เรื่องทั้งหมดโดย admin

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / คณะนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย–สหรัฐฯ เยือนน่านต่อเนื่องปีที่ 3 มอบเงิน 2 แสนบาทช่วยผู้ประสบภัยพายุ “วิภา” หนุนท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน

แชร์เนื้อหานี้

จังหวัดน่านยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล่าสุด คณะนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา เดินทางมาเยือนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยเข้าพักนานถึง 10 วัน เลือกพักที่ “น่านบูติคโฮเทล” โรงแรมรางวัล ASEAN Sustainability Award ในฐานะโรงแรมสีเขียวระดับอาเซียน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน

ปีนี้ แม้การเดินทางเดือนสิงหาคมถูกยกเลิกเพราะผลกระทบจากพายุ “วิภา” แต่คณะนักท่องเที่ยวเกือบ 40 คนจากออสเตรเลียยังคงแสดงน้ำใจ ด้วยการ ระดมทุน 200,000 บาท มอบให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดน่าน แบ่งเป็น มอบให้นักเรียนโรงเรียนบ้านดอนศรีเสริมกสิกร 50 คน , มอบให้โรงพยาบาลน่าน เพื่อใช้ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบการช่วยเหลือครั้งนี้เกิดจากการผลักดันของ นางดวงพร เต็งไตรรัตน์ ชาวน่านที่ไปใช้ชีวิตในออสเตรเลียกว่า 60 ปี แต่ยังคงกลับมาเยือนบ้านเกิดทุกปี

พร้อมพาเพื่อนนักท่องเที่ยวมาสัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น ภายใต้ความร่วมมือกับทีมงาน “Nan Dream Team” ที่จัดกิจกรรม เช่น เยี่ยมชมฟาร์ม ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร่วมทำกิจกรรมในชุมชนในโอกาสนี้ นายโยธิน ทับทิมทอง ผอ.ททท.สำนักงานน่าน ได้มอบของที่ระลึกเพื่อขอบคุณคณะฯ ที่ร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวจังหวัดน่าน

จากนั้น คณะนักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม โครงการทหารพันธุ์ดีน่าน ฐานปฏิบัติการแสงเพ็ญ ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง โดยมี พลเอกวิจักขฐ์ สิริบรรสพ ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา และ พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 ให้การต้อนรับ พร้อมนำชมการดำเนินงาน และร่วมทำกิจกรรมทำอาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ไก่ประดู่หางดำ ผักเชียงดา กบ และไข่ ซึ่งสร้างความประทับใจแก่คณะนักท่องเที่ยวอย่างมาก

ประสิทธิ์ สองเมืองแก่น จ.น่าน ภาพ-ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / โครงการตรวจเยี่ยมบ้านคนพิการตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง” พร้อมมอบชุดยังชีพแก่ทหารผ่านศึก คนพิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 40 ราย

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 16 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 11.00 น.
สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย ร้อยตำรวจโท ดร.มนัส โนนุช ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ มอบหมายให้ พ.ต.ศิริชัย ทรัพย์ศิริ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ/นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล
คณะจิตอาสาพระราชทาน 904 นายนครินทร์ เทพรักษ์ รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเลย และคณะ

นายเสนีย์ จิตตเกษม ประธานกรรมการส่วนภูมิภาค ภาค 10 สภาสังคมสงเคราะห์ฯ มอบหมายให้ นางศรัณยา สุวรรณพรหม รองประธานกรรมการประสานงานส่วนภูมิภาค ภาค 10/ประธานผู้ประสานงานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ

ประจำจังหวัดหนองบัวลำภูพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลำภู ร.ต.อ.ชาญชัย วรรณโรจน์ คณะกรรมการผู้ไกล่เกลี่ย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สัสดีอำเภอนาวัง

ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนวังปลาป้อมวิทยศึกษา และคณะครู
• นางฐานิดา อนุอัน นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
• น.ส.ชญาภา เทียมเมฆ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลประจำจังหวัดบุรีรัมย์
• ชมรมช่วยเหลือสังคม
• นายธวัชชัย จิตต์เจริญ ที่ปรึกษาสมาคมคนพิการฯ
• กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อสม.

ร่วมกันจัดกิจกรรม “โครงการตรวจเยี่ยมบ้านคนพิการตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง” พร้อมมอบชุดยังชีพแก่ทหารผ่านศึก คนพิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 40 ราย

โดยมี พันเอกอาร์ม ยศสุนทร รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานในพิธีมอบ ณ อาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนชุมชนวังปลาป้อมวิทยศึกษา ตำบลวังปลาป้อม อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู

ขอขอบคุณผู้ร่วมบริจาคมา ณ โอกาสนี้ 🙏สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล : ชุดยังชีพ 20 ชุดนางศรัณยา สุวรรณพรหม : ชุดยังชีพ 20 ชุด และน้ำดื่ม 40 โหลโรงแรมเซ็นธารา : แปรงสีฟันและยาสีฟัน 10 ลัง

⸻สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเลยสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองบัวลำภูองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภูชมรมช่วยเหลือสังคมทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่1ทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่3ทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่4

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / อพท.สุโขทัย สร้างสัมพันธ์เครือข่ายสื่อมวลชนจังหวัดสุโขทัยจัดประชุมรวมพลังเครือข่ายสื่อสารมวลชน ประจำปี พ.ศ. 2568

แชร์เนื้อหานี้

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา16:30 น. พันเอก นาวิน ปรีชาพณิชยกุล ผจก.อพท.สุโขทัย และนายสิทธิพันธ์ แสงสุวรรณ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏฺิบัติการ อพท.สุโขทัย และเจ้าหน้าที่ อพท.สุโขทัย สร้างสัมพันธ์เครือข่ายสื่อมวลชนจังหวัดสุโขทัย จัดประชุมรวมพลังเครือข่ายสื่อสารมวลชน ประจำปี พ.ศ. 2568
โดยมี ว่าที่ร้อยเอก สันติพงศ์ บุญยเลิศ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสุโขทัย นางเบญจภัทร หมวกทอง ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย สมาคมสื่อสารมวลชนสุโขทัย ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ผู้สื่อข่าวช่อง ๓ สถานีวิทยุ อสมท จังหวัดสุโขทัย สถานีวิทยุ สวท.จังหวัดสุโขทัย เครือข่ายสื่อมวลชน เครือข่ายสื่อมวลชนในจังหวัดสุโขทัยเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ ส่งเสริมภาพลักษณ์จังหวัดสุโขทัยในฐานะเมืองท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ในการนี้ได้รับเกียรติจาก นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เข้าร่วมรับทราบผลและแผนการกำเนินงานของ อพท.สุโขทัย พร้อมพี่น้องสื่อมวลชน

พันเอก นาวิน ปรีชาพณิชยกุล ผจก.อพท.สุโขทัย กล่าวว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เครือข่าย สื่อมวลชนทุกท่านให้ความสําคัญและเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ อพท.สุโขทัยได้ขับเคลื่อนมิติการท่องเที่ยวยั่งยืน ผ่านโครงการหลัก 3 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม(UCCN)
  2. โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืนประจําปีงบประมาณ2568
  3. โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน พื้นที่ชุมชนเป้าหมาย 9 แห่ง ได้แก่ (1) ชุมชนเมืองเก่า(2)ชุมชนท่าชัย-ศรีสัชนาลัย (3)ชุมชนบ้านนาต้นจั่น (4)ชุมชนไทยชนะศึก (5)ชุมชนเมืองด้ง (6)ชุมชน ทุ่งหลวง (7)ชุมชนนาเชิงคีรี (8)ชุมชนหาดเสี้ยว และ(9)ชุมชนวิถีเมืองบางขลัง

สร้างรายได้ชุมชนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 29,866,899 บาท เพิ่มขึ้น 62.64% จากปีฐาน 2567 จำนวนนักท่องเที่ยว 121,284 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.73% จากปีฐาน 2567 พร้อมพุ่งเป้าหมายแผนการพัฒนาปี 2569 เพิ่มขึ้น 3% จากปีฐาน 2568

ผลงานเด่น: รางวัลระดับชาติและนานาชาติ
จากการดําเนินงานร่วมกับชุมชน อพท.สุโขทัย สามารถผลักดันให้เกิดผลงานเชิงประจักษ์และได้รับ รางวัลสําคัญทั้งในและต่างประเทศ อาทิ

  1. รางวัลนานาชาติ
  • PATA Grand Award 2025 จากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Pacific Asia Travel Association: PATA) มอบให้แก่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น อ.ศรีสัชนา ลัย จ.สุโขทัย จากผลงาน การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน (Sustainable Cultural Heritage Preservation of the Ban Na Ton Chan Homestay Community Enterprise) โดดเด่นที่สุดด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
  1. รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ครั้งที่ 15 (Thailand Tourism Awards 2025)
  • วิสาหกิจชุมชนกลุ่มโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น ได้รับรางวัล Hall of Fame, รางวัลยอดเยี่ยม (Thailand Tourism Excellence Awards) และรางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability Awards)
  • ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเมืองเก่าสุโขทัย ได้รับรางวัลแห่งความยั่งยืน
  • ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านทุ่งหลวง ได้รับรางวัลแห่งความยั่งยืน
  1. รางวัลระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อม
  • Green Destinations Top 100 Stories 2025 ชุมชนท่าชัย – ศรีสัชนาลัย ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก และจะเข้ารับรางวัลอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
  1. รางวัลสถานประกอบการและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • โรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) จํานวน 1 แห่ง
  • ร้านอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Restaurant) จํานวน 2 แห่ง
  • ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Production) จํานวน 4 แห่ง
    รวมทั้งหมด 7 รางวัล
  1. รางวัลด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (LESS)
  • ชุมชนบ้านนาต้นจั่นได้รับประกาศเกียรติคุณโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (LESS) จากการบูรณาการร่วมกับ อพท.สุโขทัย ธ.ก.ส. จังหวัดสุโขทยั ศูนย์ป่าไม้ และ (อบก.)องค์การบริหาร
    จัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
  • ผลการพัฒนาระบบ BCG Model ด้านคาร์บอนเครดิต พบว่าพื้นที่ป่าชุมชน 1,058 ไร่ สามารถกัก เก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 33,097 ตัน CO2 เทียบเท่า ถือเป็นต้นแบบสําคัญของการ ท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ว่าที่ร้อยเอก สันติพงศ์ บุญยเลิศ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ขอขอบคุณ อพท.สุโขทัย ในการบูรณาการร่วมกันในการขับเคลื่อนชุมชนเกิดผลงานเชิงประจักษ์มากมาย ถือว่าเป็นเครือข่ายสำคัญ แรงผลักดันหลักในการสร้างผลงานอย่างเเท้จริง

นางเบญจภัทร หมวกทอง ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน และ อพท.สุโขทัย ที่สร้างส่งเสริม สนับสนุน ชุมขนในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ในนามประชาสัมพันธ์จักนำข้อมูลทั้งหมดไปเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ต่อไปให้นักท่องเที่ยว และบุคคลภายนอกได้ทราบถึงความสำเร็จของชุมชนจากการได้ รางวัลทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างการรับรู้ให้คนมาท่องเที่ยวสุโขทัยเพิ่มมากขึ้นต่อไป

พันเอก นาวิน ปรีชาพณิชยกุล ผจก.อพท.สุโขทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “อพท.สุโขทัย เล็งเห็นถึง ความสําคัญของเครือข่ายสื่อมวลชนในฐานะพันธมิตรสําคัญที่จะช่วยเผยแพร่เรื่องราวของชุมชน ผู้ประกอบการ ร้านค้า และเส้นทางการท่องเที่ยวต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การประชุมในครั้งนี้ จึงเป็นเวทีสําคัญในการบูรณาการทํางานร่วมกัน เพื่อให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดสุโขทัยเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน”

การจัดประชุมครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญของการสร้างเครือข่ายการสื่อสารด้านการ ท่องเที่ยว เพื่อให้จังหวัดสุโขทัยสามารถก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวยั่งยืนที่มีชื่อเสียงในระดับโลกได้อย่าง มั่นคง

กิตติ พรดวงจันทร์ สุโขทัย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ลพบุรี จัดพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรโครงการ D.A.R.E. โรงเรียนโคกสำโรง

แชร์เนื้อหานี้

วันพุธ ที่ 17 กันยายน 256 เวลา 09.00-11.00 น. ณ โรงเรียนโคกสำโรง นางกิติพร แตงชุ่ม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำโรง ประธานในพิธี พร้อมด้วย พ.ต.อ.จาตุรนต์ อนุรักษ์บันฑิต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง คณะ กต.ตร. เดินทางร่วมพิธีฯ ตามที่ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำโรง ร่วมกับ สถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง โรงเรียนโคกสำโรง โรงเรียนจารึกล้อมวิทยา โรงเรียนวัดรัตนาราม และโรงเรียนวัดหนองพิมาน
โครงการ การศึกษาเพื่อต่อด้านการใช้ยาเสพติดในเด็กนักเรียน (D.A.R.E.ประเทศไทย) ภาคการศึกษา
ที่ 1 ปีการศึกษา 2568

มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลและทักษะที่จำเป็นแก่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาให้สามารถใช้ชีวิตโดยปราศจาก ยาเสพติด ความรุนแรง และสร้างสัมพันธภาพที่ดี
ระหว่างตำรวจ เด็กนักเรียน ครู บิดา มารดา และสมาชิกในชุมชนโดยเน้นการให้ข้อมูลที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับยาเสพติด บุหรี่ สุรา กัญชาระเหย ยาบ้าสอนให้เด็กเกิดทักษะในการตัดสินใจแสดงให้เห็นถึงวิธีการหลีกเลี่ยง การกดดันของกลุ่มเพื่อนร่วมวัยเสนอพาะเลือกอื่นๆ ให้กับเด็ก

นอกหนือจาการใช้ยาเสพติด และความรุนแรง และบัดนี้การดำเนินการตามโครงการ มีนักเรียนที่ผ่านการอบรม จำนวน 92 คนโครงการแดร์ (DA.R.E.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำโรง คณะวิทยากรจากสถานีตำรวจภูจภูธรโคกสำโรง ชุดชุมชนสัมพันธ์ ความร่วมมือจากโรงเรียนโคกสำโรงโรงเรียนจารึกล้อมวิทยา โรงเรียนวัดรัตนาราม และโรงเรียนวัดหนองพิมาน ได้รับการตอบสบสนองด้วยดีจากนักเรียน และคณะครูในโรงเรียน ตลอดจนผู้ปกครองของนักเรียน การสอนตามโครงการได้เสร็จสิ้นแล้ว และ

เพื่อเป็นการแสดงความห่วงใยจากผู้ใหญ่ในสังคม
ที่ประสงค์ให้ลูกหลานหลีกเลี้ยงจากยาเสพติด และให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้ตระหนักถึงคุณค่า ของตนเอง จึงจัดให้มีพิธีมอบประกาศนียบัตรแดร์ (D.A.R.E.) ให้กับนักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวต่อไป

สนอง แท่นสูงเนินผอ.ศูนย์ข่าวฯ ประจำจังหวัดลพบุรี อนุกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัดลพบุรี

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตำรวจบึงกาฬทลายแก๊งค้ายา ยึดยาบ้า 8 แสนเม็ด ผู้ต้องหาพยายามหนีแต่ไม่รอด

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ (17 กันยายน 68) ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรปากคาด ตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ทหาร และฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังเข้าติดตามขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ หลังสืบทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ โดยมีพ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ แก้วสมนึก รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ ประธานแถลงข่าว พร้อมด้วย พ.ต.อ.อารัก มะสาธานัง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ พ.ต.อ.กฤศกร เชื้อสิงห์ ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ พ.ต.อ.ศิวัช วรคุตตานนท์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรปากคาด นายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอปากคาด กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี อส.จ.บึงกาฬ และฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว

โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทหาร ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย(พื้นที่จังหวัดบึงกาฬ-นครพนม) ได้เข้ามาพบ ร.ต.อ.ชัยธวัช ชมภูราช รอง สว.สส.สภ.ปากคาด เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หมายเลข 6706561 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ปากคาด ที่ สภ.ปากคาด แจ้งว่า ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าว(สายลับขอปิดนาม) ว่าช่วงตั้งแต่วันที่ 13-15 กันยายน 2568 จะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากฝั่ง สปป.ลาว เข้าสู่จังหวัดตอนในของประเทศไทย ในพื้นที่ตามแนวชายแดนระหว่าง ต.นากั้ง อ.ปากคาด ไปจนถึง ต.ไคสี อ.เมือง จ.บึงกาฬ ประมาณ 9-10 กระสอบ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นยาเสพติดชนิดใด โดยจะใช้พื้นที่ อ.ปากคาด จ.บึงกาฬ หรือ อ.เมือง จ.บึงกาฬ เป็นเส้นทางที่ใช้ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงนำเรียนผู้บังคับบัญชาทราบ
จากนั้น พ.ต.อ.ศิวัช วรคุตตานนท์ ผกก.สภ.ปากคาด จึงสั่งการให้ ร.ต.อ.ชัยธวัช ชมภูราช รอง สว.สส.สภ.ปากคาด

พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ปากคาด บูรณาการสนธิกำลังกับ เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทหาร ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย(พื้นที่จังหวัดบึงกาฬ-นครพนม) เจ้าหน้าที่ทหาร มว.สกัดกั้นที่ 2 กกล.สุรศักดิ์มนตรี เจ้าหน้าที่ กก.สส.ภ.จว.บึงกาฬ และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.บึงกาฬ ร่วมกันประชุมวางแผนเพื่อติดตาม สังเกตการณ์ และวางกำลังเจ้าหน้าที่ตามจุดเสี่ยงและจุดเฝ้าระวังต่างๆ คาดว่ารถทั้ง 2 คัน จะวิ่งผ่าน จากนั้นเวลา 22.33 น. เจ้าหน้าที่ตรวจพบ รถยนต์ ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น Yaris สีดำ หมายเลขทะเบียน กย 1715 สกลนคร ขับขี่ผ่านกล้อง LCP ด่านตรวจ/จุดตรวจ 4_บก_ปากคาด ฝั่งขาเข้า เจ้าหน้าที่จึงน่าเชื่อและยืนยันได้ว่า รถเป้าหมายที่จะมาลักลอบลำเลียงยาเสพติดอยู่ในพื้นที่ทั้ง 2 คัน เจ้าหน้าที่จึงเข้าจุดซุ่มสังเกตุการณ์ตามจุดเสี่ยงและจุดเฝ้าระวังตามเส้นทางต่างๆ โดยใช้รถยนต์ในการวางตัวสังเกตการณ์ โดยแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ออกเป็น 9 ชุด ใช้รถยนต์จำนวน 9 คัน

กระทั่งกลางดึกวันที่ 13 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดยาบ้า 7 กระสอบ รวมประมาณ 2,590,000 เม็ด บริเวณบ้านไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ ต่อมาในวันที่ 14 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่ขยายผลและติดตามรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน คือ NISSAN อัลเมร่า สีเทา ทะเบียน กจ 9247 ร้อยเอ็ด และ TOYOTA Yaris สีดำ ทะเบียน กย 1715 สกลนคร ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการลำเลียงและนำขบวนการปฏิบัติการนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย คือ นายธนะเมศฐ์(สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี น.ส.วัชราภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี นายสาธิต(สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี และนายสุเมธี (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี พร้อมตรวจยึดของกลางยาบ้าเพิ่มอีก 3 กระสอบ ที่ซุกซ่อนภายในรถยนต์อัลเมร่า รวมของกลางทั้งหมดเกือบ 3 ล้านเม็ด ผลตรวจปัสสาวะพบว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีสารเสพติดในร่างกาย ยกเว้นนายสุเมธี (สงวนนามสกุล) ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันจำหน่ายและมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

เจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึดรถยนต์และยาเสพติดพร้อมวัตถุพยานไว้เป็นหลักฐาน ในข้อหา ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า อันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือ ความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป พร้อมจัดทำบันทึกตรวจยึด จากนั้นนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เหล่าหลวง ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการสกัดกั้นเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดรายสำคัญตามแนวชายแดนไทย-ลาว จังหวัดบึงกาฬ

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สยามคูโบต้า จับมือ กรมพัฒนาที่ดิน ปักหมุด “ศรีสะเกษ” ดัน “โครงการส่งเสริมการจัดการน้ำโดยใช้รถขุดคูโบต้า” รับมือวิกฤตน้ำในพื้นที่เกษตร สร้างความรู้ให้กับเกษตรกร

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายเครือคูโบต้าเลาเจริญ นายณัฐวุฒิ ขจรจรัสกุล ประธานกรรมการเครือคูโบต้าเลาเจริญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมการจัดการน้ำโดยใช้รถขุดคูโบต้า” รับมือวิกฤตน้ำในพื้นที่เกษตร ซึ่งโครงการดังกล่าว

กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ บริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะช่วยเร่งแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่การเกษตร ซึ่งภายในงานมีการจัดเสวนาให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์โดยกลุ่มเกษตรกรต้นแบบ

ทั้งด้านการบริหารจัดการดินและน้ำในแปลงเกษตร เทคนิคการใช้งานรถขุดคูโบต้าจากผู้ใช้งานรถขุดตัวจริง องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำโดยเกษตรอินโน และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม Zoning by Agri-Map เพื่อวางแผนการทำเกษตรโดยบูรณาการ ดิน น้ำ และพืช พร้อมชวนเกษตรกรที่สนใจ

ลงทะเบียนลุ้นรับคูปองขุดร่องน้ำ บ่อน้ำ ในพื้นการเกษตร และรับคำแนะนำบริหารจัดการน้ำในแปลงเพาะปลูก ตลอดจนรับบริการแมตชิ่งลูกค้ากับผู้ให้บริการรถขุด นอกจากนี้ยังมีการเพื่อแนะนำการปลูกพืชให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่อย่างเหมาะสมที่สุด ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร


***ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดิน และสยามคูโบต้า มุ่งหวังให้กิจกรรมนี้ สร้างแบบอย่างการบริหารจัดการดินและน้ำที่ยั่งยืนในภาคเกษตร เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจและลงมือปฏิบัติจริงในการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงลูกค้ารถขุดสามารถใช้รถขุดคูโบต้าเพื่อสร้างรายได้จากการให้บริการในชุมชน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างต้นแบบกิจกรรมที่สามารถต่อยอดความร่วมมือสู่การขยายผลไปยังพื้นที่เกษตรอื่นในอนาคต

“โครงการส่งเสริมการจัดการน้ำโดยใช้รถขุดคูโบต้า” จะนำร่อง 5 จุดนำร่องทั่วประเทศ ระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน 2568 ในจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดจันทบุรี ติดตามข้อมูลได้ทางเพจ Facebook กรมพัฒนาที่ดิน และ Facebook Fanpage สยามคูโบต้า
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐนิวส์*สื่อรัฐทีวี / โครงการฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกร ประเภทงบกู้ยืม (ปลอดดอกเบี้ย) ณ ห้องประชุมเจ้าสุมนเทวราช ชั้น 6 ศาลากลาง น่าน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 16 กันยายน 2568 เวลา 13.30 น. นางณัติกานต์ บุญเจริญ หัวหน้าสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน จัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจแนวทางการบริหาร

โครงการ ขั้นตอนปฏิบัติตามระเบียบ/หลักเกณฑ์ แนวทางการปฏิบัติงานและข้อปฏิบัติอื่นๆ ในการดำเนินงานตามโครงการฯ โดยมีคณะกรรมการและสมาชิกองค์กรเกษตรกร

ที่ได้รับอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ประเภทงบกู้ยืม (ปลอดดอกเบี้ย) เข้าร่วม ณ ห้องประชุมเจ้าสุมนเทวราช ชั้น 6 ศาลากลางจังหวัดน่าน

ทั้งนี้ มีองค์กรเกษตรกร ได้รับอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ประเภทงบกู้ยืม (ปลอดดอกเบี้ย) จำนวน 2 องค์กร ดังนี้

  1. กลุ่มเมืองลีพัฒนา โครงการ ผลิตสุรากลั่นชุมชนเพื่อจำหน่าย งบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ประเภทเงินกู้ยืมจำนวน 643,300 บาท ผู้เข้าร่วมโครงการ 12 คน ระยะเวลาดำเนินกิจกรรมโครงการ 7 ปี
  2. กลุ่มแม่บ้านพัฒนาการเกษตรศรีนาชื่น โครงการ ยกระดับโรงเรือนเพาะเห็ดและเพิ่มผลผลิต งบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ประเภทเงินกู้ยืม จำนวน 651,098 บาท ผู้เข้าร่วมโครงการ 12 คน ระยะเวลาดำเนินกิจกรรมโครงการ 7 ปี/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.สอบสวนกลาง (CIB) รวบหนุ่มขับกระบะป้ายวงกลมขาด คิดน้อยใช้ปากกาแก้ปี พ.ศ.ไม่รอดด่านตำรวจทางหลวงชุมพร

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 17 กันยายน 2568 ผู้สื่อได้รับวันที่ 16 กันยายน2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.ท.กล้า สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก2 บก.ทล.(ชุมพร)ว่า เมื่อ วันที่ 16 ก.ย 68 เวลา 11.00 น. ขณะที่ ร.ต.อ.ชรัณ ปาณะศรี รอง สว. ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล.(ชุมพร)ได้นำกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง จำนวน 11 นาย ตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจรและป้องกันอาชญากรรมบนทล.41 กม.22 (ขาเข้า กทม.) ต.วิสัยใต้ อ.สวี จ.ชุมพร

ตรวจพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ NISSAN สีขาว หมายเลขทะเบียน ผฉ 6877 ระยอง ขับผ่านเข้ามายังจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ชุดสังเกตเห็นแผ่นป้ายภาษีประจำปีหน้ารถ พบว่า มีการขูดลบและใช้ปากกาแก้จากปี พ.ศ.2567 เป็นปี พ.ศ.2568 จึงขอให้จอดเพื่อตรวจสอบ เบื้องต้นทราบชื่อ นายนครินทร์ ไชนาคินทร์ อายุ 39 ปี ที่อยู่ 21 ม.10 ต.นาโพธิ์ อ.บุณฑริก จ.อุบลราชธานี เป็นคนขับรถคันดังกล่าว

Screenshot

พ.ต.ท.กล้า สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก2 บก.ทล.(ชุมพร) กล่าวว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (CRIMES) พบว่า ภาษีขาดตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่จึงได้ลองสอบถามนายนครินทร์ ว่า ได้ต่อภาษีประจำปีมาหรือไม่ ซึ่งนายนครินทร์ ยอมรับว่า ภาษีประจำปีของตนได้ขาดต่อภาษี

Screenshot

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 จริง และได้นำแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปีที่มีการขูดลบและใช้ปากกาแก้เป็นปี พ.ศ. 2568 มาติดที่หน้ากระจกรถยนต์ฝั่งผู้โดยสารเพื่อเป็นการตบตกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามด่านตรวจต่างๆ ให้หลงเชื่อเป็นเอกสารที่แท้จริง ซึ่งก็ใช้แผ่นป้ายนี้มานานเกือบปีแล้วผ่านด่านได้ตลอด แต่มาเจอด่านตำรวจทางหลวงชุมพรนี้ไม่รอด ถูกจับจนได้

Screenshot

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “ปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม”และ ใช้รถที่ไม่ชำระภาษีประจำปี (มาตรา6) พรบ.รถยนต์ พ.ศ.2522 ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวจริง โดยรถคันดังกล่าวเป็นรถยนต์ของตน และได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.สวี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ท.กล้า สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก2 บก.ทล.(ชุมพร)

Screenshot

ฝากถึงประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนน ประชาชนที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่าทำแบบนี้ครับ “เสียน้อยเสียยาก” เสี่ยงเจอข้อหาปลอมเอกสารราชการ โทษจำคุกปรับหลักแสน เลย เพราะถ้าต่อทะเบียนถูกต้องกับทางขนส่งก็จะเสียเงินไม่เท่าไหร่ แต่นี้มาปลอมแปลงเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม” ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท ตามประมวลกฎหมาย

สื่อรัฐนิวส์*สื่อรัฐทีวี / สส.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีร้องเรียน “ส่วยสัญชาติ” ที่ว่าการอำเภอฝาง

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 15 กันยายน 2568 สส.สมดุลย์ อุตเจริญ เขต 7 จ.เชียงใหม่ พรรคประชาชน พร้อมทีมงาน รวมทั้ง สส.กัณวีร์ สืบแสง , ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ทีมผู้สื่อข่าว ลงพื้นที่อำเภอฝาง หลัง

ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนใน อ.ฝาง อ.ไชยปราการ และ อ.แม่อาย กรณี ถูกเรียกรับเงินเพื่อขอสัญชาติไทย ทั้งที่ตามกฎหมาย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากค่าธรรมเนียม 160 บาท (100 บาท ค่าขึ้นทะเบียนบ้าน ทร.14 และ 60 บาท ค่าทำบัตรประชาชน)

 ชาวบ้านบางรายเผยว่า ถูกเรียกเงินตั้งแต่ 5,000–20,000 บาท ทำให้หลายครอบครัวไม่กล้ามาดำเนินการ และกังวลว่าจะหมดสิทธิ์ภายในเดือนกันยายนนี้
ตาม มติคณะรัฐมนตรี 29 ต.ค. 2567 มีประชาชนกว่า 483,626 คน ที่สามารถยื่นขอสัญชาติได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องเสียเงินใดๆ จึงต้องการยืนยันความจริงให้ประชาชนมั่นใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหาผลประโยชน์

ด้าน น.ส.ภัชรีภรณ์ ทาวดี ปลัดอำเภอฝาง ชี้แจงว่า ทางอำเภอรับคิววันละ 150 ราย ผ่านกำนันและผู้ใหญ่บ้าน และยืนยันว่า ไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ พร้อมรับปัญหาว่าอาจมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ซึ่งจะเร่งประสานกรมการปกครองให้สนับสนุน

 สส.สมดุลย์ อุตเจริญ กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิทธิของประชาชนในการได้สัญชาติไทยเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรอง เราจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ใครมาหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของชาวบ้าน”

สมจิตรแสงบันลังค์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / งานมหกรรม “เที่ยวเมืองชล ถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์” จัดเต็ม 24-28 ก.ย.นี้ ริมทะเลพัทยา

แชร์เนื้อหานี้

เวลา 18.30 น. วันที่ 15 ก.ย.68 ที่ลานซันเคน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา จ.ชลบุรี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานแถลงข่าวเตรียมจัดงานมหกรรม “เที่ยวเมืองชล ถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์” โดยมี นายศิวัช บุญเกิด รองปลัดเมืองพัทยา นางสาวคนึง ไข่ลือนาม วัฒนธรรมจังหวัดชลบุรี และนางรำพึง ศุภราศรี ประธานชุมชนคุณธรรมตะเคียนเตี้ย – บ้านหนองพลับ ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและผู้สนใจ

ทั้งนี้ จังหวัดชลบุรี ได้กำหนดจัดงานมหกรรม “เที่ยวเมืองชล ถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ภายใต้โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มระดับรายได้ กิจกรรมหลักยกระดับให้เป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่มีคุณภาพระดับนานาชาติ กิจกรรมย่อย มหกรรม “เที่ยวเมืองชล ถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ระหว่างวันที่ 24-28 กันยายน 2568 ที่บริเวณชายหาดพัทยากลาง

ภายในงานจะมีกิจกรรมนิทรรศการเส้นทางการท่องเที่ยวทั้ง 11 อำเภอของจังหวัดชลบุรี, กิจกรรม workshop เกี่ยวกับศิลปะ และวัฒนธรรม, การออกร้านให้ได้เลือกชม ชิม ช็อป ผลิตภัณฑ์และ

อาหารพื้นถิ่นที่ขึ้นชื่อจากทั้ง 11 อำเภอในจังหวัดชลบุรี, การแสดงดนตรีทั้งดนตรีไทย-ดนตรีร่วมสมัย และการแสดงทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย ภายใต้อัตลักษณ์ความเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเล

เพื่อพัฒนา และยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในจังหวัดชลบุรี ใช้มิติทางศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมจากความภาคภูมิใจของประชาชน

ในท้องถิ่นสู่แรงบันดาลใจ และพัฒนาต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และนำทุนทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นมาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและท้องถิ่นต่อไป โดยสามารถเข้าร่วมงานตามวัน เวลาแบะสถานที่ดังกล่าว ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย