คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปกครอง ตำรวจ สาธารณสุข รวบพ่อค้าลักลอบขายกะท่อม พร้อมของกลางหลายรายการ

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 29 พ.ค. 68 ภายใต้ “ยุทธการเมืองสามอ่าวล้างบางยาเสพติด ” อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้การอำนวยการของนายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ /ผอ.ศอ.ปส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ สั่งการให้ นายสิทธิพร คงหอม นายอำเภอทับสะแก /ผอ.ศป.ปส.อ.ทับสะแกมอบหมายให้ นายทนงศักดิ์ รุ่งรัศมี ปลัดอาวุโสอำเภอทับสะแก พร้อมด้วย พ.ต.ท. ชาญศักดิ์ วงษ์สิงห์ รอง ผกก.สส.สภ.ทับสะแก น.ส.ณุกานดา จันทราภรณ์ สาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) นายฉัตรชัย ค้างาม ปลัดฝ่ายความมั่นคง

พร้อมเจ้าหน้าที่ ร่วมกันจับกุมการกระทำความผิดลักลอบจำหน่ายน้ำต้มพืชกระท่อม บริเวณริมถนนเพชรเกษม ม.7 ต.ทับสะแก จับกุมผู้ต้องหา 1 ราย โดยแจ้งข้อกล่าวหา มีน้ำต้มกระท่อมที่ผลิตไว้เพื่อขายซึ่งบรรจุในบรรจุภัณฑ์ (ขวดพลาสติก) ไม่มีการกล่าวอ้างสรรพคุณว่าส่งผลต่อร่างกาย บำบัด บรรเทาหรือรักษาโรค

โดยยังไม่ผ่านการประเมินความปลอดภัยของอาหารและยังไม่ได้ส่งมอบฉลากให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตรวจสอบอนุมัติก่อนนำไปจัดเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย มียาแก้ไอแผนปัจจุบันไว้จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและขายใบกระท่อมหรืออาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบ หรือส่วนประกอบโดยไม่แจ้งหรือปิดประกาศให้ทราบข้อห้ามขายตาม พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.2566

พร้อมของกลาง
1.ใบกระท่อมสดน้ำหนักรวม 13 กิโลกรัม
2.น้ำต้มใบกระท่อมบรรจุขวดพลาสติกจำนวน รวม 36 ขวด
3.ยาแก้ไอจำนวนรวม 4 ขวด
4.ยาแก้แพั จำนวนรวม 3 ขวด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทับสะแก เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

///////////////////

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สภ.เมืองเชียงราย ผนึกกำลังฝ่ายปกครอง ลุยตรวจเข้ม ตู้คีบตุ๊กตา ป้องกันเป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กและเยาวชน

แชร์เนื้อหานี้

จังหวัดเชียงราย – วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 18.00 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย และ พ.ต.อ.พัสกร ธวัชเชียงกุล ผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.เดชาวัต นาทิเลศ รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย, พ.ต.ท.ฉันทฤทธิ์ เหล่าไพโรจน์จารี รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.เมืองเชียงราย,พ.ต.ท.พีรพจน์ ธุรกิจ รองผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ,พ.ต.ท.กิตติพงษ์ ศรีโท รองผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย, พ.ต.ท.สถาพร มังคลาด สารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.เมืองเชียงราย และ พ.ต.ต.สมชาย พรหมมินทร์ สารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย, น.ส.วาสนา  นัดชัยภูมิ  ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง อ.เมืองเชียงราย,  นายฐิติการณ์  ศิริอิศรานุวัฒน์  นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ สนง.วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย , นายพิชิตพล  ทองเทือก  ครูชำนาญการ  พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนนักศึกษา  พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองเชียงราย นำโดย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ระดมกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบกิจการตู้คีบตุ๊กตา และตู้เกมลักษณะคล้ายกัน ในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวดการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และเพื่อตอบสนองต่อข้อร้องเรียนและความกังวลของประชาชน เกี่ยวกับลักษณะการประกอบกิจการของตู้คีบตุ๊กตาบางแห่ง ที่อาจเข้าข่ายเป็นการพนันแฝง หรือมีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน และเป็นแหล่งมั่วสุม รวมถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม  เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสะดวกซื้อ และแหล่งชุมชนต่างๆ ที่มีการติดตั้งตู้คีบตุ๊กตา โดยเน้นตรวจสอบในประเด็นสำคัญ ได้แก่:
ใบอนุญาตประกอบกิจการ: ตรวจสอบว่าผู้ประกอบการมีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ลักษณะการทำงานของตู้: พิจารณากลไกการทำงานของตู้คีบ ว่าเป็นการใช้ทักษะความสามารถของผู้เล่นเป็นหลัก หรือมีองค์ประกอบของโชคและการเสี่ยงโชคเข้ามาเกี่ยวข้อง จนอาจเข้าข่ายการพนัน
มูลค่าของรางวัล: ตรวจสอบมูลค่าของรางวัลภายในตู้ เทียบกับจำนวนเงินที่ใช้ในการเล่นแต่ละครั้ง
การเข้าถึงของเด็กและเยาวชน: ตรวจสอบมาตรการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการเล่นในลักษณะที่อาจเป็นการมอมเมา
เบื้องต้น จากการตรวจสอบในหลายพื้นที่ พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลและเอกสารเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากพบการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เช่น ไม่มีใบอนุญาต หรือมีลักษณะเป็นการพนัน เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจรวมถึงการตักเตือน, สั่งให้ปรับปรุงแก้ไข, หรือดำเนินการจับกุมและยึดของกลาง แล้วแต่กรณี
พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย กล่าวว่า "การตรวจสอบครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หากพบตู้ใดที่เข้าข่ายการพนัน หรือดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด และขอความร่วมมือผู้ประกอบการทุกรายให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด, ห้ามไม่ให้นักเรียนในเครื่องแบบเข้ามาเล่นหรือใช้บริการ และห้ามไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้ามาเล่นหรือใช้บริการในช่วงเวลาเรียนหรือหลังจากเวลา 20.00 น. โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสังคมและมั่วสุมตามมา" ทั้งนี้ สภ.เมืองเชียงราย, กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองอำเภอเมืองเชียงราย จะยังคงดำเนินการตรวจสอบตู้คีบตุ๊กตาและกิจการในลักษณะคล้ายกันอย่างต่อเนื่อง หากประชาชนมีเบาะแสหรือพบเห็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สภ.เมืองเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 0 5374 4571-2, สายด่วน 191 หรือศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมืองเชียงราย สายด่วน 1567 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการตรวจสอบต่อไป…

สมจิตรแสงบันลังค์ ทีมข่าวบกรายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่รัฐนิวส์ / ธรรมาภิบาลมุกดาหารลงพื้นที่ตลาดอินโดจีน พบราวกันตกเสี่ยงอันตราย เกรงเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหาร (ก.ธ.จ.มุกดาหาร) นำโดย นายอรรครัตน์ รัตนจันทร์ รองประธานคณะกรรมการฯ พร้อมที่ปรึกษาและคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่สอดส่องโครงการก่อสร้างซ่อมแซมและปรับปรุงตลาดอินโดจีน เทศบาลเมืองมุกดาหาร ซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จ

ในการสอดส่องพบปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ โดยเฉพาะบริเวณราวกันตกสแตนเลสชั้นบนของตลาด ที่มีลักษณะไม่มั่นคงแข็งแรง โดยปลายราวกันตกทั้งสองด้านถูกเว้นไว้เป็นช่องว่าง ส่วนช่วงกลางของราวมีลักษณะนูนออก สามารถทำให้เด็กเล็กพลัดตกได้ ขณะที่ด้านล่างของอาคารยังมีเสาปูนพร้อมเหล็กเส้นจำนวนมากโผล่สูงขึ้นมาร่วม 1 เมตร ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงหากเกิดการพลัดตกจากด้านบน

นอกจากนี้ยังตรวจพบว่า ขายึดราวบางจุดไม่มีน็อตยึดติด หรือมีแต่ไม่ได้ขันแน่น และบางจุดน็อตอยู่ในสภาพหักงอ ซึ่งอาจส่งผลให้โครงสร้างพังถล่มได้โดยไม่คาดคิด

กรรมการและที่ปรึกษาฯ เห็นว่าประเด็นดังกล่าวอาจสะท้อนถึงความบกพร่องในการดำเนินการก่อสร้างและการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สภาพสิ่งก่อสร้างดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับประชาชนต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงชีวิต

กรณีดังกล่าวจึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาและกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหารจะได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐและประโยชน์สุขของประชาชนต่อไปมุกดาหาร #คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด #ตลาดอินโดจีน #โครงการก่อสร้าง #ราวกันตกอันตราย #ตรวจสอบความปลอดภัย #สอดส่องภาครัฐ #ประโยชน์สุขของประชาชน #ความปลอดภัยสาธารณะ #กระทรวงมหาดไทย #สำนักนายกรัฐมนตรี​

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / อธิบดี​ DSI​ ห่วงใยประชาชน ชาวอ.รือเสาะ นราธิวาส ที่ประสบปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดิน เร่งอำนวยความยุติธรรม แบ่งสิทธิครอบครอง

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนราธิวาส สาขารือเสาะ ตำบลรือเสาะออก อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ “กรณีเป็นตัวกลางในการประสานงานจดทะเบียนนิติกรรมในที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ของประชาชนหมู่ที่ 8 (บ้านบียห์) ตำบลเรียง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส” นำโดยนายเจตนา เหมมุน ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย ร.ท.ณรงค์ เดชภักดี รองหัวหน้าแผนกฝ่ายความมั่นคง กองปฏิบัติการ สำนักอำนวยการข่าวกรอง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า นายเสถียร เพชรชะ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนราธิวาสสาขารือเสาะ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมจดนิติกรรมในครั้งนี้

ทั้งนี้ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 8 (บ้านบียิห์) ตำบลเรียง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 145 คน ได้เดินทางมายังสำนักงานที่ดินจังหวัดนราธิวาส สาขารือเสาะ เพื่อดำเนินการจดนิติกรรมและออกโฉนดที่ดินสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยและทำกิน ในกรณีที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งมีความครอบครองที่ดินตามเอกสารสิทธิที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่มีข้อพิพาทเรื่องที่ดินมาเป็นเวลา 47 ปี ซึ่งการจดนิติกรรมและออกโฉนดเป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทและยืนยันสิทธิในที่ดินอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงในสิทธิการครอบครองที่ดินและสามารถใช้ที่ดินในการประกอบอาชีพต่อไป

ทั้งนี้ตามที่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้นำความกรณีที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ ที่ชาวบ้านได้มีการร้องขอความเป็นธรรม จากกรณีกลุ่มบุคคลทำการยึดถือครอบครองเอกสารสิทธิที่ดินประเภท น.ส.3 ของตนเองนำไปออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งพบว่าข้อเท็จจริงในเรื่องการขัดแย้งในที่ดินบริเวณที่ร้องเรียนขัดแย้งกันมาตั้งแต่ปี 2521 เป็นเวลานานถึง 47 ปี แล้ว

​​โดยศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยระหว่างกลุ่มผู้ร้องกับกลุ่มผู้ถูกร้อง จนกลุ่มผู้ถูกร้องยินยอมที่จะแบ่งที่ดินให้แก่ชาวบ้านที่ได้ตั้งบ้านเรือนในเขตที่ดินตามเอกสาร น.ส.3 แปลง โดยได้นำรายชื่อชาวบ้านที่เกี่ยวข้องไปจดทะเบียนเป็นชื่อผู้ครอบครองร่วมกับกลุ่มผู้ถูกร้องตามความยินยอมของผู้ถูกร้อง และดำเนินการขั้นตอนการรังวัดสอบสวนสิทธิพิสูจน์การทำประโยชน์ เพื่อออกโฉนดที่ดินเฉพาะราย โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ 2567 ที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวกลางในการจัดทำบันทึกให้ความยินยอมยกสิทธิการครอบครองที่ดินบริเวณนี้ให้แก่ทางราชการเพื่อให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวนี้ โดยผู้ให้ความยินยอมและทายาทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน โดยการดำเนินการของคณะพนักงานสืบสวนจึงเน้นในเรื่องการอำนวยความยุติธรรมและสร้างความสุขความภูมิใจในการมีที่ดินและมีบ้านเป็นของตนเองอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในเรื่องการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้านนายเจตนา เหมมุน ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ชาวบ้านที่เดินทางมาในวันนี้ที่มาในวันนี้ก็ถือว่าเป็นข้อดีที่ได้มาพูดคุยประสานงาน และทางฝ่ายผู้ถูกฟ้องเขาก็จะยินยอมที่จะที่จะยกที่ดินบางส่วน ที่ยังมีข้อพิพาทกันอยู่ให้เพิ่มเติมทั้งหมด 150 แปลงเนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ ซึ่งถ้ารวมตรงนี้แล้ว มีประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ประมาณ 200 กว่าราย ซึ่งแต่เดิมบางรายเขายังไม่มีบ้านเลขที่ คือเขาอยู่ที่เฉยๆแต่ยังไม่มีบ้าน ซึ่งถ้ามีการแบ่งสันปันส่วนออกเป็นเอกสารสิทธิแล้ว ต่อไปเขาจะมีที่ทางอยู่แล้วเขาจะนำหลักฐานตรงนี้ไปออกเป็นเลขที่บ้านเขาก็จะได้รับประโยชน์ผลพลอยได้ของสิทธิประโยชน์ทางราชการก็ตามมา อย่างเช่นน้ำไฟต่างๆก็เพิ่มมาได้

ซึ่งทุกคนที่มาในวันนี้มาใส่ชื่อให้อยู่ใน น.ส.3 ก ของผู้มายกให้รวมเป็นผู้มีชื่อร่วมทั้งหมดโดยหลังจากนี้ก็ได้มีการออกไปรางวัดในพื้นที่แบ่งเป็นแปลงๆ โดยทางคณะพนักงานของเราได้มีการทำแปลงไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าแปลงใครอยู่ตรงไหน ต่อไปก็ลงในพื้นที่ก็สามารถไปรังวัดตามแนวเขตของแต่ละคนที่มีชื่อ คาดว่าแล้วเสร็จคงไม่ถึงปีหน้า โดยทุกคนก็จะมีชื่อมีที่เป็นของตัวเอง และเน้นย้ำว่าการที่เขาได้รับเป็นผู้มีชื่อสิทธิครอบครองตาม น.ส.3 ก ไปนั้นว่าให้ใช้เพื่อทำกินแล้วก็อยู่อาศัย ไม่ได้เอาไปแลกขายหรือขายฝากเอาไปจำนองไม่ได้

นางรออีซ๊ะ บือราฮง กล่าวว่าในนามตัวแทนของชาวบ้านทุกคนขอขอบพระคุณทุกคนที่มาช่วยในตรงนี้ทำให้เราทุกๆคนมีบ้านเลขที่ เพราะการที่จะสร้างบ้านต้องใช้โฉนด เราก็ขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน เพราะก่อนหน้านี่เราลำบากมาก จะขอบ้านเลขที่ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องมีโฉนดให้ถูกต้องตามกฎหมาย และการที่จะให้ลูกเข้าโรงเรียนก็ต้องย้ายชื่อลูกให้ไปเข้าในทะเบียนบ้านอื่นก่อน เพื่อที่จะสามารถให้ลูกได้เรียนหนังสือได้
///////////////
ข่าว/กรียา/นราธิวาส

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชาวชุมพรทวงคืนผืนป่าปลูกปาล์มกว่า 2 หมื่นไร่รัฐเกียร์ว่างปล่อยนายทุนกอบโกยผลผลิตนับพันล้าน ร่วม 10 ปี

แชร์เนื้อหานี้

ชาวชุมพรทวงคืนผืนป่าปลูกปาล์มกว่า 2 หมื่นไร่ หลังหมดสัมปทานนาน 10 ปี แต่รัฐยังเกียร์ว่างปล่อยนายทุนกอบโกยผลผลิตนับพันล้าน โฆษกเผยคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินวุฒิสภา เผย เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง

วันที่ 20 พ.ค.68 จากกรณีที่มีชาวบ้านนับพันคน มารวมตัวกันที่ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้าน หมู่ที่ 13 ตำบลหงษ์เจริญ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร นานกว่า 1 เดือนแล้ว เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมทำกิจกรรมเรียกร้องถึงหน่วยงานรัฐและรัฐบาล จากปัญหาสวนปาล์มหมดสัมปทานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ถูกดองมานานนับ 10 ปี จำนวน 2 แปลง ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุย ในท้องที่ตำบลหงษ์เจริญ เนื้อที่ 7,109 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา และในท้องที่ตำบลรับร่อ เนื้อที่ 16,256 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา รวมกว่า 23,000 ไร่ นั้น

โดยขณะนี้ที่ศาลาอเนกประสงค์ดังกล่าว ยังคงมีตัวแทนและชาวบ้าน สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเข้าเวรยามกันตลอด 24 ชั่วโมง วันละประมาณ 20-40 คน เพื่อมาเฝ้าถนนทางเข้าออกตรวจสอบและแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ หากมีพวก “แก๊งพุงกาง” ลักลอบขนปาล์มออกจากพื้นที่หมดสัมปทาน ซึ่งทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ร่วมมือกันระหว่าง นายทุนจากโรงงานใหญ่ นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล กลุ่มบุคคล และเจ้าหน้าที่รัฐบางคนจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยงข้อง ว่าจ้างแรงงานต่างด้าวเข้าไปลักลอบตัดปาล์มออกมาขายวันละ 100-500 ตัน รวมมูลค่าเดือนละมากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งได้กระทำกันมานานนับ 10 ปีแล้ว กอบโกยกันแล้วมากกว่าพันล้านบาท

ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเกียร์ว่างปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อมานาน จนชาวบ้านสุดทนต้องตั้งกลุ่มจัดตั้งเวรยามคอยตรวจสอบไม่ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้าไปลักลอบเก็บปาล์มขาย และเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินหมดสัมปทานมาบริหารจัดการและจัดสรรให้กับราษฎรไร้ที่ทำกินตามนโยบายของรัฐบาล ตามข่าวที่เสนอมาต่อเนื่องแล้วนั้น นายเศรณี อนิลบล สว.กลุ่ม 6 ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา เปิดเผยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่สวนปาล์มหมดสัมปทานเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อ ป่าสลุย กว่า 2 หมื่นไร่ ทางกรรมาธิการฯ ได้รับการร้องเรียน และได้เชิญ นายกฤษณ์ แก้วรักษ์ ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรจังหวัดชุมพร เข้ามาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการฯ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ว่ากรณีดังกล่าวหมดสัญญาสัมปทานมานาน 10 ปี แต่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย และยังมีการเก็บเกี่ยวผลประโยนช์กันมาต่อเนื่อง ทั้งๆที่ยังไม่มีการต่อสัญญาใหม่แต่อย่างใด

นายเศรณี กล่าวว่า ซึ่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ทางคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา ได้ส่งเรื่องต่อให้ทางคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา นำเข้าที่ประชุมเพื่อดำเนินการต่อ โดยมีเงื่อนระยะเวลาภายใน 30 วัน หลังจากนั้น ทางพลตำรวจโท ยุทธนา ไทยภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดินและคณะฯ จะลงพื้นที่ จ.ชุมพร สอบหาข้อเท็จจริง ที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ของหน่วยงานรัฐ และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ในจังหวัดและในภูมิภาค เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ด้าน นายกฤษณ์ แก้วรักษ์ ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ตนได้ไปให้ข้อมูลต่อ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา โดยนำข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่ตนมีเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ไปมอบให้ แต่ปัญหาดูเหมือนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมป่าไม้ไม่มีความจริงใจ ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมประชุมไม่สามารถพูดหรือตอบคำถามและให้ข้อมูลใดๆได้เลย จึงทำให้เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ จึงฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย

” ปัญหาสวนปาล์มน้ำมันหมดสัมปทานในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ผ่านไป 10 ปี และที่ผ่านมาตนก็ออกมาเรียกร้องทวงคืนผืนป่ากว่า 2 หมื่นไร่ ให้กลับคืนมาให้ชาวชุมพรมาโดยตลอด แต่หน่วยงานรัฐปล่อยปละละเลย ไม่มีการดำเนินการทางกฎหมาย แต่ยังปล่อยให้นายทุนเข้าเก็บผลผลิตกันทุกวัน ทั้งๆที่ไม่สามารถกระทำได้ ” ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรจังหวัดชุมพร

ธนากร โกศลเมธี ภาพ-ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / พ่อ น้องแพน เผย ไม่เคยฟ้องยึดเงินบริจาค 4.8 ล้านบาท ไม่เคยทอดทิ้งลูก

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายเพิน วงค์กระโซ่ พ่อของน้องแพน ผู้ป่วยป่วยเป็นมะเร็งปากเสียชีวิต โดยมีทรัพย์มรดกที่ยังคงเหลือจากการได้รับบริจาคเป็นเงินประมาณ 4.8 ล้านบาท และกลายเป็นประเด็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายยาย กับ พ่อของน้องแพน ในเรื่องการแบ่งปันเงินจำนวนดังกล่าว เปิดเผยกับ ผู้สื่อข่าวว่า ตามที่มีข่าวปรากฏอยูในสื่อต่างๆ ว่า พ่อฟ้องศาล ขอยึดเงินบริจาค 4.8 ล้าน หลังลูกเป็นมะเร็งเสียชีวิต นั้น ไม่เป็นความจริง โดยตนไม่เคยยื่นฟ้องขอยึดเงินบริจาคและไม่เคยยื่นฟ้องคดีใดๆ ต่อศาลเกี่ยวกับเงินบริจาคเลย

“ผมรู้สึกเสียใจที่มีข่าวซึ่งไม่เป็นเรื่องจริงถูกนำเสนอเผยแพร่ออกไปจนทำให้ประชาชนและสังคมเกิดความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง และรู้สึกไม่ดีเกิดดราม่าเคียดแค้นว่าพ่อน้องแพนจะยึดเงินบริจาคทั้งหมด อยากวิงวอนให้สื่อและสังคมเปิดใจรับฟังอย่างปราศจากอคติ ให้เวลาทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสชี้แจงพูดคุยอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ไม่ฟันธงล่วงหน้า ไม่เหยียด ไม่ดร่ามา อยากให้มีคนกลางเข้ามาช่วยให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาใช้ชีวิตอย่างครอบครัวเดียวกั มีความรักใคร่ผูกพันกันเหมือนเดิม อยากวิงวอนขอร้องว่าไม่ควรสร้างกระแสทำให้คนที่เคยอยู่ร่วมกันเกิดความเข้าใจผิดต่อกัน ต้องแตกแยก รังเกียจกัน ไม่มองหน้ากัน จ้องแต่จะหาเรื่องแจ้งความดำเนินคดีกัน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” นายเพลินกล่าว

นายเพิน กล่าวว่า อยากฝากไปถึงยายแจ๋วและน้าเตี้ยว่าทางพ่อไม่เคยคิดอะไรที่เป็นทางไม่ดีหรือมีอคติด้วยเลย มีอะไรที่ไม่เข้าใจอยากให้คุยกันโดยตรงเหมือนกับที่เป็นครอบครัวเดียวกันเคยอยู่ร่วมกันเช่นเดิม ไม่อยากให้ฟังความจากคนอื่นที่ไม่เป็นเรื่องจริงแล้วเอามาใส่ร้ายปักปรำให้เกิดความเข้าใจผิดกันโกรธกัน บางครั้งถ้าผมพูดอะไรผิดไปก็ต้องขอโทษด้วย แต่ในใจผมไม่ได้คิดอะไร แต่เนื่องจากคำพูดที่ว่าพ่อไม่เคยมาดูแลอะไรน้องแพนเลย มันเหมือนกับเป็นคำกล่าวหาที่ทำให้ผมทั้งน้อยใจและโกรธ ซึ่งความจริงยายแจ๋วและน้าเตี้ยก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมก็เลี้ยงดูแลน้องแทนอยู่เช่นกัน เพียงแต่ผมต้องทำงานหาเงินเพราะเรามีฐานะยากจนก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้มีเวลามาดูน้องแพนได้มากนัก อีกทั้งน้องแพนก็เป็นผู้หญิง อายุก็มากแล้วไม่ใช่เด็กหญิงการที่ยายแจ๋วและน้าเตี้ยเป็นผู้ดูแลจึงเป็นเรื่องที่จะสะดวกมากที่สุด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกก็ยังมีเช่นเดิมเหมือนครอบครัวปกติทั่วไป
ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชาวปากช่อง “ค้านเหมืองแร่ดิน”หวั่นมลพิษ-สิ่งแวดล้อมเสียสมดุล

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านตำบลหนองน้ำแดง-ตำบลปากช่อง หมู่2และหมู่14ร่วมฟังประชาพิจารย์ รับฟังความคิดเห็น สัมปะทานบัตร เหมืองแร่ดิน ของบริษัทปูนซิเมนต์ นครหลวง จัดโดยอำเภอปากช่องและอุตสาหกรรมจังหวัดด้านชาวบ้าน รวมตัวออกมาคัดค้านการก่อสร้าง เหมืองแร่ดินดังกล่าวหวั่นกระทบสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตทางการเกษตร ผลไม้และทำลายแหล่งการท่องเที่ยวชุมชนอีก

ทั้งโครงการดังกล่าวสร้างกลางชุมชนหวั่นมลพิษและการสัญจรของเยาวชน-ประชาชนจะได้รับอันตราย เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาทางอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับอำเภอปากช่อง ผู้นำชุมชนและตัวแทนจาก บริษัทปูนซิเมนต์ นครหลวง จำกัด(มหาชน) ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านหมู่ที่2และหมู่ที่14ขึ้นภายในหมู่บ้านบริเวณศาลาประชาคมเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อประธานบัตรก่อสร้างเหมืองแร่ดินของบริษัทปูน ซิเมนต์ นครหลวง จำกัด บริเวณพื้นที่ 105ไร่ 1งาน 86ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่2 ตำบลน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

โดยเป็นการขอประธานบัตรทับพื้นที่ประธานบัตรเดิมเลขที่28811/15999 ที่เคยได้รับอนุญาตและปัจจุบันสิ้นอายุแล้ว แล้วพื้นที่ขอประธานบัตรที่2/2567ทั้งแปลง อยู่ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของ บริษัท ได้แก่ โฉนดเลขที่ 20455 เลขที่ดิน7ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยโครงการทำเหมืองแร่ดินอุตสาหกรรม ชนิดดินซิเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ นครหลวง จำกัด(มหาชน)จะทำ โดยวิธีเหมืองเปิด (open pit) ตลอดอายุโครงการ 5ปี และได้ยื่นขอต่อประธาน การทำเหมืองต่ออุตสาหกรรมจังหวัด

เป็นที่มาของการนำเสนอข้อมูลประชาพิจารณ์ให้กับชาวบ้านในครั้งนี้ ทางด้านกลุ่มชาวบ้าน ประกอบด้วย นายวิรัตน์ กล้าหาญ นายมนตรี สุดโต นางสาว สาววิต ศรีมงคล แล้วนาย สวิล คงแคลง ชาวบ้านตำบลหนองน้ำแดง หมู่2 ได้ออกมาให้ความเห็นว่าพื้นที่ก่อสร้างเหมืองแร่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับวัดและกลางชุมชนที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า 500 ครัวเรือนแล้วมีการปลูกพืช อาทิ แก้วมังกร ทุเรียน อโวคาโด้ น้อยหน่า เป็นจำนวนมากอีกทั้งบริเวณโดยรอบเหมืองยังมีการลงทุนของนักลงทุนทำธุระกิจการท่องเที่ยวโรงแรมและรีสอร์ทจำนวนมากเป็นชุมชนเกษตร และการท่องเที่ยว

หากเหมืองแร่มาทำการก่อสร้างจะทำให้เกิดมลภาวะด้วยสิ่งแวดล้อมอาทิ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณรัศมี 5กิโลเมตรการสัญจรจะยากลำบากเพราะมีรถบรรทุกวิ่งเข้าออกวันละเกือบ100เที่ยว/วัน อีกทั้งมลพิษจากฝุ่นจะทำให้เกิดผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตร น้ำบาดาลใต้ดินที่ทางบริษัทปูนซิเมนต์จะเจาะลึกลงไป15-20เมตร จะส่งผลต่อน้ำใต้ดินของชาวบ้านทิศทางน้ำอาจจะเปลี่ยนได้ ดังนั้นชาวบ้านส่วนไหญ๋จึงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างเหมืองแร่ดินของบริษัทในครั้งนี้และวิงวอนขอให้บริษัทหยุดก่อสร้างโครงการดังกล่าวเพื่อเก็บป่าพื้นนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไปทางด้าน ดร.เรืองเกียรติ สุวรรโณภาส อ.มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านแห่งนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมกับชาวบ้านร่วมกันคัดค้านโครงการนี้ตั้งแตเดือนมกราคม 2568

ได้นำชาวบ้านไปยื่นหนังสือต่อผูว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาทนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ที่ศูนย์ดำรงธรรม และสำนักงานอุตสาหดรรมจังหวัดนครราชสีมา เพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว และเป็นที่มาการเสนอโครงการทำประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ซึ่งตนได้ทำการยื่นหนังสือการคัดค้านต่อปลัดอำเภอปากช่อง และนายภพธรรม สุนันธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานสิทธิมนุษยชน พื้นที่ภาคคะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ว่าชาวบ้านไม่สนับสนุนโครงการนี้ เพราะจะให้โทษมากกว่าผลดีต่อขุมชนโดยรอบและตนจะยื่นหนังสือต่อ สส.และกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม ต่อไป.

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / เด็กปอเนาะตะห์ฟิซพร้อมชาวบ้านทอนรวมตัวเดินรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงหลังผู้ก่อความไม่สงบวางระเบิดทำร้ายผู้บริสุทธิ

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 1 พฤษภาคม 2568ที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านทอน ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เด็กนักเรียนจากสถาบันการศึกษาปอเนาะตะห์ฟิซฮีดายาตุลกรุอ่าน พร้อมด้วยชาวบ้านในพื้นที่ประมาณ 200 คน ต่างพร้อมใจกันเดินขบวนเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านการใช้ความรุนแรง หลังผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณริมกำแพงถนนหลังสถานีตำรวจภูธรโคกเคียน

ในเขตพื้นที่บ้านทอนฮีเล ม.10 ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย ทรัพย์สินทางราชการได้รับความเสียหาย ส่งผลทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการก่อเหตุความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อเด็กซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับความเดือดร้อน จึงออกมาแสดงพลังเพื่อประนามการกระทำที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้การเดินขบวนต่อต้านการใช้ความรุนแรงในครั้งนี้เพื่อเรียกร้องความสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ และประกาศเจตนารมณ์รวมพลังต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบโดยพร้อมใจกันชูป้ายข้อความอาทิ พลังประชาชนปฏิเสธความรุนแรง อยากให้ภาคใต้สงบสุข หยุดเถอะความรุนแรง Stop หยุดสร้างสถานการณ์ในตำบลโคกเคียน เสียงระเบิดซ้ำเติมเศรษฐกิจชาวบ้าน และหนูผิดอะไรทำไมต้องระเบิดใส่หนู แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการยุติการใช้ความรุนแรง และหาทางออกด้วยสันติวิธี สื่อไปยังผู้ก่อความไม่สงบ ให้ยุติการก่อเหตุซ้ำ

ด้าน ด.ช.อับดุลเล๊าะห์ นุ้ยประเสริฐ กล่าวว่า ตอนนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์และกำลังจะไปทานข้าวที่บ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับสภ.โคกเคียน ซึ่งตอนนั้นรู้สึกตกใจมากที่ เกิดเหตุระเบิดขึ้นรู้สึกเสียใจว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับพวกเรา และอยากให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สุดท้าย ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ไหนก็ตาม

จากนั้น ร.ต.อ.สายเจต เสือย้อย ผบ.ร้อย ฉก.ตชด. 934 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ในสังกัดและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉก.ตร.นราธิวาส 93 ได้ร่วมกันมอบดอกไม้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเด็กนักเรียนในครั้งนี้ด้วย
///////////////
ข่าว/อาอีซะห์/นราธิวาส

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /กอ.รมน.จ. ส.ท. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย ในพื้นที่ อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย

แชร์เนื้อหานี้

ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 68 เวลา 0930 พ.อ.พิทยา ราชะพริ้ง รอง ผอ.รมน.จังหวัด ส.ท. (ท.) พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัด ส.ท. ร่วมกับ นายบุญส่ง ชำนาญเสือ นายก อบต.นาเชิงคีรี และ นายสายชล ถึงเป้ ผู้ใหญ่บ้าน ม.1 ต.นาเชิงคีรี ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบวาตภัย ในพื้นที่ ม.1 ต.นาเชิงคีรี อ.คีรีมาศ จว.ส.ท. ซึ่งได้รับผลกระทบ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 68 เวลา 1620 ที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบฯ และพร้อมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือ,ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
กิตติ พรดวงจันทร์ สุโขทัย

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / รมต.ยุติธรรม เร่งปรับกฎหมายสร้างคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหลังถูกปล่อยตัว/”โจรมุกดาหาร” ลักหัวจ่ายน้ำทองเหลือง – ถังดับเพลิง ร่วม 20 ตู้ ในตลาดอินโดจีน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 28 เมษายน 2568​ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตามโครงการ ครม.สัญจร ที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่และการฝึกอาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำ

และได้กล่าวเน้นย้ำว่า ความยุติธรรมในกระบวนการศาลไม่ใช่จุดสิ้นสุด จุดสิ้นสุดที่แท้จริงคือชุมชน เรือนจำควรเป็นสถานที่สร้างคน เพื่อให้คนสร้างชาติ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมจะเร่งปรับปรุงกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวสามารถมีงานทำ มีอาชีพ และใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเร่งปรับปรุงกฎหมาย #เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

“โจรมุกดาหารอาละวาดหนัก” ลักหัวจ่ายน้ำทองเหลือง – ถังดับเพลิง ร่วม 20 ตู้ ในตลาดอินโดจีน

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า ประชาชนที่ไปออกกำลังกายบริเวณริมเขื่อนแม่น้ำโขงหน้าตลาดอินโดจีนมุกดาหาร เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร ได้สังเกตเห็นว่าตู้เก็บอุปกรณ์ดับเพลิงซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารชั้นใต้ดินตลาดอินโดจีนมุกดาหารมีอุปกรณ์หัวจ่ายน้ำและถังดับเพลิงได้หายไปจากตู้คาดว่าจะถูกคนร้ายลักลอบมาลักเอาไป

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำรวจดูที่ตลาดอินโดจีนชั้นใต้ดินตามที่ได้รับแจ้งพบว่า มีตู้อุปกรณ์ดับเพลิงตั้งอยู่ภายในบริเวณชั้นใต้ดินจำนวน 20 ตู้ เมื่อสังเกตดูภายในตู้ซึ่งตามปกติจะประกอบด้วย วงล้อสายดับเพลิง , ถังดับเพลิง , หัวจ่ายน้ำดับเพลิง

หัวปิดฝาจ่ายน้ำดับเพลิง วาล์วก๊อกน้ำ และถังดับเพลิง ปรากฏว่าอุปกรณ์ภายในตู้หายไปโดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ทำด้วยทองเหลือง อาทิ หัวจ่ายน้ำดับเพลิง และหัวปิดฝาจ่ายน้ำดับเพลิง และบางตู้เหลือแต่วงล้อสายดับเพลิงกับท่อแป๊บน้ำเท่านั้น นอกนั้นอุปกรณ์ภายในหายไปหมด โดยความเสียหายน่าจะมีมูลค่านับแสนบาท

ขณะที่ประชาชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุโจรกรรมทรัพย์สินของทางราชการซึ่งอยู่ในอาคารสาธารณะกลางเมืองมุกดาหารเกิดขึ้นบ่อยและอุกอาจมาก ไม่เกรงกลัวว่าถูกเจ้าหน้าที่จับดำเนินคดี ลักขโมยสิ่งของในที่สาธารณะราวกลับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุแล้วก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองเข้ามาดำเนินการใดๆ

ในเรื่องดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ก็มีเหตุลักตัดสายไฟจำนวนมากในตลาดอินโดจีนชั้นใต้ดิน และครั้งนี้ก็เกิดเหตุการณ์ลักอุปกรณ์ดับเพลิงจำนวนมากขึ้นอีก ซึ่งสร้างความวิตกกังวลถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตเทศบาลเมืองมุกดาหารเป็นอย่างมาก

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ ​โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​