คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / อบจ.เชียงราย เร่งเข้าช่วยผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลาก มอบน้ำอุปโภคบริโภค พร้อมลุยฟื้นฟูพื้นที่ ต.แม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากใน ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ส่งผลให้บ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรได้รับ

ความเสียหายอย่างหนัก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในฐานะรองผู้อำนวยการจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ไม่ได้นิ่งนอนใจ

เร่งระดมกำลังและทรัพยากรเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน โดยมีนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ

ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายอาทิตย์ รู้ทำนอง

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเทิง เขต 1 นายสุชัด เสนคำ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเทิง เขต 2 นายสุใจ เชื้อเมืองพาน

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอพญาเม็งราย เขต 1 บุคลากรกองป้องกันเเละบรรเทาสาธารณภัย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และกองสาธารสุของค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ในครั้งนี้

สถานการณ์น้ำป่าที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก ประชาชนจำนวน

มากประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค เนื่องจากระบบประปาได้รับความเสียหายและมีโคลนจำนวนมากทับถม

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้จัดส่งรถน้ำขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถนำน้ำไปใช้ในการอุปโภค

ล้างทำความสะอาดบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลน และใช้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียม ถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยสิ่งของที่จำเป็น และที่สำคัญ

คือ น้ำดื่มสะอาด จำนวนมาก เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความขาดแคลนด้านปัจจัยพื้นฐาน

นอกจากทรัพยากรที่ส่งเข้าสนับสนุนแล้ว บุคลากรขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ลงพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์ ให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการสำรวจความเสียหาย

และวางแผนการฟื้นฟูในระยะต่อไป การช่วยเหลือในครั้งนี้มุ่งเน้นการบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้นอย่างครอบคลุม และรวดเร็วที่สุด

เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยทุกท่าน

และยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังความสามารถ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเป็น

ปกติสุขอบจเชียงรายเชียงราศูนย์บริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ(PDOSS)

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / แม่เฒ่าวัย 74 ปี ถูกรถชนขาหักช่วยตัวเองไม่ได้ยังต้องดูแลลูกชายป่วยติดเตียงที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่า

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อรายงาน เหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร ลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ตามที่ช่อง AMARIN ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ จากกรณี แม่เฒ่าวัย 74 ทำขนมขายเลี้ยงลูกชายนอนป่วยติดเตียงหลังฉีดวัคซีนโควิด เมื่อสี่ปีที่แล้วมาเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซต์ชนขาหักสองท่อน

ไม่สามรถช่วยเหลือตัวเองได้ อีกคน ที่เกิดเหตุบริเวณหลังสถานีรถไฟ สวี วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก ป้าแต๋ว กลิ่นอบเชย อายุ 74ปี บ้านเลขที่ 400/12 ซอย สมัครใจราษฎร์ 8 หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอ สวี จังหวัดชุมพร ถูกรถจักรยานยนต์ชนจนขาหักไม่สมารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและลูกที่ป่วยติดเตียวได้ นายภาณุพงศ์แก้วเพชรอายุ 44 ปี

ลูกชายป้าแต๋วป่วยจากการฉีดวัคซีนโควิดนอน ติดเตียงมาสี่ปีแล้ว ปกติรายจ่ายได้มาจากการทำขนมไปส่งขาย แต่มาเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเช่นตนต้องมาใช้ แพมเพิส เพราะตนไม่สามารถลุกขึ้นเข้าห้องน้ำได้ และยังมีของลูกชายอีกที่ป่วยมา 4 ปีกว่า
เหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร ลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ในพื้นที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร

วันที่ 23 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 น. นางพณณกร ชูกิตติวิบูลย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยคณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร และผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชุมพร ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งประสบอุบัติเหตุ อยู่ระหว่างพักรักษาตัว ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ และต้อง

เลี้ยงดูบุตรชายที่ประสบอุบัติเหตุ ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ในพื้นที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ในโอกาสนี้ เหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร ได้มอบเงินช่วยเหลือ จำนวน 3,000 บาท ถุงยังชีพ จำนวน 1 ชุด และผ้าห่ม จำนวน 1 ผืน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในเบื้องต้ น

นางสาวพรทิพย์ โสวรรณะ ลูกสาวป้าแต๋ว เล่าว่า อาการของแม่ยังไม่ดีขึ้น หลังจากที่รับการรักษาที่โรงพยาบาล กลับมาที่บ้านก็มีอาการบวมที่แผลและบอกว่าออกร้อนบริเวณที่แผล และไม่สามารถนอนได้เพราะมีอาการเจ็บ ปวดที่ขาที่หักสาเหตุที่เกิดจากรถชน และยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบก็หมดได้เก็บตัวอย่างไป

ซื้อมารับประทานเพิ่มก็ยังไม่ดีขึ้น ทางบ้านก็ลำบากแม่มาขาหักและน้องก็ติดเตียงอีกหนึ่งคนก็ลำบากมากเลยวอนหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือหน่อย ช่วยเยียวยารักษาให้ดีขึ้น หมอก็นัดไปตัดไหมและในวันที่ 25 ก็จะเข้าไปเอกซเรย์ดูล

บาดแผลอีกครั้ง ที่ รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
วอนผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือให้ยายแต๋ว กลิ่นอบเชย แม่สู้ชีวิตได้ที่ ธนาคาร ออมสิน ชื่อบัญชี นางแต๋ว กลิ่นอบเชย บัญชีเลขที่ 020264161413

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ในโค กระบือ แพะ พื้นที่เสี่ยง

แชร์เนื้อหานี้

ปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ให้แก่ โค กระบือ และแพะ ของเกษตรกรในหมู่บ้านชายแดนของ 4 อำเภอ แล้ว 2,152 ตัว

นายสัตวแพทย์ธีร์ พูดเพราะ ปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าตามที่มีข่าวผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ในจังหวัดมุกดาหาร กรมปศุสัตว์จึงสั่งการให้จังหวัดชายแดนได้เข้มงวดดำเนินการป้องกันโรคในสัตว์ เนื่องจากโรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

ที่ทำให้สัตว์ป่วยและตายกระทันหัน ซากจะนิ่ม เน่าอืดเร็ว โดยจะเริ่มแสดงอาการหายใจลำบาก เดินโซเซ กล้ามเนื้อสั่น และอาจจะเห็นมีเลือดออกทางปาก จมูก และทวาร ซึ่งเลือดจะมีกลิ่นเหม็นและไม่แข็งตัว โดยโรคนี้จะสามารถติดต่อได้จาก การหายใจเอาสปอร์ของเชื้อโรค การกินหญ้าที่มีสปอร์ของเชื้อโรค หรือการสัมผัสเชื้อโรคทางบาดแผล หรือผิวหนังเยื่ออ่อน

ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ และเจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ พื้นที่ชายแดนทั้ง 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอบุ่งคล้า และอำเภอบึงโขงหลง ร่วมกับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ให้แก่ โค กระบือ และแพะ ของเกษตรกรในหมู่บ้านชายแดน

ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันการเกิดโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์ ซึ่งได้ฉีดวัคซีนให้แก่ โค กระบือ และแพะ ยอดสะสม ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 จำนวน 2,152 ตัว คิดเป็นร้อยละ 71.73 ของเป้าหมาย 3,000 ตัว โดยเป็นโคเนื้อ จำนวน 1,309 ตัว กระบือ จำนวน 821 ตัว และ แพะ จำนวน 22 ตัว และจะเร่งดำเนินการให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดโดยเร็ว เพื่อให้เกิดภูมิกันฝูงที่สามารถป้องกันโรคในสัตว์ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคสัตว์ติดคน แต่ไม่เคยมีรายงานการเกิดโรคในสัตว์ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ และจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นและอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันก็ไม่พบการเกิดโรคในสัตว์แต่อย่างใด เพื่อความปลอดภัย จึงขอให้พี่น้องเกษตรกรและประชาชนชาวจังหวัดบึงกาฬ

หากพบสัตว์ป่วยที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาปศุสัตว์ หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านโดยด่วน และขอให้บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีการฆ่าในโรงฆ่าสัตว์ที่มีใบอนุญาต ผ่านการตรวจจากพนักงานตรวจโรคสัตว์ประจำโรงฆ่าสัตว์แล้ว และสถานที่จำหน่ายสะอาดหรือได้รับการรับรองปศุสัตว์โอเค (ปศุสัตว์ OK) และบริโภคเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกเท่านั้น

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล จ.บึงกาฬ รายงาน

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / น้ำป่าหลากตัดขาดถนนสายหลักมุกดาหารจาก อ.ดงหลวงไป อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568​ นายพิเชษฐ์ ศรีมารุต นายอำเภอดงหลวง สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดงหลวง และเจ้าหน้าที่ ปภ. อบต.พังแดง

ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหายจากฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากอย่างต่อเนื่องในหลายวันที่ผ่านมาโดยพบว่า ทางหลวงหมายเลข 2287

ซึ่งเชื่อมระหว่าง อำเภอดงหลวง – อำเภอเขาวง ถูกน้ำซัดขาดหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณจุดก่อสร้างสะพานข้ามห้วยมะนนท์ (ต.พังแดง)

และสะพานข้ามห้วยอีเลิศ (บ้านติ้ว-พังแดง) เส้นทางเบี่ยงถูกตัดขาด ไม่สามารถสัญจรได้

ขณะที่บริเวณ บ้านโพนไฮ – โพนสว่าง (ต.หนองแคน) แม้ยังสามารถสัญจรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำกัดเซาะจนขาดเช่นกัน

นายอำเภอดงหลวง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ประสานหน่วยงานรับผิดชอบเร่งเข้าซ่อมแซม

และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว โดยให้ใช้เส้นทางรองผ่านหมู่บ้านใกล้เคียงแทนเพื่อความปลอดภัย

น้ำป่าหลาก #ถนนขาดมุกดาหาร #ดงหลวง #เขาวง #กาฬสินธุ์ #ฝนตกหนัก #ภัยพิบัติธรรมชาติ #ข่าววันนี้​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เพลิงไหม้บ้าน 2 ตายาย นอนหลับอยู่ในบ้าน รู้สึกตัวร้อนลุกขึ้นมาจะเปิดไฟเปิดพัดลม เห็นควันไฟรีบวิ่งหนี หวิดถูกไฟครอกเสียชีวิตคู่

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 12 มิถุนายน 2568 เวลา 00.10 ที่ ศูนย์วิทยุ ภูธรจังหวัด 191 ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ ในเขตเทศบาลตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จึงวิทยุแจ้งประสานที่ สภ.อุทุมพรพิสัย จากนั้นได้ขอความช่วยเหลือจากรถดับเพลิง ทั้งเทศบาลตำบลกำแพง, เทศบาลตำบลสระกำแพงใหญ่ และพื้นที่ใกล้เคียง ระดมเข้าช่วยเหลือในการดับเพลิง

ที่บ้านเลขที่ เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 252/2 ชุมชนฝั่งธน หมู่ 7 ตำบลกำแพง ซึ่งเป็นบ้านของ นางคำพอง ผกาแดง อายุ 63 ปี บ้านที่เกิดเหตุอยู่ติดกับโรงเรียนจีน เคียวนำ ขณะเร่งฉีดน้ำเข้าดับเพลิง พบว่ามีผู้ที่หนีออกมาจากกองเพลิง ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อ นายสถิตย์ ผกาแดง อายุ 65 ปี และนางคำพอง ผาแดง อายุ 64 ปี

ทั้งคู่เป็นสามีภรรยา ได้รับบาดเจ็บถูกไฟลวก ต้องเร่งนำส่ง รพ.อุทุมพรพิสัย เพื่อรับการรักษา ส่วนการดับเพลิงเจ้าหน้าที่ได้เร่งฉีดน้ำเข้าดับเพลิง ใช้เวลาราว 45 นาที เพลิงจึงสงบลง ก่อนที่จะปิดกั้นเขตแนว รอการตรวจสอบสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในช่วงเช้า จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องคาดว่าน่าจะเกิดเจากไฟฟ้ารัดลงจร ขณะที่ 2 ตายาย นอนหลับอยู่ ซึ่งในรุ้งเช้าของวันนี้ เจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน ได้เข้ามาตรวจดูสภานที่บ้านถูกไฟไหม้ ซึ่งวอดหมดทั้งหลัง พร้อมทีวี ตู้เย็น พัดลม รถยนต์ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 4 คัน ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่สามารถนำออมาได้เลย เพราะเกิดเหตุในช่วงเที่ยงคืนเล็กน้อย และบ้านมีคุณตา กับคุณยาย นอนพักอาศัยอยู่เพียง 2 คน

คุณยาย นางคำพอง ผกาแดง อายุ 64 ปี เล่าให้ฟัง ว่า ขณะที่เกิดเหตุ ตนกับตา นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอน รู้สึกร้อนๆ ตามร่างกาย จึงตกใจตื่น ไปเปิดไฟฟ้าส่องสว่างดู แต่เปิดไม่ติด แต่พบมีกลุ่นควัน กลิ่นของไฟไหม้ จึงมองออกไปนอกห้องนอน ก็พบว่า ไฟกำลังไหม้ รีบปลุกตาให้ตื่น ก่อนที่จะวิ่งหนีออกมานอนบ้าน พบว่าไฟกำลังไหม้บ้าน

จึงร้องตะดกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านใกล้เคียง ร้องขอให้โทรศัพท์แจ้งดับเพลิงให้ด้วย ส่วนตาตกใจสุดขีด ไม่วิ่งมาออกทางประตู กลับเปิดหน้าต่าง กระโดดลงทางหน้าต่างออกมานอกบ้าน ดีที่บ้านไม่สูงนัก ตนและตา ถูกไฟลวกตามร่างกาย แขนขา ใบหน้า ดีที่ตื่นนอนขณะไฟกำลังเริ่มไหม้ หากนานกว่านี้ สงสัยถูกไฟเผาตายทั้งคู่เลย แต่บ้านตอนนี้วอดไปทั้งหลัง พร้อมทรัพย์สินทั้งหมด เอาอะไรออกมาได้เลย
//////////////////////

ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / นายศรีชัย วีระนรพานิช นายกเทศมนตรี ลงพื้นที่บริเวณหลังตลาดบูรนาการคืนและล้างทำความสะอาดฟุตบาททางเท้าและคืนพื้นผิวจราจรให้ประชาชน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น บริเวณหลังตลาดสดหมอพนัส นายศรีชัย วีระนรพานิช นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร พร้อมด้วย สส. วิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร เขต 1, นายเจริญโชค พรหมชุติมา นายอำเภอเมืองชุมพร, นายสุพจน์ บุปผา ปลัดเทศบาลเมืองชุมพร, นายเจริญ โพธิ์ศรีทอง รองปลัดเทศบาลเมืองชุมพร, นายสายันย์ หัสรินทร์ รองปลัดเทศบาลเมืองชุมพร เจ้าหน้าทีตำรวจจราจรเมืองชุมพร เจ้าหน้าที่ เทศกิจเมืองชุมพร ลงพื้นที่บริเวณหลังตลาด ร่วมบูรนาการคืนทางเท้าและล้างทำความสะอาดฟุตบาททางเท้าและคืนพื้นผิวจราจรให้ประชาชน

โดยเก็บและเคลื่อนย้ายสิ่งของอุปกรณ์โต๊ะรถเข็นขายของออกจากผิวจราจร จัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อมอบความ สวยงามของบ้านเมืองชุมพรและความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในเขตเทศบาลเมืองชุมพร โดยพื้นที่ดังกล่าวที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากเป็นจุดทีแออัด ติดกับ

ตลาดสดเอกชน มีการตั้งสิ่งของทั้งบนทางเท้า บนถนน จนดูเกะกะ กีดขวางทางเดิน ช้องทางการจรจร ทำให้ สกปรกหมักหมมไปด้วยสิ่งปฏิกูล มีกลิ่นเหม็น กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค และทำให้ท่อน้ำอุดตัน แม้ที่ผ่านมาทางเทศบาลจะเข้าดำเนินการจัดระเบียบมาหลายครั้งแล้ว แต่ผ่านไปเพียงวันเดียวก็กลับสภาพมาเหมือนเดิม จนมีประชาชน นักท่องเที่ยว ที่ผ่านมาพบเห็นถ่ายภาพนำไปลงประจานในสื่อโซเชียลมาตลอด ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดชุมพรมาอย่างต่อเนื่อง

โดยการจัดระเบียบในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจัดระเบียบตามประกาศ ก็ยังมีร้านค้าแผงลอยฝ่าฝืนคำสั่งอยู่จำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงทำการรื้อและยกขนย้ายนำไปเก็บ บางรายเจ้าหน้าที่ทำการขนย้ายไปส่งให้ที่บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่ออำนวยความสะดวกให้

จาก การรีวิวในโซเชียลเน็ตเวิร์ค นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดชุมพรรีวิวทางเดินฟุตบาทของอำเภอเมืองชุมพรไม่สามารถเดินได้สะดวก เพราะมีรถจอดบน ฟุตบาท และยัง มีการวางขายของเต็มฟุตบาท ไม่มีความสะอาดของบ้านเมืองวันนี้นายกศรีชัยนายกเทศมนตรีเมืองชุมพรได้รับตำแหน่งเป็นวันแรกจึงลงพื้นที่ตรวจสอบและได้นำทีมงานล้างถนนหลังตลาด และยึดยกสิ่งของที่กีดขวาง ที่วางอยู่บนฟุตบาทและพื้นผิวถนนที่รุกล้ำออกมาจากเส้นสีเหลืองที่ตีเส้นไว้ให้วางขายของแต่ได้
ล้ำออกมาโดยมีเจ้าของเฝ้าดูหรือทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนสั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จราจร ดำเนินการได้เต็มและให้เจ้าหน้าที่ 

ล้างพื้นผิวถนนและลอกท่อระบายน้ำที่ถูกแม่ค้าตั้งตู้ตั้งเคาน์เตอร์ขายของขวางทางท่อน้ำในวันนี้จะได้ลอกท่อเพื่อให้น้ำทิ้งได้ระบายได้ทันเพราะเป็นจุดที่น้ำท่วมขังอยู่ตลอดในช่วงฝน
นาย ศรีชัย วีระนรพานิช นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร กล่าว จริงๆแล้วเราผ่อนผันมานาน เพราะเราเข้าใจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไม่มีที่ขายแต่การผ่อนผันของเรา พอเราให้โอกาสปรากฏว่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากวันนี้ก็เลยต้องมาจัดระเบียบให้บ้านเมืองน่าอยู่แล้วก็ไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อนทางที่ประชาชนจะใช้บนพื้นผิวฟุตบาททางเดินแล้วก็พื้นผิวถนนโดยในวันนี้จัดระเบียบใหม่ แต่เราให้ขายเหมือนเดิมแต่เราขอจัดระเบียบอย่าให้ชาวบ้านเค้าเดือดร้อนเวลาเค้าเดินเดินบนทางเท้าเรายังอนุญาตให้ขาย

โดยขายเสร็จแล้วให้นำอุปกรณ์ทุกอย่างกลับไปที่บ้านหรือให้ออกจากพื้นที่พื้นผิวถนนและฟุตบาทเพื่อที่จะให้เทศบาลจะได้ทำความสะอาดได้ถ้าว่างหากขายของแล้วไม่นำอุปกรณ์กลับบ้านเทศบาลทำความสะอาดไม่ได้ ส่วนใหญ่ประชาชนที่มาขายนั้นเป็นนอกเขตเทศบาลเมืองชุมพรปัญหาวันนี้เราไม่ยอมเรา

ให้เวลาถึงเที่ยงยังไงก็ต้องนำอุปกรณ์ออกจากพื้นที่ถ้าไม่ยกเราก็จะยกไปไว้ที่เทศบาลเราจะตรวจสอบทุกวันก่อนสองทุ่มถ้าของของใครอุปกรณ์ต่างๆที่ยังอยู่ในท้องพื้นที่พื้นผิวถนนและฟุตบาทเราจะยกเก็บให้เลยจะไม่ยอมให้ตั้งบนท้องถนนแล้วขายขายได้แต่ถ้าตั้งแบบถาวรเราไม่ให้ขาย

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / นรข.เขตนครพนม โดย สน.เรือมุกดาหาร ตรวจยึดสุกรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่​ 10 มิถุนายน​ 2568 ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านทรายทอง ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จว.มุกดาหาร พิกัด 48QVD 72728 41154 หน่วยเรือรักษา

ความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงจังหวัดมุกดาหาร สกัดจับ ขบวนการลักลอบส่งออกสุกร โดยไม่ผ่านพิธีทางศุลกากร จำนวน 1 ตัว และกรงเหล็ก จำนวน 4 กรง

โดย​ น.ท.รุ่งเรือง มาสุทธิ หน.สน.เรือมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากสายลับ จะมีการลักลอบลำเลียงขนสินค้าผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้จัดชุด

ลาดตระเวนทางน้ำและทางบก เข้าตรวจสอบตามข่าวที่ได้รับแจ้ง ต่อมาเมื่อเวลา​ 06.45 น. ชุดลาดตระเวนทั้งสองไปถึงพื้นที่ตรวจพบชายฉกรรจ์ประมาณ 6 คน

กำลังลำเลี้ยงสุกรลงไปบริเวณท่าน้ำเมื่อกลุ่มดังกล่าวพบเห็นเจ้าหน้าที่จึงทิ้งของกลางและใช้ความชำนาญพื้นที่หลบหนีเข้าไปตามภูมิประเทศหลังจากนั้น

ชุดลาดตระเวณทางบกและทางน้ำได้เข้าตรวจสอบพบว่าเป็นสุกรอยู่ในกรง จำนวน 1 ตัว และพบกรงเปล่าสำหรับบรรจุสุกร จำนวน 3 กรง จึงได้ทำการตรวจยึดและนำของกลางกลับมายัง สน.เรือมุกดาหาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย​ต่อไป

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ทหารผ่านศึก ชาวบ้าน รวมพลกว่า 500 คน บุกสำนักงานตำรวจภูธรชุมพร โวยไม่ได้รับความเป็นธรรม

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน 2568 นายประคอง จิตประสงค์ “ผู้ใหญ่หยีต” และ นายคนึง เมืองทิพย์ ประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยกลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้านกว่า 500 คน ไปรวมตัวกันที่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ภายในศูนย์ราชการ

เพื่อเรื่องเรียนต่อ พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร โดยชาวบ้านทั้งหมด ก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ที่ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านหมูที่ 13 ตำบลหงษ์เจริญ อ.ทาแซะ จ.ชุมพร

ใช้เป็นศูนย์กลางในการเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินสวนปาล์มหมดสัมปทานกว่า 23,000 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อ และป่าสลุย ที่หมดสัมปทานนาน 10 ปี แล้ว เพื่อนำมาบริหารจัดการและจัดสรรให้กับราษฎรและชาวบ้านที่ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งหมดสัมปทานมานานถึง 10 ปี แต่รัฐเกียร์ว่างไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้กลุ่มนายทุน เจ้าหน้าที่รับ

นักการเมือง บางคนบางกลุ่ม นำแรงงานต่างด้าวเข้าไปเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันออกมาขายให้โรงงานนายทุน ปีละเกือบ 1,000 ล้านบาท โดยที่รัฐไม่ผลประโยชน์ใดๆเลย ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำกันเป็นขบวนการร่วมกันระหว่างนายทุน เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และนักการเมือง มานานหลังจากสวนปาล์มหมดสัมปทานนับ 10 ปี

ตัวแทนชาวบ้านและทหารผ่านศึกกล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าว ที่ผ่านมาชาวบ้านและ กลุ่มทหารผ่านศึกได้ออกมารวมตัวกัน โดยใช้ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านและอาคารร้างในสวนปาล์มหมดสัมปทานเป็นจุดรวมตัวและจุดพัก เพื่อคอยตรวจสอบดูแลพื้นที่สวนปาล์มหมดสัมปทานกว่า 2 หมื่นไร่ มานานกว่า 1 เดือนแล้ว เพื่อไม่ให้กลุ่มนายทุน เจ้าหน้าที่รัฐ

ผู้มีอิทธิพล และนักการเมือง นำแรงงานต่างด้าวเข้าไปลักขโมยเก็บเกี่ยวปาล์มออกมาขาย จนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะกลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้านออกตรวจพื้นที่ผ่านไป

ถึงหน้าสำนักงานของบริษัทนายทุนที่หมดสัมปทาน ช่วงประมาณบ่าย 3 โมง ได้เห็นบุคคลต้องสงสัยคาดว่าเป็นแรงงาน เมื่อเห็นพวกตนได้วิ่งหนีและทิ้งปืนยาวไทยประดิษฐ์ ขนาด .22 ติดลำกล้อง ใส่อยู่ในถุงผ้า พร้อมเครื่องกระสุน ทิ้งไว้ข้างสำนักงาน 1 กระบอก

ชาวบ้านจึงแจ้งตำรวจ สภ.สลุย มาตรวจสอบ ปรากฏว่าใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง จนเกือบมืด เมื่อมาแล้วก็ไม่ยอมเปิดถึงดูว่าข้างในเป็นปืนชนิดใดอ้างว่ากลัวทรัพย์สินเสียหาย

จะต้องพาไปเปิดที่โรงพัก ชาวบ้านจึงไม่ยอมขอตามไปดูด้วย เมื่อไปถึงโรงพักก็ยังโยกโย้บอกว่าร้อยเวรยังไม่สะดวกยังอาบน้ำอยู่ แต่ชาวบ้านก็ไม่ย่อท้ออยู่เฝ้าจนในสุดตำรวจก็ยอมเปิดดู ปรากฏว่าเป็นอาวุธปืนยาวเถื่อนไม่มีทะเบียน พร้อมเครื่องกระสุน

ตัวแทนชาวบ้านและทหารผ่านศึกกล่าวต่อว่า เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ ชาวบ้านไปสอบถามถึงความคืบหน้าคดี ตำรวจ สภ.สลุย ก็พูดไม่ดี แถมต่อว่าชาวบ้านว่ามีแต่เรื่องวุ่นวาย ทำให้ตำรวจต้องเวลาไม่ต้องทำเรื่องอื่นกันแล้ว ทั้งๆที่จุดเกิดเหตุดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดของบริษัทหมดสัมปทานติดตั้งอยู่หลายตัว ซึ่งเป็นจุดที่

กล้องบันทึกภาพเห็นคนทิ้งปืนชัดเจน แต่พอชาวบ้านพวกเราทำผิดเล็กๆน้อยๆ บางเรื่องก็ผิดแบบ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตำรวจกลับยกโขยงกันไปตรวจสอบจับกุมดำเนินคดีเสร็จภายในวันเดียว ซึ่งทำคดีต่างกันยังกันหน้ามือหลังมือ เก่งแต่เฉพาะชาวบ้านเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีตำรวจบางคนมีพฤติกรรมทำตัวอยู่ข้างนายทุน คอยจ้องจะจับผิดแต่ชาวบ้านเท่านั้น

ด้าน พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร ได้ลงมาพบและพูดคุยกับตัวแทน กลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้าน พร้อมกับรับทราบปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและได้ชี้แจงว่า จะสั่งการกำชับให้ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรมและตรง

ไปตรงมา ซึ่งตนเองได้รับรายงานจาก ผกก.สภ.สลุยแล้ว เรื่องคดีอาวุธปืนเถื่อนดังกล่าว ก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และทำหนังสือขอภาพกล้องวงจรปิดจากบริษัทดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากขอไปแล้วมีการประวิงเวลาหรือล่าช้า ก็จะให้ตำรวจใช้อำนาจเข้าไปตรวจสอบเองเลย และรับปากยืนยันว่าคดีนี้จะต้องรู้ผลภายใน 7 วัน

ภายหลังจากแกนนำ กลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้าน ได้รับฟังคำชี้แจงและคำยืนยันจาก พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร ต่างก็พอใจและปรบมือให้ พร้อมกับกล่าวของคุณ พล.ต.ต.สมคะเน ที่ลงมาพบและพูดคุยชี่แจงทำความเข้าใจท่ามกลางวงล้อมชาวบ้าน ได้รับรู้กันทุกคน ก่อนจะพากันแยกย้ายกลับ และรอฟังคำตอบเรื่องความคืบหน้าของคดีภายใน 7 วันต่อไป.

****ท้ายคลิปมีเสียง พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผกก.สภ สวี ร่วมกับ พม.ชุมพร เร่งช่วยเหลือยาย 74 ประสบอุบัติเหตุ ถูกชนสาหัส ลูกพิการ/แม่เฒ่าวัย 74 ปี ร้องสื่อถูกรถชนขาหัก/รถรั้วชนแล้วหนีสองผัวเมียเจ็บสาหัส

แชร์เนื้อหานี้

ชุมพร, 7 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร (พม.ชุมพร) ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ คุณยายวัย 74 ปี ซึ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถจักรยานยนต์ชนสาหัส จนไม่สามารถประกอบอาชีพและหาเงินเลี้ยงดูลูกชายพิการได้ ตามที่ช่อง AMARIN ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 พ.ต.อ.วิษณุ สุระวดี ผกก.สภ.สวี พร้อมด้วย นายอมร สุขแก้ว ผญบ. ม.5 ต.นาโพธิ์ และ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลนาโพธิ์ ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ นางแต๋ว กลิ่นอบเชย อายุ 74 ปี บ้านเลขที่ 400/12 ซ.สมัครใจราษฎร 8 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.สวี จว.ชุมพร

ซึ่งได้รับบาดเจ็บ จากการถูกรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน พร้อมได้มอบเงินช่วยเหลือ เบื้องต้นจำนวนหนึ่ง และได้ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป นางสาวจีรดา ธรรมาภิมุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร ได้มอบหมายให้ นางสาววรัชยา รินทะจะกะ นักจิตวิทยา ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดชุมพร ลงพื้นที่ร่วมกับเทศบาลตำบลนาโพธิ์ ณ บ้านเลขที่ 400/12 หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว จากการสอบถามข้อเท็จจริง คุณยายวัย 74 ปี เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ขณะที่ตนกำลังเดินข้ามถนนได้มีรถจักรยานยนต์พุ่งชน ทำให้ขาซ้ายหัก 2 ท่อน และมีแผลฉีกขาดบริเวณนิ้วเท้า

โดยผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นชาวเมียนมา ซึ่งทำงานให้กับร้านขายข้าวแกงแห่งหนึ่ง คุณยายมีอาชีพทำขนมขาย เพื่อเลี้ยงดูตนเองและลูกชายวัย 44 ปี ที่ป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรพิการเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน การประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ส่งผลให้คุณยายไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ทำให้ขาดรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก ขณะที่คู่กรณีซึ่งเป็นชาวเมียนมา ทางนายจ้างรับผิดชอบเพียงค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น โดยไม่มีการเยียวยาค่าใช้จ่ายอื่นๆ และไม่มีการติดต่อสอบถามใดๆ คุณยายจึงร้องขอความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในระหว่างที่ยังไม่หายเป็นปกติ พม.ชุมพรเร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่คุณยายวัย 74 ปี ดังนี้:

พูดคุยให้กำลังใจ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ ของคนพิการประสานสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร เพื่อให้ความช่วยเหลือตามภารกิจประสานเทศบาลตำบลนาโพธิ์ เพื่อติดตามให้ความช่วยเหลือตามภารกิจอย่างต่อเนื่องพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 3,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พม.ชุมพร จะติดตามและให้ความช่วยเหลือคุณยายและลูกชายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด แจ้งถึงผู้ใจบุญร่วมบริจาคให้ยายแต๋ว กลิ่นอบเชย แม่สู้ชีวิตได้ที่ ธนาคาร ออมสิน ชื่อบัญชี นางแต๋ว กลิ่นอบเชย บัญชีเลขที่ 020264161413

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

ชุมพร – แม่เฒ่าวัย 74 ปี ร้องสื่อถูกรถชนขาหักช่วยตัวเองไม่ได้ยังต้องดูแลลูกชายป่วยติดเตียงที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่า ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514

แม่เฒ่าวัย 74 ทำขนมขายเลี้ยงลูกชายนอนป่วยติดเตียงหลังฉีดวัคซีนโควิด เมื่อสี่ปีที่แล้วมาเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซต์ชนขาหักสองท่อน ไม่สามรถช่วยเหลือตัวเองได้ อีกคน ที่เกิดเหตุบริเวณหลังสถานีรถไฟ สวี วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก ป้าแต๋ว กลิ่นอบเชย อายุ 74ปี บ้านเลขที่ 400/12 ซอย สมัครใจราษฎร์ 8 หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอ สวี จังหวัดชุมพร ถูกรถจักรยานยนต์ชนจนขาหักไม่สมารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและลูกที่ป่วยติดเตียวได้ นายภาณุพงศ์แก้วเพชรอายุ 44 ปีลูกชายป้าแต๋วป่วยจากการฉีดวัคซีนโควิดนอน ติดเตียงมาสี่ปีแล้ว ปกติรายจ่ายได้มาจากการทำขนมไปส่งขาย แต่มาเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเช่นตนต้องมาใช้ แพมเพิส เพราะตนไม่สามารถลุกขึ้นเข้าห้องน้ำได้ และยังมีของลูกชายอีกที่ป่วยมา 4 ปีกว่า

วอนสื่อเข้าดูแลช่วยเหลือขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลช่วยเหลือเนื่องจากโดนรถชน เมื่อ วันที่ 23 มิถุนายน 2568 จนขาหักไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ไม่มีรายได้ที่จะเข้ามาจุนเจือเรื่องกินอยู่ที่พักอาศัยต่างๆก็ไม่มีโดยปัจจุบันได้เช่าอาศัยห้องอยู่เดือนละ 1700บาท เดือนนี้ก็ยังไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่าห้อง รายได้หลักก็ทำขนมไปฝากร้านร้านขายเลี้ยงชีพลูกสาวหลานสาวก็มีครอบครัวไปก็มีความลำบากเช่นกันจะต้องเจียดเวลามาพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาตัว

  นางสาวพรทิพย์ โสวรรณะ  อายุ 51ปี เล่าว่า  ส่วนคู่กรณีก็ได้แต่ชำระค่ารักษาอย่างเดียวโดยการชำระผ่านแอพไปล้างแผลเท่าไหร่ก็จ่ายผ่านแอพเท่านั้นค่าอาหารค่ากินอยู่ที่ต้องหยุดทำมาหากินก็ลำบากไม่มีรายได้ไม่มีรายรับเพราะไม่สามารถลุกขึ้นมาทำขนมออกไปขายได้   ส่วนลูกสาวก็มาดูแลน้องชายกับแม่โดยการหุงข้าวหุงปลาหาอาหารให้กินตามมีตามเกิดเพราะตนก็หาเช้ากินค่ำ  แม่มีอาชีพขายขนมแม่ทำขนมส่งที่ร้านพอดีวันนั้นเวลาตีห้ากว่าตอนเช้ามืดแม่ก็ออกไปส่งขนมเหมือนปกติทุกวันขณะที่ขากลับก็ได้ลากรถขนขนมกลับมามีพม่าขับรถมาทางด้านหลังแล้วก็ชนแม่ก็ล้มทั้งยืนคือทีนี้นายจ้างของเขา บอกว่าบัตรของพม่าชื่อนายจ้างไม่ใช่เป็นชื่อเขาเป็นชื่อนายเก่าของเค้าแต่นายจ้างเค้าก็จะรับผิดชอบได้แค่หลักค่ารักษาพยาบาลค่าเยียวยาเค้าไม่ให้ไม่ช่วยแต่ทีนี้ทางบ้านก็ลำบากแม่มาขาหักและน้องก็ติดเตียงอีกหนึ่งคนก็ลำบากมากเลยวอนหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือหน่อย ช่วยเยียวยารักษาให้ดีขึ้น จนกว่าแม่จะหายอาการที่ป่วยของแม่วันนี้ที่ถูกรถชนก็คือขาหักสองท่อนหักซ้ำกับข้างเดิมที่เคยหักมาก่อนแม่ก็อายุมากแล้วปีนี้ก็ 74 ปี  วันนี้หมอก็นัดไปตัดไหมและในวันที่ 25 ก็จะเข้าไปเอกซเรย์ดูบาดแผลอีกครั้ง ที่ รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ส่วนน้องชายที่ป่วยตอนแรกเป็นเส้นเลือดแตกตอนหลังก็ได้ทำกายภาพก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินเดินได้แล้วมาฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่สองก็อาการแขนขาอ่อนแรงอาการติดเตียงมาจนถึงทุกวันนี้ก็ประมาณสี่ปีแล้วอยากฝากถึงหน่วยงานที่จะให้เข้ามาช่วยเหลือเข้ามาดูแล ความเป็นอยู่ของบ้านเราหน่อยเพราะบ้านก็ต้องเช่าในช่วงนี้แม่ก็ทำงานไม่ได้ก็ลำบากมากเลยส่วนตัวก็มีครอบครัว ซัพพอร์ตกันไม่ไหวรายได้ก็ไม่ค่อยดีคนชนเค้าก็ไม่ได้เยียวยาอะไรมากให้แต่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้นในขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานไหนเข้ามาดูแลมีแต่ชาวบ้านรอบข้างก็เข้ามาดูแลเยี่ยมเยียนเฉยเฉย  พ.ต.อ. วิษณุ สุระวดี  ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร สวี จังหวัดชุมพร  เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ความคืบหน้าในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกับคู่กรณีซึ่งเป็นชาวพม่าประสานกับนายจ้างคือนายเทพนี่เค้าได้มาอยู่กับภรรยาร้านอาหารแห่งหนึ่งแต่ว่าไม่ได้ทำงานแล้วก็ทางเจ้าของร้านอาหารก็เข้ามาช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายค่าเสียหายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในเบื้องต้นซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน รอความเห็นจากแพทย์กรณีนี้เป็นกรณีที่คุณป้าขาหักจะต้องมีการดำเนินคดีข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสแล้วก็เรื่องของใบขับขี่เรื่องของพรบต่างๆซึ่งทราบจากทางสื่อมวลชนว่าคุณป้ามีค่าใช้จ่ายประจำวันในชีวิตแล้วก็ต้องดูแลลูกที่ต้องป่วยติดเตียงเพิ่มเติมอีก ก่อนอื่นขอแจ้งว่าทางร้อยเวรได้ประสานไปทางลูกสาวอีกท่านหนึ่งอยู่ตลอดอยู่แล้วแต่ว่าทางข้อมูลตรงนี้ทางตำรวจก็จะช่วยประสานฝ่ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นกองทุนในการดูแลผู้ประสบภัยจากรถแล้วก็ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากกรณีนี้ ไม่มีพรบ.ไม่มีเอกสารไม่มี พรบ.ใด   ช่วงป่ายของวันนี้ผมก็จะเข้าไปเยี่ยมดูแลในเบื้องต้นให้ความช่วยเหลือทางคุณป้าก่อนอายุเยอะแล้วน่าเห็นใจ ครับ เคส นี้จะดูแลให้เป็นพิเศษนะ

รถรั้วชนแล้วหนีสองผัวเมียเจ็บสาหัส ซ้ำหนักสุดรันทดไม่มีเงิน จะให้ลูกไปโรงเรียน

วันที่ 7 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางสาวกิตติยา มากสวีอายุ 39 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ว่าได้เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า Wave สีน้ำเงินทะเบียน 1 กช 6324 ชุมพรพร้อมกับนายสายัณห์ ปิ่นทองอายุ 52 ปีผู้เป็นสามี ขับรถออกไปเพื่อจะไปรับลูกลูกที่โรงเรียนพอมาถึงถนนในหมู่บ้านหมู่ที่ตำบลครน อำอำเภอสวี จังหวัดชุมพร บริเวณสามแยกบ้านครูจวนได้มีรถกระบะสีขาวเป็นรถรั้วไม่ทราบหมายเลขทะเบียนวิ่ง ข้ามเลนมาชนมอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับไปรับนักเรียนที่โรงเรียนจนทำให้บาดเจ็บตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปถึงขาหักหลายท่อนและทำให้นายสายัณห์ ปิ่นทอง หัวไหล่หักและแขนหักได้รับบัตรเจ็บสาหัสทั้งสองคน

วอนสื่อตนและสามีเป็นเสาหลักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและให้เด็กเด็กนักเรียนไปโรงเรียนแต่มาเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้จึงไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้อยากให้หน่วยงานช่วยเหลือให้ลูกลูกได้มีเงินไปโรงเรียนและได้ดูแลตนและสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองคน จากกรณี วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 15.47 น. ว่าที่ พันตำรวจตรี ชินวงค์ อินทร์ทอง ส.ว. (สอบสวน) สภ. สวีได้รับแจ้ง คณะปฏิบัติหน้าที่สอบสวนเวร รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ. สวี ว่าเกิดเหตุรถเฉี่ยวชน กัน รถได้รับความเสียหายมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่ เกิดเหตุ ที่เกิดเหตุ สามแยกครูจวน ถนนในหมู่บ้าน หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอ สวี จังหวัดชุมพรมื่อไปถึงพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ แซด สีน้ำเงินทะเบียน 1 กช 6324 ชุมพร ตรวจสอบ พบร่องรอยเฉี่ยวชนเสียหายผู้ขับรถและคนซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บมีรถพยาบาลนำส่งโรงพยาบาลสวี ส่วนคู่กรณีไม่พบในที่เกิดเหตุได้ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุถ่ายภาพที่เกิดเหตุวาดภาพที่เกิดเหตุไว้แล้วนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาตรวจสอบสภาพตามระเบียบดูผู้ขับ รถจักรยานยนต์ที่โรงพยาบาลสวีทราบชื่อ ผู้ขับรถนายสายัณห์ ปิ่นทองอายุ 52 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพรคนซ้อนท้ายนางสาวกิตติยา มากสวี อายุ 39 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบลควนอำเภอสวีจังหวัดชุมพรได้รับอันตรายแก่กายอยู่ระหว่างรักษาของแพทย์ไม่สามารถให้การได้จึงกลับมาลงประจำวันไว้เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

ผู้สื่อข่าว เดินทางไป โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เพื่อ พบนายสายัณห์ปิ่นทองและนางสาวกิตติยามากเสวีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นางสาวกิตติยาเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าตนเป็นห่วงลูกลูกสองคนที่กำลังเรียนหนังสือมาเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้จึงไม่มีรายได้เพื่อจะส่งให้นักเรียนได้ไปโรงเรียนและดูแลเด็กเด็กในตอนนี้ได้ฝากให้นางอารี ปิ่นทอง ผู้เป็นย่า และนางสาวจรรยา ปิ่นทองเป็นอาดูแลเด็กเด็กและรับส่งนักเรียน ซึ่งเป็นห่วงการเล่าเรียนของเด็กเด็กที่จะไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะไม่มีรายได้ที่จะให้นักเรียนไปโรงเรียน วอนผู้ใจบุญ ช่วยค่าใช้จ่ายให้นักเรียนไปโรงเรียนช่วยได้ที่ ธนาคาร กรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.กิตติยา มากสวี บัญชีเลขที่ 823-0-22836-1 ส่วนนายสายัณห์ ปิ่นทองเล่าว่าตนได้ขับรถซ้อนภรรยาเพื่อที่จะออกไปโรงเรียน นาเหรี่ยง เพื่อที่จะไปรับเด็กชายกฤษกรปิ่นทองอายุเก้าปีอยู่ชั้น ป. 3 และได้มาเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้แขนหักหัวไหล่หักและยังมีกระดูกซี่โครงทิ่มปอดรอทางโรงพยาบาลจะดำเนินการผ่าตัดให้ในวันที่
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 93 หมู่ 4 ตำบลครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพรเพื่อพบนางจรรยา ปิ่นทองผู้เป็นอาและได้สอบถามว่าเด็กเด็กได้อยู่ที่บ้านมีใครดูแลบ้างแจ้งว่าอยู่กับคุณย่าและตนโดยที่เด็กหญิง เอ อายุ 13 ปีเรียนอยู่ชั้น ม. 1 และเด็กชายบี อายุ 9 ปี เป็นนักเรียนชั้น ป. 3 ส่วนอาก็จะมาดูแลในช่วงที่ว่าพ่อแม่เค้าเกิดอุบัติเหตุเพื่อที่จะมาส่งเด็กเด็กไปโรงเรียนปกติแล้วก็จะเป็นพ่อแม่เขาที่พาลูกลูกไปโรงเรียนและหารายได้และในช่วงนี้ก็มาเกิดอุบัติเหตุคิดว่าคงจะลำบากเรื่องการไปโรงเรียนเพราะพี่ชายและพี่สะใภ้เค้าเป็นเสาหลักในการหาเงิน มาเลี้ยงครอบครัว

นางสาวจรรยา ปิ่นทอง ผู้เป็นอาเล่าว่าในวันที่เกิดเหตุมีมอเตอร์ไซค์ขับรถตามมาเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการเฉี่ยวชนแจ้งว่าพี่ชายได้ขับรถออกมาจากบ้านพอมาถึงสามแยกก็จะเลี้ยวซ้ายเพื่อที่จะไปโรงเรียนนาเรียงเพื่อรับลูกลูกแต่มีรถสวนเข้ามาจากทางสามแยกและข้ามเลนมาชนพี่ชายทำให้เกิดบาดเจ็บสาหัส สองคนและคนเห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าเป็นรถกระบะโตโยต้า มีรั้วแบบเตี้ยอยู่บนกระบะ เป็นรถสี ขาวตอนเดียวได้เฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์แล้วหลบหนีไปเบื้องต้นไม่สามารถจดจำทะเบียนรถได้แต่ได้สอบถามชาวบ้านแถวนั้นทราบว่ารถคันดังกล่าวได้วิ่งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจำจึงได้แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อติดตามเจ้าของรถคันดังกล่าวมารับผิดชอบต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประชาชน!! ร้องเรียนขอความเป็นธรรม สมาคม อสมช.ภาคประชาชน

แชร์เนื้อหานี้

สืบเนื่องมาจาก นายวรวัฒน์ เหลืองห่อ อายุ 36 ปีได้ร้องเรียนมายัง นายสมพงษ์ มีน้อย เลขานุการสมาคมคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) ทางเลขาสมาคมฯ ได้ไตร่ตรองและส่งเรื่องมายังสมาคมฯสาขาใหญ่ เพื่อให้ลงพื้นที่ตรวจสอบและช่วยเหลือดังกล่าว

วันนี้ (31 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชาย แก้วสุทธิ นายกสมาคมองค์การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) ร.ต.ท.ประดิษฐ์ ชมผาสาท อุปนายกสมาคมฯ นายสมพงษ์ มีน้อย เลขานุการสมาคมฯ นส.บำเพ็ญ ศรีพานัด ผู้ช่วยเลขานุการสมาคมฯ พร้อมผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก นายวรวัฒน์ เหลืองห่อ อายุ 36 ปี

(ซึ่งเป็นพ่อของผู้เสียชีวิต) สืบเนื่องมาจากวันที่ 18 พ.ค.2568 เวลา 20.20 น. ได้มี นส.จิรัญสยา โคตน (ชื่อเดิม) หรือ นส.สุทัตตา เหลืองห่อ อายุ 15 ปี (ชื่อใหม่) คนขับรถจักรยานยนต์ ผู้เสียชีวิต และ ด.ญ.รัชนีวรรน เหลืองห่อ อายุ 11 ปี ผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บ สาหัส สลบไป 3-4 วันไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะตนได้ขับรถไปตอนกลางคืนที่

สะพานบ้านหนองค้า ต.กบินทร์บุรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี แล้วแถวนั้นไม่มีป้ายไฟแจ้งเตือน หรือไฟปลายทาง บริเวณนั้นมืดสนิท มีคนจอดรถกระบะไว้ชิดซ้ายกลางสะพาน โดยไม่เปิดไฟสัญญาณเลยชนเต็มที่ จนมีผู้เสียชีวิต 1 รายและสาหัส 1 ราย

นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่วันนี้เคสช่วยเหลือและติดตามไปที่ สถานีตำรวจภูธรกบินทร์บุรี เพื่อขอให้ทาง สภ.ได้สืบข้อเท็จจริงและนัดหมายสอบปากคำเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ทางสมาคมองค์การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) เป็นสื่อกลาง ให้คำปรึกษา ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ต่อไป. ภาพ-ข่าว / วงศกร ปราจีน