคเนื้อทุกๆ ท่าน ในการจัดตั้งศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสานในวันนี้ เพื่อเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม นำไปแก้ไขปัญหาการผลิตโคเนื้อ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อไป” ทั้งนี้ การจัดตั้งศูนย์วิจัยชุมชนโคเนื้อแห่งภาคอีสาน มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นศูนย์กลางและเผยแพร่องค์ความรู้ จากงานวิจัยและนวัตกรรม อีกทั้งยังเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ฝึกประสบการณ์ และเสริมสร้างทักษะจากงานวิจัยสู่นวัตกรรมที่ยั่งยืนในอนาคต ตลอดจนเป็นการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ในการต่อยอด สู่เชิงพาณิชย์ช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต อย่างมีเสถียรภาพ ยั่งยืน และกระจายรายได้สู่สังคม และเพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายภาครัฐในการจัดตั้ง ศูนย์วิจัยชุมชน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

    กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

    สื่อรัฐทีวี – สื่อรัฐนิวส์ /ชุดสืบศุลกากรภาค 2 บุกแฟลชโฮม บขส.มุกดาหาร ยึดไพ่เถื่อน 558 สำรับ

    แชร์เนื้อหานี้

    เมื่อเวลา​ 16.00​น. วันที่ 23 มกราคม​ 2568​ นายสมพล ไทยจงรักษ์ หัวหน้าฝ่ายสืบสวนและปราบปราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากร ฝ่ายสืบสวนและปราบปราม สคศ. ศภ.2 กับพวก และเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรมุกดาหาร ได้ร่วมกันทำการตรวจสอบสถานที่รับส่งพัสดุร้านแฟลชโฮม (Flash home) สาขา บขส.มุกดาหาร เลขที่ 33/51 ถ.ชยางกูร ต.มุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร

    เนื่องจากสืบทราบว่าจะมีการลักลอบนำสินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรมาส่งที่ร้านดังกล่าวเพื่อส่งต่อไปยังผู้รับซื้อในจังหวัดต่างๆ โดยมีนายกฤตเมธ แก้ววงษา ตัวแทนสาขาเป็นผู้นำทำการตรวจค้นสิ่งของ ผลการตรวจสอบพบกล่องพัสดุต้องสงสัยจำนวน 70 กล่อง

    เมื่อเปิดดูพบว่าภายในบรรจุไพ่พลาสติก ยี่ห้อ YJZ และ Royal ผลิตจากต่างประเทศ จำนวน 558 สำรับ โดยไม่มีเอกสารหลักฐานแสดงการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ และไม่พบการปิดอากรแสตมป์สรรพสามิตหรือเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีของกรมสรรพสามิต เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลางเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

    ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

    สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กองทัพบก ร่วมใจแก้ไขปัญหาไฟป่า และหมอกควัน/สภาการสื่อมวลชนฯ จัดอบรมครูประจวบฯ-เพชรบุรี/องค์กรภาคประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้อมเกล้าถวายปลากะตักแห้ง

    แชร์เนื้อหานี้

    องค์กรภาคประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้อมเกล้าถวายปลากะตักแห้ง ร่วมสนับสนุนโครงการตามพระราชดำริต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน ประจำปี 2568 เพื่อนำไปมอบให้ประชาชนในถิ่นทุรกันดารพื้นที่ภาคเหนือ

    วันที่ 22 มกราคม 2568เวลา 9.00 น. ที่บริเวณหอประชุมอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  องค์กรภาคประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น้อมเกล้าถวายปลากะตักแห้ง และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน ร่วมสนับสนุนโครงการตามพระราชดำริต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน ประจำปี 2568 โดย นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานในพิธี เพื่อมอบแก่พลเรือตรี กรัณย์ กลิ่นบัวแก้ว รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่1 ผู้แทนกองทัพเรือ ที่จะเดินทางไปส่งมอบให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดารพื้นที่ภาคเหนือ

    ในโอกาสนี้ นายสุทิน ประเสริฐศักดิ์ นายอำเภอบางสะพาน ตัวแทนส่งมอบฯจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายชลธี ศรีชะเอม นายกสมาคมชาวประมงบางสะพาน กล่าวรายงานถึงที่มาของกิจกรรมน้อมเกล้าฯ โดยสมาคมชาวประมงบางสะพาน สมาคมชาวประมงประจวบคีรีขันธ์ และสมาคมประมงพื้นบ้านประจวบคีรีขันธ์ พี่น้องชาวประมง และองค์กรต่าง ๆ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงได้ร่วมกันสืบสานโครงการด้วยการน้อมเกล้าฯ ถวายปลากะตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน โดยในปีนี้ ได้เชิญชวนสมาชิกชาวประมง  สำนักงานประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปตท.สผ.

    บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด บริษัท ปลาดีเกลือดี จำกัด ล้งเกลือโชคธีรศักดิ์ กลุ่มเหล็กสหวิริยา SVL Group แพปลาซุ่งกี่ ชุมชนรัตนโกสินทร์ กลุ่ม Young Bangsaphan องค์กรภาคเอกชน  ประชาชนทั่วไป ร่วมกันบริจาคโดยมีรายละเอียดดังนี้ ปลากะตัก จำนวน 2,100 กิโลกรัม เกลือไอโอดีน 3,060 กิโลกรัม และปลากระป๋อง จำนวน 1,000 กระป๋อง ให้กับสำนักงานโครงการส่วนพระองค์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการตามพระราชดำริต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน ประจำปี 2568 ผ่านกองทัพเรือ โดยเสด็จพระราชกุศล นำไปพระราชทานให้แก่ นักเรียน และประชาชนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน โดยในปีนี้เป็นปีที่ 29 ของกิจกรรมฯ นี้ ซึ่งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้มีการจัดพิธีส่งมอบให้แก่ผู้แทนโครงการ ณ อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนพะเด๊ะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

    โดยผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้ารับพระราชทานปลากะตักแห้ง และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก่อนส่งมอบให้กับ พลเรือตรี กรัณย์ กลิ่นบัวแก้ว รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่1ผู้แทนกองทัพเรือ เพื่อส่งมอบต่อให้กับกำลังพลทัพเรือภาคที่ 1 จากนั้นผู้ร่วมพิธีได้ร่วมกันปล่อยขบวนลำเลียงปลากะตักแห้ง และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีนพระราชทาน เคลื่อนที่ออกจากบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเดินทางไปส่งมอบให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือต่อไป
    นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

    สภาการสื่อมวลชนฯ จัดอบรมครูประจวบฯ-เพชรบุรี ช่วยเด็กรู้เท่าทันสื่อ กระตุ้นการวิเคราะห์ผ่านการอ่านหนังสือพิมพ์

    Oplus_131072

    เมื่อวันที่ 22 ม.ค.68 ที่ห้องประชุมโรงแรมจีหัวหิน รีสอร์ทแอนด์มอลล์ จ.ประจวบฯ มูลนิธิสภาการสื่อมวลชน และสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ โดยมี นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เป็นประธานเปิดสัมมนา มีคณะครูระดับชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนต่างๆ ในอำเภอหัวหิน 15 โรงเรียน และในจังหวัดเพชรบุรี 10 โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วยการบรรยาย “รู้จัก

    หนังสือพิมพ์” โดย รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การแนะนำ “หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์หัวหินสาร” โดยนายชลวิวัฒน์ โฆษิตชัยวัฒน์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์หัวหินสาร, การแนะนำ “หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เพชรภูมิ” โดยนายศักดิ์สิทธิ์ วิบูลศิลป์โสภณ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เพชรภูมิ, กิจกรรมสัปดาห์สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ รวมถึงการเวิร์กช็อปสร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์ โดย รศ.ดร.วิไลวรรณ จงลิไลเกษม คุณครูนิภารัตน์ ยังพระเดช และนายฐิติชัย อัฏฏะวัชระ

    Oplus_131072

    นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี กล่าวว่า การสร้างภูมิการเรียนรู้อย่างเท่าทันสื่อ และการสร้างการเรียนรู้ด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ในวัยเด็กระดับชั้นประถมศึกษา จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้จากการอ่าน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแสวงหาความรู้ และใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านในการปรับตัวเป็นทักษะด้านการรับรู้ที่สำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องมือเรียนรู้สิ่งต่างๆ อันเป็นรากฐานของการเรียนรู้แต่ละสาขาวิชา และเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์ ความสามารถของผู้อ่าน ซึ่งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ได้ผลระยะยาวมากที่สุด และยังได้เสริมสร้างชุดทักษะความรู้ จากกระบวนโต้ตอบ การพูดคุย ซักถาม ผ่านกิจกรรมในกระบวนการระหว่างการเรียนรู้จากการอ่าน

    Oplus_131072

    การสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูมีแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้นักเรียนรักการอ่าน รู้จักคิดวิเคราะห์ให้หลากหลาย รู้เท่าทันสื่อและความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น โดยใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อการเรียนการสอน รวมถึงเพื่อให้นักเรียนมีองค์ความรู้เท่าทันสื่อและความเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรวิชาชีพสื่อ เครือข่ายโรงเรียน เครือข่ายนักเรียน และส่งเสริมและพัฒนาให้เกิดกลไกและกระบวนการคัดกรอง เฝ้าระวังและรู้เท่าทันสื่อ จากเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรวิชาชีพสื่อ เครือข่ายโรงเรียน และเครือข่ายนักเรียน นิเวศสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์.
    นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

    ตามนโยบายของกองทัพบกในการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นกองกำลังสุรสีห์ โดยหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก ร่วมบูรณาการความร่วมมือกับชุดปฏิบัติการไฟป่าและหมอกควัน ของอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์ไฟป่า และข้อมูลจุดความร้อน (HOTSPOT) ในพื้นที่ รวมถึงประสานการปฏิบัติในการกำหนดแนวทางการป้องกันและควบคุมไฟป่า ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5

         ในการนี้ หน่วยได้จัดชุดวิทยากรเผยแพร่ความรู้ พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เสนารักษ์ของหน่วย ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิงรุกและสร้างการรับรู้ในเรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละออง PM 2.5 พร้อมทั้งแจกจ่ายอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่างๆ อาทิเช่น หน้ากากอนามัย และกระบอกสำหรับล้างจมูก ให้กับกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และประชาชนทั่วไป ในพื้นที่ของตำบลอ่าวน้อย และตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

         กิจกรรมที่หน่วยได้ปฏิบัติในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของกองทัพบกที่มีต่อประชาชนจากการเกิดปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนมีอากาศที่บริสุทธิ์ รวมถึงให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น
    นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

    โป๊ะแตก  เจอพิรุธอุตสาหกรรม จ.ประจวบฯประกาศรับสมัครลูกจ้าง พขร.ผ่านเวปไซด์ แต่ไร้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ  เมินประกาศผล  สื่อลุยตรวจสอบพบมีผู้สมัครรายเดียวรับเข้าทำงานนานแล้วแต่ขาดคุณสมบัติ

    วันที่  22  มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าว จ.ประจวบคีรีขันธ์ได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบประกาศจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงวันที่ 19 กันยายน 2567 มีการรับสมัครพนักงานขับรถอัตราจ้างรายเดือน 8,500 บาท ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่อไม่โปร่งใส ไม่ปฎิบัติตามระเบียบของทางราชการ โดยปัจจุบันพบเพียงประกาศรับสมัครเพียงฉบับเดียวลงในเวปไซด์ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด แต่ไม่พบประกาศการแจ้งรายชื่อผู้มีสิทธิสอบในเวปไซด์  และในวันที่ 30  กันยายน 2567 แจ้งว่าในประกาศรับสมัครว่าจะมีการประกาศผลสอบ แต่ไม่มีการประกาศในเวปไซด์แต่อย่างใด โดยในประกาศระบุไว้ชัดเจนว่าจะประกาศผ่านเวปไซด์  จึงถือเป็นข้อพิรุธ   นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ที่สอบผ่าน เป็นผู้สมัครเพียงรายเดียว  ส่อขาดคุณสมบัติในการรับสมัครตามข้อ 8. ระบุว่า ไม่เคยถูกไล่ออกฐานทุจริตต่อหน้าที่ 

    ต่อมา นายณัฐ   อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ได้เชิญเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องไปสอบถามข้อเท็จจริงว่าได้ดำเนินการตามระเบียบที่กำหนดครบถ้วนหรือไม่    เนื่องจากตนได้เดินทางมารับหน้าที่ในเดือนตุลาคม 2567 หลังจากมีการรับพนักงานขับรถรายดังกล่าวเข้ามาทำงานแล้ว โดยเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการทำสัญญารายปี  จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ทราบว่าก่อนหน้านั้นมีการดำเนินการไว้อย่างไร แต่สำหรับตนยืนยันว่าไม่ชอบการทุจริต  ดังนั้นเมื่อได้ทราบข้อมูลในเบื้องต้นจะแจ้งให้พนักงานขับรถรายนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวไว้ก่อน โดยสั่งการให้ทำหนังสือสอบถามข้อเท็จจริงไปยังหัวหน้าหน่วยงานแห่งหนึ่งที่ศาลากลางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงหากเคยพนักงานขับรถรายนี้เคยมีการทุจริตน้ำมันเชื้อเพลิงของทางราชการ  หรือมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้วเมื่อช่วงต้นปี 2567 จากนั้นมีผลสรุปไว้อย่างไร  

    จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ขอดูเอกสารการประกาศรับสมัครต้นฉบับก่อนจะนำไปลงในเวปไซด์ การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ  การประกาศผลสอบที่มีการลงนามโดยนางสุคนทิพย์ สินวิวัฒนากุล อดีตหัวหน้าสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดประจวบฯ  แต่นางจริยา ศิวายพราหมณ์ หัวหน้ากลุ่มโยบายและแผนงาน แจ้งว่าผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้  วันนี้ไม่ได้มาทำงาน ซึ่งข้อเท็จจริงทั้งหมดจะต้องสอบถามกับเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวเท่านั้น   นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่รายหนึ่งระบุว่า หากมีปัญหาตามที่ทักท้วง ทางสำนักงานฯจะประกาศผ่านเวปไซด์อีกครั้งตามระเบียบของกรมบัญชีกลาง  แต่ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบันมีประกาศเป็นเอกสารตัวจริงตัวจริงให้ตรวจสอบหรือไม่  ขณะที่การลงประกาศซ้ำอีกครั้งในเวปไซด์ โดยที่หัวหน้าอุตสาหกรรมจังหวัดได้สั่งให้พนักงานขับรถหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวไปก่อนจะมีความเหมาะสมหรือไม่ เหตุใดในการรับสมัครช่วงแรกจึงไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบตั้งแต่เริ่มต้น แต่ไม่มีคำชี้แจงใดๆ ทั้งนี้  และไม่มีการนำเอกสารตัวจริงมาแสดง  ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่าก่อนหน้านี้พนักงานขับรถรายดังกล่าวได้ไปสมัครสอบในตำแหน่งเดียวกันที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรับสมัคร 3 อัตรา แต่มีผู้เข้าสอบได้ทำการร้องเรียนสื่อมวลชนจากปัญหาจากที่ทำงานแห่งเดิมที่ศาลากลางจังหวัดประจวบฯ ทำให้สอบไม่ผ่าน  กระทั่งพบว่าไปทำงานที่อุตสาหกรรมจังหวัด  

    นายเจนวิทย์  ราชธา หัวหน้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดประจวบฯ ซึ่งเป็นผู้สอบสัมภาษณ์พนักงานขับรถ ยืนยันว่าได้สอบถามแล้วว่าเคยมีการทุจริตจากการทำงานในหน่วยงานใดหรือไม่ ผู้สมัครบอกไม่มี  และโดยส่วนตัวยอมรับไม่ทราบมาก่อนว่าผู้สมัครรายนี้เคยมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานเดิมมาก่อน

    นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์090994478

    สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / แถลงข่าว จัดงานเทศกาลตรุษจีน จากจีนสู่ไทยสุขใจในแผ่นดินน่าน China town of Nan 2025 จัดขึ้น 21-29 ม.ค.นี้ ณ ศาลเจ้าปึงเถ่ากง น่าน อ.เมืองน่าน

    แชร์เนื้อหานี้

    วันที่ 21 ม.ค. 68 ที่ศาลเจ้าปึงเถ่ากงน่าน อ.เมืองน่าน จัดแถลงข่าว จัดงานเทศกาลตรุษจีน จากจีนสู่ไทยสุขใจในแผ่นดินน่าน China town of Nan 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-29 ม.ค.นี้ ซึ่งจะมีพิธีเปิดเทศกาลตรุษจีน ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป และครบรอบ 122 ปี ศาลเจ้าปึงเถ่ากง จัดโดยเทศบาลเมืองน่าน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน ศาลเจ้าปึงเถ่ากง น่าน สมาคมพ่อค้าน่าน ททท.สำนักงานน่าน และภาคีเครือข่าย

    ทั้งนี้การจัดงานเทศกาลตรุษจีนในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อประดับตกแต่งสถานที่ให้กลุ่มคนไทยทุกเชื้อชาติในพื้นที่ ได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของจีน ปลูกฝังจิตสำนึกรัก หวงแหน ภูมิปัญญาของบรรพชน ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความสามัคคีของกลุ่มคนไทยทุกเชื้อชาติในจังหวัดน่าน

    เพื่อการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดน่าน และส่งเสริมเศรษฐกิจของชุมชนจากการนำสินค้าทางวัฒนธรรมมาสาธิตจัดจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับชุมชน

    กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย เชิญชมการแสดงเชิดสิงโต การแสดงแสง สี เสียง การรำไท้เก๊ก จำหน่ายอาหาร การประดับโคมไฟ การประกวดภาพถ่าย จุดถ่ายภาพ Check in เซียมซีเสี่ยงทาย การเขียนคำอวยพรพู่กันจีน การแสดงทางศิลปวัฒนธรรมจีน และกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย

    นอกจากนี้การจัดงานยังได้รับการสนับสนุนการจัดงานจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ชุมชนหัวเวียงใต้ ชมรมไท้เก๊ก โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคารจังหวัดน่าน และโรงเรียนจุมปีวนิดาภรณ์ เทศบาลเมืองน่าน (บ้านภูมินทร์) ที่ร่วมประดับตกแต่งแสงไฟสวยงาม และสนับสนุนการแสดงอีกด้วย/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

    สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ขานรับ นโยบาย ผบ.ตร. ตม.นครนายก X-rays ตรวจสอบและสร้างความเชื่อมั่น คนต่างด้าวสัญชาติจีน ในพื้นที่ฯ

    แชร์เนื้อหานี้

    👮‍♂️ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เรื่องการคุมเข้ม
    แก้ปัญหาคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวตั้งกลุ่มแก๊งกระทำความผิดหรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ

    👮‍♂️พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์  อนุฤทธิ์ รรท.ผบก.ตม.3 มอบหมายให้  พ.ต.ท.พศิน หลาวทอง สว.ตม.จว.นครนายก พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดฯ ตรวจสอบคนต่างด้าวโดยเฉพาะ สัญชาติจีน ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยตรวจสิทธิในการอยู่ในราชอาณาจักร การแจ้งที่พัก และการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ อีกทั้งยังช่วยแจ้งให้ทราบถึงช่องทางการประสานกับเจ้าหน้าที่กรณีขอความช่วยเหลือต่างๆ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อ หรือการเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมในลักษณะอาชญากรรมข้ามชาติ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัยใน จ.นครนายก
    
      ➡️ทั้งนี้การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน หากมีข้อมูลเบาะแสกระทำผิด หรือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้แรงงานต่างด้าว ในพื้นที่ฯ สามารถติดต่อ ตม.จว.นครนายก หรือ ☎️ สายด่วน โทร.1178

    สระแก้ว – ชุมชนเมืองย่อยที่ 16 (ตลาดสระแก้ว) จัดกิจกรรม “รณรงค์ไม่ขายเสียง” ชุมชนต้นแบบ

    เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 เวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะครู ศกร.ระดับตำบลสระแก้ว สังกัด สกร.ระดับอำเภอเมืองสระแก้ว จัดกิจกรรม “รณรงค์ไม่ขายเสียง” หมู่บ้านต้นแบบไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ได้มี ร.ต.อ.สำราญ พรหมเกษร ประธานชุมชนเมืองย่อยที่ 16 (ตลาดสระแก้ว) พร้อมคณะกรรมการชุมชน ประชาชนในพื้นร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ณ ชุมชนเมืองย่อยที่ 16 (ตลาดสระแก้ว) อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว

    พร้อมบรรยายให้ความรู้เรื่องพลเมืองคุณภาพ และรณรงค์การไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.อบจ.สระแก้ว ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568 เวลา 08.00-17.00 น