คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / อำเภอทับสะแก ร่วมจัดกิจกรรมประเพณีแห่เทียนพรรษา ประจำปี 2568

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นางกฤษณา แผ่แสงจันทร์ วัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ พร้อม นายสิทธิพร คำหอม นายอำเภอทับสะแก ร่วมเปิดงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ประจำปี 2568

โดยมี นายชาญวิทย์ อุณหสุทธิยานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นางอวยพร คีรีวิเชียร ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทับสะแก นายสะอาด อนุกูลประชา นายกอบต.เขาล้าน นายสุรศิลป์ ยนปลัดยศ นายกอบต.แสงอรุณ นายเชาว์ เอี่ยมสุขขา นายกอบต.นาหูกวาง นายวิบูลย์ เทียนทอง นายกอบต.ทับสะแก นายผดุงศักดิ์ อิ่มทั่ว ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอทับสะแก พร้อม หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักเรียน และประชาชนชาวทับสะแก ร่วมกิจกรรม

โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อส่งเสริม อนุรักษ์ และสืบทอดประเพณีแห่เทียนพรรษา ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา พร้อมยกระดับให้เป็น Soft Power ของไทยที่สามารถสื่อสารถึงสากล เพื่อยกระดับเทศกาลประเพณีท้องถิ่น ให้เป็นงานวัฒนที่มีศักยภาพรองรับการพัฒนาในระดับจังหวัด ระดับชาติ และต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ ตามนโยบายจุดเน้นของกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกให้เยาวขนและประชาชนในพื้นที่

ได้เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่น และร่วมเป็นพลังในการสืบสาน และสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยในรูปแบบที่ร่วมสมัย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เชิงสร้างสรรค์ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานรากของอำเภอทับสะแก โดยในปีนี้เราได้เพิ่มจุดเด่นใหม่ คือ “การนำเสนอหลากหลายทางวัฒนธรรมด้านอาหาร”

จากทุกตำบลในอำเภอ เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสวิถีท้องถิ่นผ่านมิติอาหาร ซึ่งเป็น Soft Power สำคัญของประเทศไทย เพื่อสร้างความรัก ความผูกพัน และความสามัคคีในชุมชนใช้กิจกรรมวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประชาชนทุกกลุ่มในอำเภอทับสะแก การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับความเมตตา อนุเคราะห์ จากคณะสงฆ์ทับสะแก

ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 27,000 บาท รวมทั้งได้รับความร่วมมือ และสนับสนุนจากหน่วยงาน สถานศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาวัฒนธรรมทุกตำบล ตลอดจนภาคเอกชน และประชาชนชาวทับสะแกอย่างดียิ่ง จากนั้น นางอวยพร คีรีวิเชียร ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทับสะแก

ได้มอบต้นเทียนประจำพรรษา ให้กับ นายสะอาด อนุกูลประชา นายกอบต.เขาล้าน และ นายผดุงศักดิ์ อิ่มทั่ว ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอทับสะแก ในฐานะ กำนันตำบลเขาล้าน พร้อมคณะเพื่อเตรียมนำไปเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมครั้งต่อไป ที่ตำบลเขาล้าน
/////////////////////////////////////////
ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดขบวนแห่เทียนพรรษาพระราชทาน ถวาย วัดศรีเมืองใหม่ ตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี

แชร์เนื้อหานี้

พสกนิกร และพุทธศาสนิกชน ชาวอำเภอศรีเมืองใหม่ ต่างปลื้มปิติยินดี เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ที่ได้รับพระราชทาน เทียนพรรษา จากทูลกระหม่อมหญิง อุบลรัตน์ ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งพระราชทาน ให้วัดศรีเมืองใหม่

ตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี โดย ท่านพระครูโสภณนพรัตน์ ได้ รับพระราชทานพัดรอง เชิญพระนามย่อ อร. ปักบนพัดรองจากพระหัตถ์ ของพระองค์

ในวันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม พุทธศักราช 2568 ณ มณฑลพิธีหน้าองค์หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร พระอารามหลวง แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมี นายกิตติศักดิ์ ประดับศรี นางนงนุช ประดับศรี และ นาย

เด่นชัย สุขแสวง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านชาด ทำหน้าที่เป็น ผู้แทนกองงานเผยแผ่และส่งเสริมประเพณี ถวายเทียนพรรษาพระราชทานวัดอินทรวิหาร อารามหลวง แขวงบางพรหมกรุงเทพมหานคร

เป็นผู้เชิญต้นเทียนพระราชทานมา ถึงวัดศรีเมืองใหม่เพื่อทำพิธีถวายเทียนเข้าพรรษาพระราชทาน ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2568 โดยมี นายโกวิท แก้วสุขอยู่เจริญ นายอำเภอศรีเมืองใหม่มาเป็นประธานในพิธี นาย ธวัชชัย รุ่งเรืองชัย

ทอง นายกเทศมนตรี อำเภอศรีเมืองใหม่ ประธานจัดพิธีถวาย เทียนพรรษาพระราชทาน จัดขบวนแห่ และกล่าวรายงาน มีนางสาว วาทินี โภคกุลกานนท์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ พ่อค้า ประชาชนและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ร่วมขบวนแห่ อย่างพร้อมเพียง สมพระเกียรติพระองค์ท่าน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา นายสุนทร สืบแก้ว ไวยกรณ์ วัดศรีเมืองใหม่ เล่าว่าเป็นครั้งแรกที่อำเภอ

ศรีเมืองใหม่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ อย่างล้นพ้น ที่ได้รับเทียนพระราชทานครั้งนี้ ซึ่งเป็นวัดเดียวในจังหวัดอุบลราชธานี ที่ ได้รับเลือก อำเภอศรีเมืองใหม่จึงขออนุโมทนา สาธุ บุญ กับพิธีมงคลดังกล่าว

ภาพ : ข่าว ผ่านเลนส์ 4343 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดอุบลราชธานี รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงพระกรุณาประทานเทียนประทีปวิจิตร ศรีอทิตยประทีปาทร ให้แด่ พระครูโกศลสิกขกิจ เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2568

แชร์เนื้อหานี้

***เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 68 ที่วัดไพรพัฒนา ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ พระครูโกศลสิกขกิจ หรือ หลวงพ่อพุฒ วายาโม ประธานมูลนิธิหลวงปู่สรวงวัดไพรพัฒนา เจ้าคณะอำเภอภูสิงห์ (ธ.) และเจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา ได้นำคณะพุทธศาสนิกชนชาว ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จัดขบวนแห่อัญเชิญเทียนพรรษา ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงพระกรุณาประทานเทียนประทีปวิจิตร “ศรีอทิตยประทีปาทร” ประดับตราประจำพระองค์ เพื่อถวายแด่วัดไพรพัฒนา

เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2568 และขบวนแห่พัด(ตาลปัตร) เสาเสมา และเกียรติบัตร โดยขบวนแห่จัดอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม เริ่มแห่จากสนามกีฬาวิทยาลัยเทคโนโลยีหลวงปู่สรวงวัดไพรพัฒนา ไปยังวัดไพรพัฒนา มีคณะข้าราชการแต่งกายด้วยชุดปกติขาว พร้อมด้วย พ่อค้า ประชาชนชาว ต.ไพรพัฒนา และคณะอาจารย์ นักศึกษาของวิทยาลัยเทคโนโลยีหลวงปู่สรวงมาร่วมขบวนแห่จำนวนมาก

***เมื่อขบวนแห่มาถึงบริเวณหน้าศาลาทม วัดไพรพัฒนา นายบัญชา จันทร์ณรงค์ นายอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เป็นผู้อัญเชิญเทียนพรรษาประทานเทียนประทีปวิจิตร”ศรีอทิตยประทีปาทร”เข้าไปภายในศาลาทม โดยนำเข้าไปตั้งเบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ จากนั้น นายทวีศักดิ์ ทรงอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้เป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และประกอบพิธีทางศาสนา

พิธีเปิดกรวยถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พิธีถวายเทียนพรรษาประทานแด่ พระครูโกศลสิกขกิจ เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา พิธีถวายเทียนพรรษา และจตุปัจจัยไทยธรรม แด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมี นายประหยัด ถิลา วัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ นายก อบต.ไพรพัฒนา หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ แต่งกายชุดปกติขาวมาร่วมพิธีจำนวนมาก

***ทั้งนี้เนื่องด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงพระกรุณาประทานเทียนประทีปวิจิตร “ศรีอทิตยประทีปาทร”เพื่อถวายแด่วัดไพรพัฒนา เนื่องในวันอาสาฬหบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2568 แด่ พระครูโกศลสิกขกิจ เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา นำความปลาบปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้นให้กับชาวอำเภอภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และคณะศิษยานุศิษย์วัดไพรพัฒนา อันหาที่สุดมิได้ ซึ่งนับว่า เป็นเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ของวัดไพรพัฒนา เป็นอย่างยิ่ง

***ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังเสร็จพิธี พระครูโกศลสิกขกิจ เจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา ได้นำเหรียญพระเครื่องของ หลวงปู่สรวง เทพวดาเดินดิน ที่ทั้งชาวไทย และชาวกัมพูชาเคารพ ศรัทธา มามอบให้กับผู้ที่มาร่วมพิธีในครั้งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตต่อไป
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ทิ้งเปลือกทุเรียนลงแม่น้ำสายสำคัญที่ใช้แข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน / คนขับหลับในชนท้ายรถจอดติดไฟแดงเต็มแรง ดับ1 เจ็บสาหัส 1

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ตรวจสอบบริเวณ สะพานบ้านด่าน ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จุดที่มีกลุ่มชาย นำตะกร้าเปลือกทุเรียน ทิ้ง ลงแม่น้ำหลังสวน สายน้ำธารแห่งวัฒนธรรม แข่งเรือยาวขึ้นโขนชิงธง ชิงถ้วยพระราชทาน แถมคึกคะนองถ่ายคลิปโพสต์โชว์ลงสื่อโซเชียลมีคลิปจากรถยนต์กระบะ บรรทุกขยะเปลือกทุเรียนจำนวนมาก ใส่เข่งพลาสติก แล้วขับมาจอดบริเวณกลางสะพานบ้านด่าน แล้วมีชาย 2 คนลงมา ช่วยกันยกเข่งแล้วเทขยะและเปลือกทุเรียนลงไปในแม่น้ำหลังสวน ซึ่งทำอย่างสนุกสนาน โดยจะมี 1 ในกลุ่มคนดังกล่าว คอยถ่ายคลิปมือถือไว้ด้วย โดยมีหน้าตาระรื่น ไม่แคร์ ไม่สนใจ สายตาของชาวบ้านที่ขับตามหลังมา ต้องจอดรอเสียเวลา และรถที่ขับสวนเลนผ่านมาแต่อย่างใด และเมื่อทิ้งทุเรียนจนหมดแล้ว ก็ได้ขับรถออกไปจากสะพาน

ส่วนคลิปที่ 2 เป็นเวลากลางคืน มีชาย 3 คน ขับรถยนต์กระบะมาจอดบนสะพานจุดเดียวกัน แล้วช่วยกันขนเปลือกทุเรียนจำนวนมากท้ายรถยนต์กระบะโยนทิ้งลงไปในแม่น้ำหลังสวน อย่างสนุกสนามอย่างไม่มีจิตสำนึก โดยมีชายอีกคนยืนถ่ายคลิปมือถือ แล้ว นำไปโพสต์ลงในสื่อออนไลน์ติ๊กต๊อกชื่อ “@12eak มีคนเข้าไปดูแล้วคอมเม้นต่อว่าจำนวนมากผู้สื่อข่าวรายงานว่าแม่น้ำหลังสวน ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ใหญ่และกว้างที่สุดของจังหวัดชุมพร เป็นลุ่มน้ำสานธารแห่งวัฒนธรรม อดีตที่ผ่านมาในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จประพาสผ่าน ถือเป็นแม่น้ำสายวัฒนธรรมของอำเภอหลังสวน และจากอดีตมาถึงปัจจุบัน แม่น้ำหลังสวน ในเป็นแม่น้ำจัดการแข่งขันเรือยาวขึ้นโขนชิงธง ชิงถ้วยพระราชทาน เป็นทั้งศิลป์และศาสตร์ ที่มีเฉพาะลุ่มน้ำแห่งนี้แห่งเดียวของโลก

และได้เดินไปพบกับ นายปราโมทย์ อุทัยรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองสวน สอบถามถึงเหตุที่เกิดขึ้น ทางเทศบาลเมืองหลังสวนได้ดำเนินการจัดการอย่างไร ในเหตุที่มีกลุ่มชายนำขยะ(เปลือกทุเรียน)ทิ้งลงในแม่น้ำ ที่เป็นข่าวดังในขณะนี้
นายปราโมทย์ อุทัยรัตน์ กล่าวว่า มาตรการการรักษาความสะอาดของเทศบาลเมืองหลังสวนยึดหลักกฏหมายพรบรักษาความสะอาดพ.ศ. 2535ได้ดำเนินการจับกุมบุคคลที่มาทิ้งขยะลงในแม่น้ำโดยนำมาปรับโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาทและในทุกๆปีเราจะปรับผู้กระทำความผิดได้ทุกปีไม่ได้ละเลยและทอดทิ้งในการรักษาความสะอาด ของบ้านเมืองของเราและทางเทศบาลก็มีสถานที่ที่ทิ้งขยะโดยมากจะมาจากลงทุเรียนที่เอามาทิ้งเราก็เปิดโอกาสให้ไปทิ้ง ขยะไซขยะของทางเทศบาลเราก็เปิดโอกาสให้ไปทิ้งเสียค่ารักษาความสะอาดในเรื่องทิ้งขยะของเราไม่ว่าจะเป็นเวลาราชการหรือถ้านอกราชการโทรหาให้นายกให้อนุญาตได้ทุกเวลา

ส่วนคลิปที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตทางเทศบาลก็กำลังดำเนินการติดตามหาตัวคนร้ายโดยได้นำ ทะเบียนรถไปสืบที่กรมขนส่งเพื่อตรวจสอบว่าเป็นรถของบุคคลใดโดยได้รูปลักษณ์มาจากกล้องวงจรปิดทั่วเมืองหลังสวนจะประสานกับตำรวจให้แน่ชัดว่าคนร้ายคือใครจะนำมาปรับโทษก็คือการปรับ 10,000 บาท โดยใช้มาตรา 57 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 13 วรรคหนึ่งมาตรา 19 มาตรา 23 มาตรา 30 มาตรา 33 วรรคหนึ่งหรือมาตรา 34 ต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

จากมาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ใดเทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูลมูลฝอยน้ำโสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนนหรือในทางน้ำความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่เจ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือหรืออาคารประเภทเรือแพซึ่งจอดหรืออยู่ในท้องที่ที่เจ้าหน้าที่ทำงานท้องถิ่นยังไม่ได้จัดส้วมสาธารณะหรือภาชนะสำหรับทิ้งปฏิกูลหรือมูลฝอยคุณลุง ชาวบ้าน ฝากถึงหน่วยงานให้เข้ามาดูแลด้วย ในแม่น้ำลำคลองเขาเลี้ยงปลาหาปลามาทิ้งขยะลงแบบนี้น้ำก็เน่าเสียหมด พวกมักง่ายชอบนำขยะมาทิ้ง ทำให้แม่น้ำเน่าเสียแล้วก็ทำให้เสียชื่อกับชาวอำเภอหลังสวนเพราะคลองเค้าไม่แข่งเรือเป็นหน้าชูตาให้กับอำเภอหลังสวนมาทำแบบนี้เสียชื่อคนหลังสวนหมด

คนขับหลับในชนท้ายรถจอดติดไฟแดงเต็มแรง ดับ1 เจ็บสาหัส 1

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 9 ก.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลาประมาณ 22.35 น. ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าแซะ ได้รับแจ้งมีเหตุรถบรรทุกสิบล้อชนกับรถ บรรทุกพ่วงสิบแปดล้อมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จึงแจัง พ.ต.อ.ฉลาด พลนาการ ผกก.สภ.ท่าแซะผู้บังคับบัญชาทราบจึงเดินทางพร้อมแพทย์โรงพยาบาลท่าแซะ ปภ.ชุมพร กู้ภชีพกู้ภัยสาย ชลชุมพรตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุ บริเวณแยกท่าแซะ ม. 16 ต.ท่าแซะ อ.ท่าแซะ ชุมพร ถนนเพชรเกษม ขาล่องใต้ พบมีผู้บาดเจ็บติดภายใน ไม่รู้สึก ตัว ไม่มีชีพจร หน่วยกู้ภัยสายชลชุมพร ปภ.ชุมพร หน่วยกู้ชีพอาสารพ.ท่าแซะ รถกู้ชีพ โรงพยาบาลท่าแซะ พร้อมอุปกรณ์ตัดถ่างจึง เร่งรัดไปยังจุดเกิดเหตุ ที่เกิดเหตุตรวจสอบพบ รถบรรทุก ทะเบียน 75-0937 กรุงเทพมหานคร รุ่น FF ยี่ห้อ HINO สี ขาว,ฟ้า,แดง มี นายนันทพงศ์ มีหล้า เป็นผู้ขับขี่ และนายรัฐศาสตร์ มีหล้า เป็นผู้โดยสาร ขับรถมุ่งหน้า

ลงใต้ เมื่อมาถึงแยกไฟแดงท่าแซะได้ชนท้าย รถบรรทุก ทะเบียน 700-1649 กรุงเทพมหานคร รุ่น FM1AKIB-SHT ยี่ห้อ HINO สี เขียว,แดง,เหลือง ที่จอดติดไฟแดงอยู่ หน่วยกู้ภัยสายชลชุมพร ปภ.ชุมพร หน่วยกู้ชีพอาสารพ.ท่าแซะ รถกู้ชีพ โรงพยาบาลท่าแซะ พร้อมอุปกรณ์ตัดถ่างจึง เร่งรัดไปยังจุดเกิดเหตุ ที่เกิดเหตุตรวจสอบพบ ผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย 1 ใน 3 ราย มี 1 รายติดอยู่ในตัวรถบรรทุกสิบล้อ ไม่รู้สึกตัว ไม่มี ชีพจร

(ได้รับการยืนยันจากทีมกู้ชีพโรง พยาบาลท่าแซะผู้บาดเจ็บเสียชีวิต) หน่วยกู้ภัย จึงเร่งรัดใช้เครื่องตัดถ่าง นำร่างผู้เสียชีวิตออก มา เป็นเพศชาย อายุ 55 ปีทราบชื่อภายหลัง นายนันทพงศ์ มีหล้า ผู้ขับขี่เสียชีวิต หน่วยกู้ภัยกู้ภัยสาย ชลนำร่างผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลท่าแซะ เพื่อทำการชันสูตรตามคำสั่งแพทย์ต่อไป และ

นายรัฐศาสตร์ มีหล้า ผู้โดยสาร ได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่ง รพ.ท่าแซะ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าแซะ รวบรวมเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุพร้อมทั้งสอบถามพยานคนเห็นเหตุการณ์ อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชนวนเหตุยิงพี่สาววัย 72 ปี กลัวโดนฮุบที่ดินสวนปาล์ม 5 ไร่

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 จับแล้วน้องชายวัย 69 รัวยิงพี่สาววัย 72 ปี ดับหน้าร้านอาหารตามสั่ง ปมมรดกที่ดิน สารภาพแค้นแม่ตายกว่า 3 ปี ไม่ยอมแบ่งที่ให้ ปฏิเสธทำแผนกลัวไม่ปลอดภัย ส่วนลูกสาวผู้ตายผวากลัวผู้ต้องหาโหดได้ประกันตัวออกมายิงล้างครัว

วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบสวนปาล์ม 5 ไร่ชนวนการก่อเหตุ อยู่บริเวณ ซอย บ้านดอนทราย ตำบลดอนยาง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร อยู่ห่างจากบ้านหลังเกิดเหตุประมา 9-10 กิโลเมมร พบสวนปาล์มและในบริเวณมีสุนัขดุมากวิ่งอยู่ภายในสวนและมีพืชอยู่หลายอย่าง

จากกรณี นายศุภชัย โพธิ์คีรี หรือตุ้ม อายุ 69 ปี น้องชาย ใช้อาวุธปืนสั้นขนาด .22 แม็กนั่ม รัวยิง นางสุภา ภู่ทอง อายุ 72 ปี พี่สาวตายอนาถหน้าบ้นตนเองที่เปิดเป็นร้านอาหารตามสั่งและขายของชำ แล้วยิงนางปราณี กุหลาบสี อายุ 68 ปี พี่สะไภ้

ของผู้ก่อเหตุ ที่มาช่วยพี่สะไภ้ที่ถูกยิงตายขายของที่บ้านหลังเกิดเหตุ ถูกกระสุนแถลบเข้าที่แขนขวาบาดเจ็บเล็กน้อย และนายศุภัย ยังลั่นกระสุนใส่ นางสาวนัฎ โพธิ์คีรี อายุ 53 ปี ลูกสาวผู้ตายซึ่งเป็นหลานสาวของผู้ก่อเหตุด้วย แต่วิ่งหนีรอดตายทั้ง 2 คน สามารถวิ่งออกมาได้

เหตุเกิดช่วงสายวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ที่ร้านอาหารตามสั่ง เลขที่ 7/8 ม.4 ต.ดอนยาง อ.ปะทิว จ.ชุมพร ส่วนมือปืนหลังก่อเหตุได้ขับรถยนต์กระบะอีซูซุ ตอนครึ่ง สีเขียว ทะเบียน บว.2763 ชุมพร หลบหนี วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว หลังเกิดเหตุตำรวจชุดสืบสวน นำโดย พ.ต.ท.ชาติชาย มูลลักษณ์ รอง ผกก.สส สภ.มาบอำมฤติ ภายใต้สั่งการของ พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผกก.สภ.มาบอำมฤต ได้นำกำลังออกสอบปากคำพยานบุคคล พยานแวดล้อม จนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายศุภชัย โพธิ์คีรี อายุ 69 ปี ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆของผู้ตายนั่นเอง และบ้านอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลจังหวัดชุมพร ออกหมายจับในช่วงเย็นวันเดียวกัน ในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น , ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันควรและยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน”

กระทั่งช่วงสามทุ่มของเมื่อคืนที่ผ่านมาตำรวจชุมดสืบสวน สภ.มาบอำมฤต นำโดย พ.ต.ท.ชาติชาย มูลลักษณ์ รอง ผกก.สส สภ.มาบอำมฤติ ได้ติดตามจับกุม นายศุภชัย โพธิ์คีรี อายุ 69 ปี ผู้ก่อเหตุได้ขณะหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 4 ตำบลดอนยาง อ.ปะทิว จ.ชุมพร พร้อมตัวมาสอบสวน และคุมขังไว้ที่ สภ.มาบอำมฤต โดยมีบรรดาเครือญาติมาเยี่ยมและนำอาหาร น้ำ เครื่องดื่ม มาให้ผู้ต้องหาอยู่เรื่อยๆ

ด้าน พ.ต.อ.ชนินทร์ ณรงค์น้อย ผกก.สภ.มาบอำมฤต หลังเกิดเหตุตำรวจก็ได้ขอศาลจังหวัดชุมพร อนุมัติหมายจับและติดตามจับกุมตัวได้ที่บ้านของผู้ต้องหาเอง พร้อมของกลางรถยนต์ที่ใช้หลบหนี อาวุธที่ใช้ก่อเหตุ และผู้ต้องหาก็รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยปมเหตุมาจากเรื่องที่ดินมรดก เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นคนอารมณ์ร้อน ค่อนข้างรุนแรง และเข้าใจว่าแม่ตายมานาน 3 ปีแล้ว แต่พี่สาวตนเองจะฮุบที่ดินทั้งหมด 5 ไร่ เป็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว แต่ความจริงแล้วได้มีการพูดคุยจะแบ่งให้กับพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด 5 คน แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นอารมณ์ร้อน ในร้อนค่อนข้างรุนแรง จึงก่อเหตุดังกล่าวขึ้น

พ.ต.อ.ชนินทร์ กล่าวว่า ผู้ต้องหามีความประสงค์จะไม่ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากกังวลและกลัวเรื่องความไม่ปลอดภัย ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาอยู่แล้ว และจำนำตัวไปฝากขังต่อศาลจังหวัดชุมพร ในวันพรุ่งนี้ต่อไปขณะที่ นางจรรยา ใสสะอาด 67 เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับนายศุภชัย โพธิ์คีรี หรือตุ้ม อายุ 69 ปี เป็นญาติ ลูกพี่ลูกน้องและมาเยี่ยม นายศุภชัย โพธิ์คีรี ได้สอบถามว่ารู้สึกยังไงแกก็ตอบว่าก็ยอมรับในการกระทำเกิดจากบันดาลโทสะยอมรับในการตัดสินใจของแกเอง เป็นลูกผู้ชายตัวผู้ก่อเหตุปกติแล้วอยู่ที่จังหวัดระนองไม่ได้อยู่ที่ชุมพรเพิ่งจะเดินทางกลับมาที่ชุมพรก็มาก่อเหตุในครั้งนี้

นางสาวนัฎ โพธิ์คีรี อายุ 54 ปี ลูกสาวผู้ตายและเป็นหลานสาวของผู้ก่อเหตุ ตำรวจได้เชิญตัวมาสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ สภ.มาบอำมฤต ก่อนจะหลับไม่ที่วัดดอนยางซึงเป็นสถานที่ตั้งศพ นางสุภา ภู่ทอง อายุ 72 ปี ผู้เป็นแม่โดย นางสาวนัฎ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า แม่ตนที่ถูกยิงตายร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเพราะเพิ่งจะไปทำกายภาพที่โรงพยาบาลมา จึงเดินไม่สะดวกมากนัก จนมาถูกน้องชายตัวเองยิงตาย ซึ่งนายศุภชัยผู้ก่อเหตุนั้นทราบว่าวันเกิดเหตุได้คิดและไตร่ตรองไว้แล้วเนื่องจากมีชาวบ้านเห็นว่าคนร้ายขับรถตามหาแม่ตนมาตั้งแต่ตอนไปทำบุญที่วัดจนมาถึงบ้านแล้วก่อเหตุ

นางสาวนัฎกล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนกลัวเรื่องความปลอดภัยมาก เพราะนายศุภชัยผู้ต้องหาเขาต้องการฆ่าตนกับแม่ล้างครัวเลย ตอนเกิดเหตุแม่ตะโกนบอกให้ตนวิ่งหนีได้ทัน ว่าไอ้ “ตุ้ม” มันมาดักยิงแม่”
ถ้านายศุภชัยผู้ต้องหา ได้ประกันตัวออกมาเขาต้องมาฆ่าตนแน่นอน และอยากให้รับโทษอย่างสาสมที่ได้ฆ่าพี่สาวของตนเอง

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “แรงงานลาว-กัมพูชาแห่ข้ามแดนมุกดาหาร” หลังกองทัพใช้มาตรการควบคุมด่านชายแดนกัมพูชายัง ขณะที่​ตม.มุกดาหาร ตรวจเข้มคัดกรองสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568​ ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดมุกดาหาร และด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 (มุกดาหาร–สะหวันนะเขต) อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีแรงงานข้ามชาติจาก สปป.ลาว และกัมพูชา เดินทางมาจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เดิน

ทางมาจากกรุงเทพมหานคร จังหวัดจันทบุรี และตราด เพื่อใช้บริการรถโดยสารระหว่างประเทศ (มุกดาหาร–สะหวันนะเขต) ข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เข้าด่านพรมแดนสะหวันนะเขต สปป.ลาว และข้ามกลับเข้ามาประเทศไทยโดยผ่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดมุกดาหาร เพื่อกลับเข้ามาอยู่และทำงานต่อในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

พันตำรวจเอก พิทักษ์พงษ์ เจริญกุล ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณผู้เดินทางสัญชาติลาวและกัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยวันละ 1,200-1,300 คนสำหรับแรงงานชาวลาว และประมาณ 45 คนสำหรับแรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาด้วยวีซ่า Non L-A และบางส่วนได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา

สำหรับเหตุผลที่มีการข้ามแดนผ่านมาทางจังหวัดมุกดาหารเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากมาตรการควบคุมชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้ กองทัพบกและกองทัพเรือได้กำหนดมาตรการควบคุม การเปิด-ปิด จุดผ่านแดน ทุกประเภทตลอดแนวชายแดน ไทย – กัมพูชา อาทิ จังหวัดจันทบุรี ตราด และสระแก้ว อัน

เนื่องมาจากสถานการณ์ ชายแดน ไทย – กัมพูชา โดยให้งดการเดินทางผ่านเข้า – ออก ของประชาชน การค้าขายทุกประเภท นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ งดการผ่านเข้า – ออก ของยานพาหนะทุกประเภท แต่ยังคงอนุญาตให้อํานวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม ตามความเหมาะสม ทำให้แรงงานกัมพูชาจำนวนหนึ่งต้องเดินทางมาข้ามแดนทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ที่มุกดาหารแทน

ทั้งนี้ ผู้เดินทางที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน 60 วัน เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยว การทำงาน หรือธุรกิจระยะสั้น

ปัจจุบัน ตม.มุกดาหาร ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านบุคลากร สถานที่ และระบบเทคโนโลยี พร้อมยกระดับมาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อาจแฝงตัวเข้ามา

พันตำรวจเอก พิทักษ์พงษ์ ยืนยันว่า แม้ผู้เดินทางจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพร้อมรับมือและให้บริการตามมาตรฐานอย่างเต็มที่แรงงานข้ามชาติ #ด่านพรมแดนมุกดาหาร #สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่2 #แรงงานลาว

#แรงงานกัมพูชา #เขมร #มาตรการควบคุมด่านตรวจคนเข้าเมือง #ตมมุกดาหาร #ข่าวมุกดาหาร #อาชญากรรมข้ามชาติ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ชายแดนไทยลาว #มุกดาหาร #สะหวันนะเขต #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดงานสมัชชาคุณธรรมและตลาดนัดคุณธรรมจังหวัดน่าน ประจำปี พ.ศ. 2568

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม โรงแรมเทวราช อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน มอบหมายให้ นางภัทรภร ชัยวัฒนกุล วัฒนธรรมจังหวัดน่าน เป็นประธานเปิดงานสมัชชาคุณธรรมและตลาดนัดคุณธรรมจังหวัดน่าน ประจำปี พ.ศ. 2568 โดย

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน และกรมการศาสนา ร่วมกับศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ภาคีเครือข่ายทั้ง 6 เครือข่าย ขับเคลื่อนคุณธรรมเชิงพื้นที่จังหวัดคุณธรรม มีเป้าหมายการขับเคลื่อนต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ.2566-2568) ประกอบด้วย เครือข่ายภาครัฐ เครือข่ายภาคการศึกษา เครือข่ายภาคศาสนา เครือข่ายภาคสื่อสารมวลชน เครือข่ายภาคชุมชนและประชาสังคม เครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน เข้าร่วมกิจกรรม

โดยปีที่ผ่านมา จังหวัดน่าน ได้มีการเจตนารมณ์ความร่วมมือของหน่วยงานภาคส่วนต่างๆ เกิดการปรึกษาหารือการจัดกิจกรรมสมัชชาคุณธรรม การจัดตั้งกลไกเครือข่ายทางสังคมเพื่อรองรับการขับเคลื่อนสู่การเป็นจังหวัดคุณธรรมอย่างเป็นรูปธรรม บูรณาการทำงานต่างๆ มีการยกระดับการประเมินชุมชนองค์กร อำเภอ

คุณธรรมต้นแบบทำให้เกิดชุมชนคุณธรรมต้นแบบจำนวน 241 ชุมชน องค์กรคุณธรรมต้นแบบจำนวน 261 องค์กร อำเภอคุณธรรม จำนวน 15 แห่ง และมีการค้นหา ยกย่อง เชิดชู บุคคล หน่วยงาน องค์กร เพื่อยกย่องประกาศเกียรติคุณ เช่น ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม รางวัลวัฒนคุณาธร รางวัลวัฒนธรรมวินิต รางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา รางวัลคนดีศรีจังหวัด และมีการประเมินชุมชน องค์กรต้นแบบโดดเด่น

สำหรับวัตถุประสงค์การจัดสมัชชาคุณธรรมในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนดี องค์กรดี ได้มีโอกาสมาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ของกันและกัน เป็นเวที “ชม แชร์ เชียร์” เป็นการสร้างบรรยากาศ สภาพแวดล้อมให้เกิดแรงจูงใจ ในการขับเคลื่อนคุณธรรมในระดับองค์กร ชุมชน อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ที่

สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติระยะที่ 2 (พ.ศ.2566-2570) ส่งเสริมให้คนไทยมี “พฤติกรรมที่สะท้อนการมีคุณธรรม” เพิ่มขึ้น สู่สังคมคุณธรรมที่คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความสมานฉันท์ ภายใต้หลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วิถีวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม และคุณธรรม 5 ประการ “พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และกตัญญู”

โดยรูปแบบการจัดงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนงานวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ด้านการส่งเสริมคุณธรรม การแสดงพลังขับเคลื่อนสังคมคุณธรรมจังหวัดน่านกว่า 100 หน่วยงาน และผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายด้านคุณธรรมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนการนำเสนอผลงานนิทรรศการองค์ความรู้ ผลสำเร็จการส่งเสริมคุณธรรมของภาคีเครือข่าย ในรูปแบบ “ตลาดนัดคุณธรรม ชม แชร์ เชียร์” จำนวนกว่า 20 บูธ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ และสนับสนุนวิทยากรจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)บุญยงค์ สดสอาด น่ยกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/ทีมข่าวสมาคม รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดกิจกรรมพัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1 – 3)

แชร์เนื้อหานี้

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น.ที่ผ่านมา ณ โรงแรม ดิ อิมเพรส น่าน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง กิจกรรมหลัก พัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้ได้มาตรฐานสากล โดยมี นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน กล่าวรายงานการจัดฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1-3) พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและผู้นำเที่ยว รวมจำนวน 150 คน

เข้าร่วมกิจกรรม จังหวัดน่าน ได้มอบหมายให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวน่าน สู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง กิจกรรมหลักการพัฒนาแรงานและผู้ประกอบการ ยกระดับ

มาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการได้มาตรฐานสากล กิจกรรมย่อยฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1-3) เพื่อเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ที่ดีด้านการท่องเที่ยว เสริมสร้างศักยภาพมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวในพื้นที่จังหวัดน่าน ให้สามารถอธิบายเล่าประวัติความเป็นมา ถ่ายทอดองค์ความรู้และอัตลักษณ์ของเมืองน่าน ให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง และให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปรับใช้ในการบริการนักท่องเที่ยวต่อไป

โดยการพัฒนาศักยภาพของมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวในจังหวัดน่าน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีคุณค่าอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วม โดยอาศัยแนวทิตหลัก ได้แก่ การต่อยอดอดีต ปรับปัจจุบัน และสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต โดยแบ่งผู้เข้าร่วมอบรมออกเป็น 3 รุ่น รุ่นละ 50 คน ได้แก่ รุ่นที่ 1 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชามัคคุเทศก์เฉพาะภูมิภาค

(ภาคเหนือ) รุ่นที่ 2 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชามัคคุเทศก์เฉพาะจังหวัดน่าน และรุ่นที่ 3 หลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำเที่ยว (Tour Leader Training) พร้อมการจัดเสวนาในหัวข้อ “Next Step ก้าวสู่การเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวน่านสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง” ในประเด็นการพัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้ได้มาตรฐานสากล ด้านมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวอีกด้วยโดยในวันที่ 3 กรกฏาคม2568 ทางผู้จัดงานได้นำผู้เข้าอบรมและะสื่อมวลชนจังหวัดน่านศึกษาดูงานจุดที่ ที่ 1

ณ วัดพระธาตุช่อแฮ เป็นปูชนีสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่มืองแพร่มานานแต่โบราณ และเป็นพระ ธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีชาล เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองแพร่ และเป็นพระธาตุ ประจำปีขาล ตามตำนานระบุว่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 1879-1881 สมัยพระมหาธรรมราชาธิ ราช (ลิไท) มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ก่ออิฐโบกปูนหุ้มด้วยแผ่น ทองเหลือง ลงรักปิดทองเป็นศิลปะเชียงแสน และเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระ บรมสารีริกธาตุส่วนของพระศอกข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน หลวงพ่อช่อแฮ พระประธานศิลปะล้านนาผสมผสานเชียงแสนกับสุโขทัย ส่วนของวิหาร ศิลปะล้านนาประยุกต์ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธโลกนารถบพิตร พระปางนาคปรก

รวมทั้ง มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และยังมีพระเจ้าไม้สัก ที่แกะสลักจากไม้สักทอง เป็นศิลปะ สมัยล้านนา พระเจ้านอน สร้างแบบก่ออิฐถือปูนและลงรักปิดทอง เป็นศิลปะแบบเมียนมา ธรรมาสน์โบราณ เป็นธรรมาสน์ไม้สักที่แกะสลักลวดลายแบบไทยผสมล้านนาพร้อมลงรักปิด ทอง ใกล้กันเป็นที่ตั้งกรุอัฐิครูบาศรีวิชัย จุดที่ 2 ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ คุ้มเจ้าบ้านวงศ์บุรี เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังชิงหลังคามุงด้วยไม้ เรียกว่า “ไม้แป้นเกล็ด” ไม่มีหน้าจั่วเป็นแบบหลังคาเรือนปั้นหยา มีมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมาด้านหน้า ของตัวอาคาร หลังคามุขมีรูปทรงสามเหลี่ยม ทั้งปั้นลมและชายคาน้ำรอบตัวอาคารประดับ

ด้วยไม้แกะฉลุสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นฝีช่างชาวจีนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ภายใต้ตัว อาคารซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีห้องสำหรับเก็บข้าวของเงินทองและทรัพย์สมบัติ จำนวน 3 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องทึบ ส่วนอีก 2 ห้อง ปีกซ้ายและปีกขวา มีช่องสำหรับใส่ เงิน ซึ่งห้องใต้ดินสำหรับเก็บสมบัตินี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคุกที่คุมขังนักโทษ ส่วนเครื่องจอง จำนักโทษที่จัดแสดงในห้องเพิ่งนำเข้ามาจัดแสดงเมื่อเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ จุดที่ 3 ณ วัดจอมสวรรค์ เป็นวัดไทยใหญ่ สร้างแบบสถาปัตยกรรมหม่า ด้วยความศรัทธาของชาวเงี้ยวที่มี
ถิ่นฐานอยู่ในเมียนมาและเดินทางเข้ามาค้าขายที่เมืองแพร่ ต่อมาได้รับการบูรณะจากชาวไทใหญ่

จึงเป็นวัดไทใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมแบบเมียนมา ภายในวัดมีเรือนไม้สักหลังเดียว ซึ่งเป็นทั้งอุโบสถ วิหาร และกุฏิ มีลักษณะหลังคาช้อนลดหลั่นเป็นชั้น ตกแต่งด้วยลวยฉลุภายในแสดงให้ให้เห็น ฝีมือการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เพดานและเสาฉลุไม้ ประดับกระจกสีแบบโบราณ ในวัดประดิษ ฐานหลวงพ่อสาน เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากไม้ไผ่สานลงรักปิดทอง พระพุทธรูปงาช้าง เป็นศิลปะ
แบบเมียนมา คัมภีร์งาช้าง หรือคัมภีร์ปาติโมกข์ ที่นำงาช้างมาบดแล้วอัดเป็นแผ่นบาง ๆ เขียนลง รักแดงจารึกเป็นอักษรเมียนมา และยังมีบุษบกที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูป หินอ่อน จุดที่ 4 กิจกรรมการท่องที่ยวโดยชุมชนบ้านทุ้งโฮ้ง ต้นแบบของการนำเที่ยวและกิจกรรมสาธิตโดย ผู้เข้าร่วมได้ทำกิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตอัตลักษณ์ของุชมชน เช่น การย้อมผ้าหม้อห้อม เวลา (บ้านป้าเหงี่ยม) เป็นวิถีชุมชนชาวไทยพวนที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตและจำหน่ายผ้าหม้อห้อม โดย มีประวัติความเป็นมาจากการอพยพของชาวไทพวนจากเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง สปป.ลาว) เข้า มาตั้งถิ่นฐานในเมืองแพร่ งานนี้ขอชื่นชมนางสาวนพรัตน์ ศตรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่านพร้อมทีมงาน ผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้ ชื่นชมคณะอาจารย์ทีมวิทยากรทุกๆท่าน ชื่นชมคณะทำงาน ผู้ประสานทุกๆท่าน และทีมไกค์น่าน ที่จัดงานได้อย่างไม่มีที่ติ/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/วิสุทธิ์ ศรีเมือง/ร.ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ส.อ.ท. จับมือ อย. ผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวัตกรรมระดับภูมิภาค

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานแถลงข่าว “ดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม” โดยได้รับเกียรติจากนายโฆษิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเปิดงาน และนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ส.อ.ท. พร้อมนายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมแถลง เพื่อชี้แจงดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม รวมทั้งหารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคาร OSSC ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา การจัดงานแถลงข่าว “ดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม” ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ ส.อ.ท. โดยหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนและส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศไทย และแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากกฎหมาย กฎระเบียบที่มีต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งหารือแนวทาง

การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ อันนำไปสู่การส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนา และการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม ผ่านกลไกความร่วมมือ 3 ด้าน คือ การส่งเสริมนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ การสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการจัดทำดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ

นายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ที่พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล่านี้ ผ่าน 7 นโยบายด้านเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6.9 แสนล้านบาทในปี 2568 ส่งผลต่อการเพิ่ม GDP ของประเทศ โดยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีนวัตกรรม มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จะช่วยเสริมพลังการขับเคลื่อนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพได้เป็นอย่างดี

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า ส.อ.ท. ได้จัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประกอบด้วย 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สมุนไพร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสุขภาพของอาเซียน ผ่านการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตั้งแต่การพัฒนาด้านวัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 การผลิตและการส่งออกของสินค้าในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม จะเติบโตประมาณ 10% ตามการสนับสนุนและยกระดับสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และมีปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความต้องการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การแข่งขันในระดับภูมิภาค และข้อจำกัดด้านเงินทุน

นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวเสริมว่า อย.พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบาย Medical Hub ของรัฐบาล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม โดยร่วมมือกับ ส.อ.ท. ผ่านกลไกต่างๆ เช่น คณะทำงาน คณะอนุกรรมการ และโครงการ Sandbox โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรและสินค้ามูลค่าสูง รวมทั้งผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัย พัฒนา และผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม

ปัจจุบัน อย. ขับเคลื่อนความร่วมมือใน 3 ด้านหลัก คือ

  1. สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ด้วยการจัดตั้ง One Stop Service และยกระดับผู้ประกอบการให้พร้อมขึ้นทะเบียน
  2. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยส่งเสริมการใช้สถานที่ผลิตร่วมสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  3. สร้างความเชื่อมั่น ผ่านกลไกรับฟังข้อเสนอแนะและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ อย. ยังได้จัดตั้ง “กองเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ” เพื่อพัฒนาดัชนีวัดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมสุขภาพ และเตรียมนำ Big Data และ AI มาจัดการข้อมูล พร้อมพัฒนาระบบ Track and Trace และฉลากดิจิทัล (Digital Labeling) เพื่อเพิ่มความโปร่งใส เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“อย. เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และก้าวสู่การเป็น Medical Hub อย่างแท้จริง” นายแพทย์สุรโชค กล่าวทิ้งท้าย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่นายกฯตำบลมุก หลังพบผู้สมัครทำผิด ก.ม.เลือกตั้ง สั่งระงับสิทธิสมัคร 1 ปี

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ได้ออกค้าสั่งคณะุกรรมการการเลือตั้ง ที่ 2286/2568 เรื่อง จัดให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีต้าบลมุก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ใหม่ตามที่ได้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตําบลมุก อําเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 คณะกรรมการการเลือกตั้ง

ได้พิจารณาสํานวนการไต่สวนการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตําบลมุก อําเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร กรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏว่า นายอนุชา ศรีโยหะ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีตําบลมุก กระทําการอันเป็นเหตุให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม และมีคําสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายอนุชา ศรีโยหะ ไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาหนึ่งปี

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 17 วรรคสอง มาตรา 106 วรรคสี่ และมาตรา 107 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีคําสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตําบลมุก อําเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ใหม่ ไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคําสั่ง

พร้อมกันนี้ กกต. ยังได้ออกประกาศเรื่องการขยายระยะเวลา ย่นระยะเวลา และงดเว้นการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งในกรณีที่ กกต. สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกด้วยกกต #เลือกตั้งใหม่ #นายกเทศมนตรีตำบลมุก #เลือกตั้งท้องถิ่น #มุกดาหาร #การเมืองท้องถิ่น #โปร่งใสสุจริต #ข่าวด่วน #ข่าวมุกดาหาร #ข่าววันนี้​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

มุกดาหาร​ -​แก้ไขแล้ว! ‘จุดเสี่ยง’ ราวกันตกตลาดอินโดจีนมุกดาหาร แต่ยังเหลือจุดอันตรายใกล้บันไดที่รอการปรับปรุง”

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหาร (ก.ธ.จ.มุกดาหาร) พร้อมที่ปรึกษา ได้ลงพื้นที่สอดส่องการก่อสร้างซ่อมแซมและปรับปรุงตลาดอินโดจีน เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ

พบว่า ราวกันตกสแตนเลสบริเวณชั้นบนของตลาด ซึ่งเดิมมีจุดเสี่ยงต่อความปลอดภัย โดยเฉพาะช่องว่างช่วงปลายและช่วงกลางที่อาจทำให้เด็กเล็กพลัดตกได้นั้น ได้รับการแก้ไขแล้ว โดยเปลี่ยนวิธีการยึดจากแบบติดผนังเป็นยึดติดพื้นคอนกรีต เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดช่องว่างให้แคบลง ซึ่งทำให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องชื่นชมจังหวัดมุกดาหารที่เอาใจใส่และเข้าแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ยังคงพบราวกันตกอีก 1 จุด ที่บริเวณใกล้บันไดทางลง ซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่พอที่เด็กเล็กอาจพลัดตกลงมาได้ ถือเป็นจุดเสี่ยงที่ยังรอการแก้ไข ซึ่งคาดว่าจะได้รับการปรับปรุงในเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย

โดยรวมของพื้นที่สาธารณะตลาดอินโดจีน #มุกดาหาร #ความปลอดภัยต้องมาก่อน #ธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหารลงพื้นที่ #กธจมุกดาหาร #ราวกันตกไม่ปลอดภัย #สอดส่องงานก่อสร้าง #ข่าวมุกดาหาร #เด็กต้องปลอดภัย #โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมุกดาหาร #กรมโยธาธิการและผังเมือง #ข่าววันนี้​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​