คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐนิวส์*สื่อรัฐทีวี / สำนักศิลปากร 12 แจ้งความเอาผิดคนลักลอบขุดเขาสามแก้ว

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 24 กันยายน 2568 นายภัทรพงษ์ เก่าเงิน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช พร้อมนางสาวกาญจนา สากระแสร์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร และเจ้าหน้าที่ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบร่องรอยการลักลอบขุดค้นหาโบราณวัตถุ บริเวณแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว ต.นาชะอัง อ.เมือง จ.ชุมพร หลังจากได้รับทราบจากสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีบุคคลโพสต์ Facebook ระบุว่า มีการลักลอบขุดค้นในพื้นที่ดังกล่าว

จากการตรวจสอบในพื้นที่ พบว่ามีหลุมร่องรอยการขุดหลายจุด ซึ่งเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 จึงได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองชุมพร เพื่อแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สหชาติ สังข์สม พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองชุมพร ขอให้สืบหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ การลักลอบขุดค้นโบราณวัตถุมีโทษร้ายแรงตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 700,000 บาท และหากผู้ใดซ่อนเร้น จําหน่าย หรือรับซื้อ รับจํานํา หรือรับไว้โดยประการใดๆ ซึ่งโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุอันได้มาโดยการกระทําความผิด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

“สำนักศิลปากรที่ 12 ขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมเฝ้าระวังและอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์ หากพบเห็นการลักลอบขุดค้น ครอบครอง ซื้อ ขาย หรือรับซื้อโบราณวัตถุ โปรดรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสำนักศิลปากรใกล้เคียงทันที เพื่อร่วมกันปกป้องสมบัติอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่สืบไป ซึ่งสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช สามารถโทร.แจ้งได้ที่หมายเลข 075-356458 หรือที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร โทร.077-630758” นายภัทรพงษ์ กล่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประชาชน อ.พานเตรียมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต้านโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ จี้รัฐยกเลิก MOU

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 26 กันยายน 2568นี้ มวลชนต้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอำเภอพาน นัดรวมพลครั้งใหญ่แสดง. ยืนกรานไม่เอาโรงไฟฟ้า พลังงานขยะ จี้องค์กรณ์รัฐยกเลิก MOU อปท.ท้องที่เกี่ยวกับโครงการกำจัดขยะความคืบหน้าล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า

ประชาชนชาวอำเภอพาน 4 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลทานตะวัน ตำบลแม่เย็น ตำบลหัวง้ม ตำบลม่วงคำ ได้ออกมาเคลื่อนไหวจัดเวทีแสดงความคิดเห็นโดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเวทีแสดงความคิดเห็น และรวมพลังแนวร่วมแต่ละหมู่บ้านร่วมแสดงแนวคิดเห็นผลข้อได้เสีย การสร้างโรงงาน

ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่4 ตำบล ได้แสดงความคิดเห็นอันเป็นแนวทางอันเดียวกันว่าไม่เอาโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานขยะฯโดยล่าสุดเมื่อวันที่4กันยายนที่ผ่านมาตัวแทนประชาชนในพื้นที่ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ ประธานคณะกรรมการจัดการ จัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย จังหวัดเชียงราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับว่าเป็นการยื่นหนังสือถึงหน่วยงานของรัฐเนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีผลกระทบต่อห้วย หนอง คลอง บึงแหล่งน้ำสาธารณะในพื้นที่และมลพิษทางอากาศ จึงได้มีการเรียกร้องให้ยกเลิกMOU เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

อยู่ระหว่างองค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่และเรียกร้องประชาชนสี4ตำบล จะนัดรวมพลครั้งใหญ่ซึ่งจะมีพลังมวลชนเกือบ 1,000 คน โดยนัดรวมพลที่ โรงเรียนบ้านปูแกงโดยจะมีการปราศรัยใหญ่และเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทาง ในพื้นตำบล ผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอพาน วกกลับเส้นทางถนนพหลโยธิน เพื่อแสดงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เอาโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะในพื้นที่อำเภอพานและการเรียกร้องให้มีการยกเลิกMOUโดยเร็วที่สุดความคืบหน้าจะนำเสนอให้ทราบต่อไป.

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ป.ป.ช.ฟัน 3 ข้าราชการ อบจ.มุกดาหาร จัด”ทัวร์ผี! เบิกค่าเดินทาง–ที่พัก คนไม่ไปจริง จัดอบรมลงชื่อซ้ำโกงงบหลวง

แชร์เนื้อหานี้

นายนิรุท สุขพ่อค้า ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 มีมติชี้มูลความผิดกรณีเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มุกดาหาร ทุจริตงบประมาณโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานประจำปี 2556

โดยการไต่สวนพบว่า การอบรมที่โรงแรมริเวอร์ซิตี้ จ.มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 21–22 พฤษภาคม 2556 มีการลงชื่อผู้เข้าร่วมไม่ตรงข้อเท็จจริง พบรายชื่อซ้ำซ้อน 38 คน ทำให้มีการเบิกค่าอาหารเกินจริง 14,600 บาท ขณะที่การเดินทางไปศึกษาดูงาน จ.ระนอง และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 23–26 พฤษภาคม 2556 มีผู้เข้าร่วมจริงเพียง 77 คน แต่กลับมีการเบิกค่าใช้จ่ายในนาม 157 คน รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักอันเป็นเท็จ ทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหารได้รับความเสียหาย

จากการไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลว่านายรณรงค์ สินทรัพย์ หัวหน้าสำนักปลัด อบจ.มุกดาหาร ในขณะนั้น และนางบัวพันธ์ กอดแก้ว รองปลัด อบจ.มุกดาหาร ปฏิบัติราชการแทนปลัด อบจ.มุกดาหาร มีมูลความผิดทางอาญาในฐานะเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 264 และ 268 รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์มิชอบ

สำหรับนางอภิวราภัคณ์ เกิดจันทึก ผู้อำนวยการกองคลัง อบจ.มุกดาหาร มีมูลความผิดทางอาญาในฐานะเจ้าหน้าที่การเงินที่จัดทำและรับรองเอกสารการเบิกจ่ายซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 162 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งของทางราชการเกี่ยวกับการเงินการคลัง ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย

ขณะที่ ส.ต.ต.หญิง เพชรรัตน์ แสนวิเศษ แม้พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดทางอาญา แต่มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีก 10 ราย ประกอบด้วย นางมลัยรัก ทองผา, บริษัท มุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนลการท่องเที่ยว จำกัด, นางพนิดา กุญชร กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ , นางณฤชาฎา เดชพิพัตร, นางอุมาพร สินธุเสก, นางซิน ทองคำกัลยา, นางชาริณี คูณทวี หรือมานะกิจสมบูรณ์, นางสาวกิติญาณี เลิศชนะเกียรติกุล, นายสมชาย รัชตะสาคร และนายบรรจง ประทุมสุวรรณ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับนายรณรงค์ สินทรัพย์ นางบัวพันธ์ กอดแก้ว และนางอภิวราภัคณ์ เกิดจันทึก พร้อมทั้งส่งรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับทั้ง 3 ราย รวมถึง ส.ต.ต.หญิง เพชรรัตน์ แสนวิเศษ และให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหารเร่งดำเนินการเรียกค่าเสียหายคืนแก่ทางราชการต่อไป

องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร #ทุจริตจัดทัวร์ผี #โกงงบอบรม #อบจมุกดาหาร #ปปชฟันไม่เลี้ยง #ภาษีประชาชน #ทุจริตไม่รอด #มุกดาหาร #ปปช #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชลประทานที่ 1 เร่งตรวจสอบความเสียหายอ่างเก็บน้ำห้วยโป่ง หลังได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุ “คาจิกิ”

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (8 กันยายน 2568) เวลา 16.00 น. #นายณัฐวุฒิ #นากสุก #ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรม #สำนักงานชลประทานที่ 1 พร้อมด้วย #นายปารเมศ #การุณนราพร #ผู้อำนวยการโครงการชลประทานแม่ฮ่องสอน

และนายภมร เพชระบูรณิน หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอ่างเก็บน้ำห้วยโป่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อ่างเก็บน้ำได้รับความเสียหายบริเวณทำนบดินและอาคารระบายน้ำล้น หลังจากพื้นที่เกิดฝนตกหนักอย่าง

ต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อ่างเก็บน้ำไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ตามปกติ

เพื่อประเมินความเสียหายและหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน สำนักงานชลประทานที่ 1 ได้ประสานไปยังฝ่ายจัดการความปลอดภัยเขื่อนและอาคารชลประทาน

เพื่อส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบรายละเอียดของความเสียหายในพื้นที่อีกครั้ง เพื่อวางแผนการซ่อมแซมและแก้ไขปัญหาต่อไป
…#สมจิตร แสงบันลังค์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กองทัพไทยระดมสรรพกำลัง พร้อมทุ่มเท เคียงข้าง ช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูสะพานเสียหายจากน้ำไหลหลาก” / ปค.ดงหลวง – เมืองมุกดาหาร สนธิกำลัง จับกุมผู้ค้ายาเสพติด ยึดยาบ้า

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นาวาอากาศเอกเชิดชู ชูเสน ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 24 สำนักงานพัฒนาภาค 2 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา สั่งการให้ชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็ว และชุดปฏิบัติงานช่าง หน่วยช่างพัฒนา หน่วย

พัฒนาการเคลื่อนที่ 24 นำเครื่องมือยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ ร่วมกับส่วนราชการและประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ ดำเนินการซ่อมแซมฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมและสะพานข้ามลำห้วยพังคอง พื้นที่บ้านป่าหวาย ตำบลบ้านโคก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ที่ชำรุดเสียหายบริเวณคอสะพาน

เนื่องจากน้ำกัดเซาะ ผลกระทบจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการใช้เส้นทางจราจร จำนวน 446 ครัวเรือน เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางในการใช้สัญจรระหว่างตำบลบ้านโคกกับตำบลดงมอน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เส้นทางดังกล่าวกลับมาใช้ได้ตามปกติต่อไป

ทั้งนี้หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 24 จัดชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็ว ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและภัยพิบัติต่างๆในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือ ประชาชน

ได้ทันทีเมื่อเกิดภัยหรือได้รับการร้องขอ ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนา และช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถของกองทัพ เพื่อความผาสุขของประชาชนชาวไทย

ปค.ดงหลวง – เมืองมุกดาหาร สนธิกำลัง จับกุมผู้ค้ายาเสพติด ยึดยาบ้า

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป นายพิเชษฐ์ ศรีมารุต นายอำเภอดงหลวง (ผอ.ศป.ปส.อ.ดงหลวง) ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอดงหลวง สนธิกำลัง

ร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองมุกดาหาร ภายใต้การอำนวยการของนายชายสิทธิ์ สุวรรณโชติ นายอำเภอเมืองมุกดาหาร (ผอ.ศป.ปส.อ.เมืองมุกดาหาร) ลงพื้นที่ ต.โพนทราย อ.เมือง จ.มุกดาหาร เพื่อสกัดกั้นและจับกุมผู้ค้ายาเสพติด

การปฏิบัติครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการขยายผลผู้เสพในพื้นที่ อ.ดงหลวง จนสามารถจับกุมนายกำธร วาปี อายุ 45 ปี ชาว อ.เมืองมุกดาหาร ได้พร้อมของกลางยาบ้า 236 เม็ด และเม็ดแตกอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเงินสด 3,160 บาท

เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ดงหลวง #เมืองมุกดาหาร #ปกครองเข้ม #มุกดาหารไม่เอายาเสพติด #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดมุกดาหาร รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เจ้าของสวนสมุนไพรแจ้ง เอาผิดชายฉกรรจ์บุกรุกพื้นที่จับกุมคนสวนโดยไม่มีหมายศาล ทนายความจ่อเอาผิดอีกหลายคดี

แชร์เนื้อหานี้

น.ส.สุภาดา วงศ์ซิ้ม เจ้าของสวนสมุนไพร ได้ลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แกลง ว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองของอำเภอ บุกรุกเข้าไปในพื้นที่บ้านเลขที่ 8/2 ม.5 ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง โดยไม่มีการแสดงบัตรเจ้าหน้าที่และหมายศาล

จากนั้นได้ควบคุมตัวพงศ์สุระ ลาภเงิน ซึ่งเป็นผู้ดูแลบ้านและสวน ก่อนจะบังคับขู่เข็ญให้ปลดล็อกรหัสโทรศัพท์ ก่อนจะชิงเครื่องโทรศัพท์ไปลบข้อมูลภาพถ่ายในเครื่องที่ผู้ดูแลบ้านและสวนได้ถ่ายไว้ขณะกลุ่มชายดังกล่าวบุกรุกเข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต

ก่อนทั้งสามคนจะข่มขู่ต่างๆ นานา พร้อมทั้งทำร้ายร่างกาย และบังคับขึ้นรถยนต์ไป โดยไม่ทราบว่าไปที่ใด จึงเข้าแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป

ด้าน นายณัฐพล ทองคำ ทนายความ เปิดเผยว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบและสร้างความต่อเจ้าของสวนเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีคนงานมาคอยดูแลพันธุ์ไม้ที่เพาะปลูกไว้ในสวน ซึ่งจะได้เดินทางมาแจ้งความเอาผิดในข้อหาแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน, ชิงทรัพย์, ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157, การเข้าตรวจค้นไม่มีหมายศาล, การจับกุมไม่มีหมายศาล, ร่วมกันบังคับข่มขืนใจผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกาย และกักขังหน่วงเหนี่ยว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / โรงไฟฟ้าพลังงานขยะส่อไปไม่รอด ชาวบ้านลุกฮือ! ลงชื่อคัดค้านทะลุเกือบพันคน จี้ยกเลิก MOU ใกล้แหล่งน้ำและชุมชน มกเม็ดไม่โปร่งใส ใครเอี่ยวมีหนาว

แชร์เนื้อหานี้

ผู้สื่อข่าวเชียงรายรายงานว่าเวลา09.00น.วันที่ 19 สิงหาคม 2568 กลุ่มพลังมวลชนในพื้นที่จากหลายตำบลประกอบด้วยตำบลแม่เย็นตำบลลลทานตะวันตำบลป่าหุงตำบลหัวง้ม อ.พาน จ.เชียงรายได้นัดชุมนุมที่โรงเรียนบ้านท่าหล่มตำบลทานตะวัน อำเภอพานจังหวัดเชียงรายเพื่อ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการถึงประเด็นคัดค้านโรงงานไฟฟ้าจากขยะ พี่จะดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ตำบลแม่เย็นอำเภอพานจังหวัดเชียงราย ในการชุมนุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมชุมนุมและลงชื่อในหนังสือคัดค้านไม่เอาโรงงานไฟฟ้าจากขยะ ล่าสุดทะลุเกือบหลักพันคนแล้ในที่ชุมนุมมีแกนนำ

ผู้คัดค้านที่นำโดย พันตรี สมเจต ช่างซอได้เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตัวบุคลแสดงความคิดเห็น ต่อหน้าประชาชนเป็นจำนวนหลายร้อยร้อยคนที่มาชุมนุม อาทิ สจ.เขตพื้นที่อำเภอพาน แกนนำต่อต้านที่ตำบลป่าหุ่งฯลฯ

การปราศัยแสดงความคิดเห็น หยุดในเวลา12.00น.เพื่อทานอาหารกลางวัน และจะมีการตั้งขบวนรถแห่ออกจากที่จุดชุมนุมไปตามเส้นทางถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าเข้าตัวอำเภอพาน วกกลับทางแยกเข้าตัวอำเภอพานบริเวณพระธาตุจอมแย่

ขาล่อง มุ่งตรงไปยังตำบลแม่เย็นผ่านไปยังจุดบ้านสันไม้ฮาม บริเวณที่ดินที่ตั้งโครงการโรงงานไฟฟ้าฯไปต่อเรื่อยๆผ่านหน้าที่ทำการอบต.แม่เย็น และสิ้นสุดรร.บ้าท่าหล่มที่ตั้งจุดชุมนม ขบวนรถแห่ครั้งนี้ยาวนับ1กิโลเมตร

พันตรี สมเจต ช่างซอแกนนำต่อต้าน ได้กล่าวต่อที่ชุมนุมว่านัดหน้าจะมีการรวมตัวอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อยุติและได้คำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยกเลิก MOU โรงงานไฟฟ้า พลังงานจากขยะตามหนังสือที่ยื่นไปถึงหลายหน่วยงานก่อหน้าที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่.
สมจิตร แสงบัลลังค์ ทีมงานข่าวเชียงราย รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / วช. ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการวิจัยลด PM2.5 ที่จังหวัดน่าน สร้างเครือข่ายจัดการเศษวัสดุเกษตร-ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 19–20 สิงหาคม 2568 — สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้แผนงานวิจัย “ประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5” ในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็น 1 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายหลักของแผนงาน

ในการนี้ นายสุชัช ศุภวัฒนาเจริญ ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยของประเทศด้านสัตว์เศรษฐกิจ พร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่ดำเนินงานและร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเครือข่ายท้องถิ่น ในโครงการ “การพัฒนาเครือข่ายชุมชนการจัดการวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรเพื่อลดจุดความร้อน (Hotspot) และฝุ่นละออง PM2.5 ในจังหวัดน่าน”

โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย ดวงใจ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน เป็นหัวหน้าโครงการ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และชุมชนในจังหวัดน่าน อาทิ สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดน่าน บริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดแคชชิว นัท ริช กรุ๊ป (ไทยแลนด์) และองค์การบริหารส่วนตำบลส้าน

โครงการดังกล่าวมุ่งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือทางการเกษตร เพื่อลดการเผาในที่โล่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของจุดความร้อนและ PM2.5 โดยเชื่อมโยงสู่การสร้างอาชีพทางเลือกในชุมชน เช่น การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ การเพาะพืชน้ำสำหรับอาหารสัตว์เศรษฐกิจ รวมถึงการแปรรูปผลผลิตและพัฒนาการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงนอกฤดูการผลิต

พร้อมกันนี้ยังเน้นการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ผสานกับองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และผลักดันแนวทางการบริโภคที่ยั่งยืน สู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำและความเป็นกลางทางคาร์บอนในระยะยาว

การประชุมและติดตามในครั้งนี้ ถือเป็นการสานพลังระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ อันจะนำไปสู่รูปธรรมในการลดมลพิษทางอากาศ และการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็งในชุมชนต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ จ.นครสวรรค์ยื่นเรื่อง ให้ สส.บัญชา เดชเจริญศิริกุล และคณะ สส. เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 25 68  กลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดนครสวรรค์  เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด  อำเภอตากฟ้า  อำเภอตาคลี  อำเภอไพศาลี  อำเภอท่าตะโก  และจังหวัดสุพรรณบุรี จากหลายตำบล ประมาณ  500 คน มารวมตัวกัน ณ ที่ว่าการอำเภอตากฟ้า เพื่อแสดงพลัง สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนให้รัฐบาล โดย ยื่นหนังสือต่อ นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัคนครสวรรค์ แบบบัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย  นายพีระเดช  ศิริวันสาณฑ์  
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 5 พรรคภูมิใจไทย  นายเศวต  เพชรนุ้ย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครคสวรรค์  นางพนิดา  วานิชรัตน์  พาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์  นายคมกฤช  อุทะโก  เกษตรจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับเรื่องร้องเรียน   ซึ่งกลุ่มเกษตรกร ได้ทำหนังสือร้องเรียนใน  เรื่อง ข้าวโพดจีเอ็มโอนำเข้าเสี่ยงจะบ่อนทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่นเกษตรไร่นาไทย     โดยเนื้อหาว่าจากการที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบชพ.) เมื่อวัน

อังคารที่ 10 มิถุนาขน 2568 เวลา 13.00 น. มีมติส่วนใหญ่ให้นำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรม จากอเมริกาได้ในกรอบ 1.0 ล้านต้น ให้อยู่ในมาตรการ 3:1 โดยให้เอกชนเป็นผู้นำเข้าได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และข้าว ที่กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และเป็นผู้สร้างรายได้ต้นน้ำทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งที่ผลผลิตวัตถุดิบหมวดพลังงานในประเทศทั้งหมดมีเพียงพอและอยู่ในสภาวะลิ้นตลาดในปัจจุบัน แต่หลังจากมีการเจรจามาตรการทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าเกิดเงื่อนไขที่เลวร้ายมากขึ้น โดยจะมีการเปิดโอกาศให้นำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมเข้ามาได้ถึง 3.0 ล้านต้น และขังจะให้นำเข้ากากข้าวโพด (DDDGS) อัตราอากรนำเข้าเป็น 0% ในปริมาณ 1.0 ล้านต้น

ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อตกลงโดยไม่สนใจถึงผลกระทบอย่างไร้ความปราณี ไร้ความเท่าเทียมในสังคม แถมด้อยค่าในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติและผู้เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจ ผู้สร้างความมั่นคงทางอาหาร และเป็นผู้ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องทางเศรษฐกิจท้องถิ่นมานับตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ประเทศไทย และเป็นประเทศที่มีพื้มีพื้นที่และภูมิศาสตร์เหมาะกับเกษตรกรรม สุดท้ายเสี่ยงที่จะทำลายความั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว จากสร้างความเหลื่อมลำทางรายได้ การเติบโตของ GDP ที่ไม่เสมอภาคกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่มการวางแผนอย่างเป็นระบบมากกว่า 10 ปี ที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเปิดโอกาสให้นำเข้าเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมจากอเมริกาและวัตถุดิบทดแทนในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่สวนทางกับรัฐบาลของกลุ่มประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ ตัวอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย และออสเตรเลีย ทุกประเทศต่างพยายามปกป้อง ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาอาชีพทำไร่ทำนา รวมถึงเสริมด้านการตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงกับอุดหนุนทางการเงินเพื่อให้ส่งออกไปเข่งขันในตลานตลาดได้ เพราะ ถึงแม้ GDP จากภาคเกษตรไร่นาจะไม่สูง แต่มันคือความมั่นคงของประเทศ เพราะเป็นช่วยรองรับแรงกระแทกจากวิกฤติเศรษฐกิจที่มีต่อภาคอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้ สมาคมการค้าพืชไร่และเกษตรกรชาวไร่ขาวนาไทย ขอให้ผู้ที่ทำกับดูแลตามแนวทางดังต่อไปนี

  1. ยับยั้งการนำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมและ DDGS จากประเทศอเมริกา หรือชะลอ
    ไม่ให้มีการรนำเข้าวัตถุดิบทดแทนจากต่างประเทศ ในสการที่วัตถุดิบหนาดพลังหลัง
    ไทยทั้งหมดยังล้มตลาดอยู่ ไม่ควรนำเข้าวัดถุดิบทดแทนต่างๆในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
  2. กำหนดมาตรการยกระดับราคาผลผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และจากพื้นที่ไร่นาภายในประเทศ ให้เกษตรกรพอมีกำไรในการดำรงชีพเพียงพอต่อการชำระหนี้

  1. สนับสนุนให้โรงงานอาหารสัตว์ไทยพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจองถิ่นและภูมิภาคมากยิ่งขึ้งขึ้น
  2. ไม่เป็นเครื่องมือในการสร้างการค้าผูกขาดให้กับธุรกิจ ปกป้องอธิปไตยทางอาหารและอธิปไตยทางการตลาดพืชวัตถุดิบหมวดพลังง
  3. ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) มีการสำรวจปริมาณข้าวโพดต่อไร่อย่าง โปร่งใส
  4. ให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อในช่วงเวลาผลผลิตกายในประเทศออก และควรรับซื้อมากกว่ากำลังการผลิต 2-3 เท่า
    ซึ่งเบื้องต้น วันพุธ 20 ส.ค. 2568 ทางคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครสวรรค์ จะขอคิวปรึกษาหารือในเรื่องนี้ต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปชช. ร้องสะพานข้ามห้วยบังอี่ “ไร้มาตรฐาน” ขอให้ตรวจสอบผู้รับเหมา-ผู้ควบคุม-ตรวจรับงานบกพร่องหรือไม่

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า ประชาชนในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ได้ร้องเรียนและขอให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามห้วยบังอี่ ระหว่างบ้านโนนสะอาด หมู่ที่ 8 ตำบลหนองแวง ไปบ้านนาสองเหมือง หมู่ที่ 4 ตำบลนากอก อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร

ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมุกดาหาร เริ่มสัญญา วันที่ 9 ตุลาคม 2567 สิ้นสุดสัญญา วันที่ 5 มิถุนายน 2568 งบประมาณ 4,839,000 บาท โดยพบความชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็วหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างที่น่าจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานและกำหนดในสัญญาจ้าง

โดยปรากฏสภาพความเสียหายขอของงานก่อสร้างอย่างชัดเจน ทั้งรอยแตกร้าวขนาดใหญ่บนพื้นผิวคอนกรีต ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณภาพของวัสดุและการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังพบการทรุดตัวของดินบริเวณทางขึ้นลงสะพาน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจรไปมา

ก่อนหน้านี้ ได้มีที่ปรึกษาและกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหาร ลงพื้นที่สอดส่องโครงการดังกล่าว และพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างเช่นกัน

ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสังเกตว่า งานก่อสร้างดังกล่าวไม่น่าจะได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างใกล้ชิดจากผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจรับงาน เนื่องจากสภาพความชำรุดที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และไม่ควรเกิดขึ้นกับสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งสร้างเสร็จ

“เห็นรอยแตกมานานแล้ว แต่ก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติ แต่พอเห็นดินทรุดลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่แบบนี้ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ราวกับว่าผู้รับเหมาทำแบบขอไปที และผู้คุมงานก็ไม่ได้มาดูงานอย่างจริงจังตามหลักวิชาการ”ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว

จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช. , ป.ป.ท. สตง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบคุณภาพของงานก่อสร้างดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมทั้งให้มีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้รับเหมาและผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายและอาจเกิดอันตรายต่อประชาชนสะพานข้ามห้วยบังอี่ #ก่อสร้าง

ไม่ได้มาตรฐาน #คอนกรีตแตกร้าว #ดินทรุด #อันตราย #นิคมคำสร้อย #มุกดาหาร #Mukdahan #ร้องเรียน #โกงหรือไม่ #ทุจริตหรือไม่ #ผู้รับเหมา #ผู้ควบคุมงาน #กรรมการตรวจรับงาน #บกพร่องต่อหน้าที่ #ตรวจสอบ #ความปลอดภัยของประชาชน #กรมโยธาธิการและผังเมือง #กระทรวงมหาดไทย #ปปช #ปปท #สตง #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน