คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตร.น้ำชุมพร ส.รน.1 กก.6 บก.รน. ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย ลอยคอกลางทะเล / กุ้งหอยปูปลาตัวใหญ่ๆ ลอยเกลื่อนหาดทุ่งวัวแล่น ชุมพร

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 8 มิถุนายน 2568 เวลา 06.00 น. ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์สายด่วน 1196 จากศูนย์นเรนทรชุมพร ว่า ศูนย์นเรนทรชุมพรได้รับแจ้งจากนายสุชาติ ชุมแสง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.ท่ายาง อ.เมือง จ.ชุมพร ว่า นายนพพร อนุญาต อายุ 53 ปี เจ้าของเรือโชคพรเจริญ ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน

พบผู้ได้รับบาดเจ็บว่ายน้ำเกาะลังน้ำแข็งอยู่ที่บริเวณเกาะสาก ข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าเกิดเหตุเรือชนกัน จึงได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ เพื่อขอความช่วยเหลือ


ตำรวจน้ำชุมพร โดย พ.ต.ต.วสุ บัวจีน สว.ส.รน.1 กก.6 บก.รน. พร้อมด้วย ร.ต.ต.สมศักดิ์ ต่ายเมือง รอง สว.(ป.ทางน้ำ) ส.รน.1 กก.6 บก.รน. ผค.เรือ 532 สันติราษฎร์ พร้อมตำรวจประจำเรือรวม 5 นาย นำเรือ 532 สันติราษฎร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพเทศบาลตำบลท่ายาง ออกให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย เกาะสาก ต.หาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร

เมื่อไปถึงพบ นายประทีปฯ อายุ 69 ปี อาการที่พบเบื้องต้นขาหัก มีแผลถลอก มีสติปลุกตื่น สื่อสารได้ แพทย์ฉุกเฉินได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น และเรือตรวจการณ์ 532 นำตัวผู้ป่วยกลับเข้าฝั่งเพื่อนำส่งโรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทำการรักษาต่อไป

จากการสอบถามนายประทีปฯ อายุ 69 ปี เล่าว่าได้ออกเรือมาหาปลาขณะทีลอยลำทำการประมงอยู่นั้น ไม่ทราบเรือชนิดใดเข้ามากระแทกเรือของตนจนทำให้เรืออับปางจึงได้คว้าถังน้ำแข็งลอยคออยู่จนเช้าและในเวลาต่อมา เห็นเรือโชคพรเจริญเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้

พ.ต.ต.วสุ บัวจีน สว.ส.รน.1 กก.6 บก.รน. จากกรณีพบผู้ได้รับบาดเจ็บว่ายน้ำเกาะลังน้ำแข็งอยู่ที่บริเวณเกาะสาก ห่างจากฝั่ง 5ไมล์ทะเล (11กิโลเมตร) ข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าเกิดเหตุเรือชนกัน จึงได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ เพื่อขอความช่วยเหลือ จึงนำเรือ 532 สันติราษฎร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพเทศบาลตำบลท่ายาง พบชาวประมง 1ราย ถูกเรือกระแทกจนเรือเรืออับปาง ลอยคออยู่กลางทะเล นานกว่า 3 ชั่วโมง นายประทีปฯ อายุ 69 ปี ทำการช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย

กุ้งหอยปูปลาตัวใหญ่ๆลอยเกลื่อนหาดทุ่งวัวแล่นชุมพร
วันที่ 8 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน จากกรณี คืนวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เวลา 21.30 น นายวัชรินทร์ สุวพิศ ปลัด อบต.สะพลี หัวหน้าชุดกู้ภัยทางน้ำจังหวัดชุมพร ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดปรากฎการณ์แพลงก์ตอนบลูม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ปรากฏการณ์ปลาตายน้ำแดง” บริเวณหาดทุ่งวัวแล่น หมู่ที่ 8 ต.สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร จึงเดินทางไปตรวจสอบ พบสัตว์ทะเลเป็นจำนวนมากกำลังว่ายวนเวียนอยู่บริเวณชายฝั่ง มีบางส่วนถูกคลื่นซัดขึ้นมาตายบนชายหาด มีชาวบ้านที่ทราบข่าวเดินทางไปจับมาประกอบอาหารกันเป็นจำนวนมาก

จากการตรวจสอบน้ำทะเล พบว่ามีสีค่อนข้างใส ไม่ปรากฏว่ามีการเกิดและแพร่ขยายของแพลงก์ตอน ส่วนน้ำทะเลมีรสชาติเค็มเล็กน้อยสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจมีน้ำจืดบนฝั่งไหลลงสู่ทะเลค่อนข้างมากในช่วงนี้ เนื่องจากมีฝนตกหนักในพื้นที่ ประกอบกับเป็นช่วงที่ลมตะวันตกเฉียงใต้ หรือลมบกพัดจากฝั่งออกสู่ทะเล ทำให้คลื่นลมค่อนข้างเรียบ การแลกเปลี่ยนออกซิเจนเกิดขึ้นน้อยลง จึงทำให้เกิดผลกระทบกับสัตว์น้ำบริเวณริมชายฝั่ง

นายวัชรินทร์ สุวพิศ กล่าวว่า “ปรากฎการณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดแพลงก์ตอนบลูมตามมาในภายหลัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการเปลี่ยนสีของน้ำทะเลแต่อย่างใด หากมีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจหาค่าออกซิเจน หรือหาความเค็มของน้ำ น่าจะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง” เมื่อคืนประมาณสามทุ่มได้รับแจ้งจากเครือข่ายพี่น้องประชาชนบริเวณหาดทุ่งวาแลนด์มีปรากฏการณ์ปลาใต้น้ำแดงหรือภาษาราชการเค้าเรียกว่าแพลงก์ตอนบลูม เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ที่มีฝนตกมากน้ำจืดก็จะไหลลงทะเลแล้วก็พาตะกอนไปด้วยจะเกิดแพลงก์ตอนบลูมเป็นสัตว์น้ำประเภทหนึ่ง เป็นแพลงก์ตอนบลูม สีน้ำเงินถ้ามีเยอะเยอะจะทำให้ระบบหายใจของสัตว์น้ำเสียแพลงก์ตอนบลูม

พวกนี้จะมีอายุไม่กี่วันหลังจากตายออกซิเจนในน้ำก็จะหมดไปจากการตรวจสอบวันนี้น่าจะเป็นความเข้มของน้ำทะเลมีความเค็มลดน้อยลงไปมากคิดว่าคงจะยังไม่เป็นแพลงก์ตอนบลูมจากการชิมน้ำทะเล คล้ายๆเป็นน้ำกร่อยปรากฏการณ์นี้น่าจะเป็นปลา น็อคน้ำจืดมากกว่าเพราะว่าน้ำทะเลยังไม่เปลี่ยนสียังไม่มีปรากฏการณ์น้ำทะเลสีเขียวยังไม่มีแต่หลังจากนี้คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นเพราะจะเกิดขึ้นเป็นประจำของจังหวัดที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลในกรณีที่หน้าฝนกลางวันจะมีแดดค่อนข้างแรงก็จะเกิดปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม ในครั้งนี้ปรากฏการณ์ก็มีปลาตายไม่มากส่วนใหญ่ก็ยังมีแรงว่ายน้ำอยู่ส่วนชาวบ้านที่ทราบข่าวก็ใช้อุปกรณ์มาจับปาซึ่งปลาที่ตายไม่น่าจะเป็นอันตรายซึ่งยังไม่เกิดปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม เมื่อคืนนี้ประชาชนเข้ามาที่ทะเลจำนวนมากแต่ปลาค่อนข้างที่จะน้อยกว่าปีที่แล้วในปีก่อนมีเยอะมากกว่านี้

และจะตายทั้งหมดเพราะเป็นแพลงก์ตอนบลูม ส่วนครั้งนี้ปาลก็ยังมีชีวิตเข้ามาว่ายในน้ำตื้นช่วงนี้มันเป็น ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ชายฝั่งตะวันออกด้านอ่าวไทยชาวประมงจะเรียกลมในคือลมที่พัดออกจากฝั่งสู่ทะเลทำให้คลื่นฝั่งทะเลตะวันออกเป็นคลื่นเรียบ ไม่มีคลื่นเพราะฉะนั้นการแลกเปลี่ยนของน้ำกับออกซิเจนในอากาศที่มันเกิดจากเป็นคลื่นซัดเป็นฝอยปะทะในอากาศก็จะน้อยลงออกซิเจนที่เข้ามาช่วยเติมในน้ำแทบจะไม่มีจึงทำให้ปลาอาจจะน็อคน้ำเพราะ

ขาดออกซิเจนปริมาณออกซิเจนของปลาใช้ไม่เพียงพอเพราะในช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงฤดูฝนจังหวัดชุมพรก็มีฝนตกหนักมาสองสามวันแล้ว จึงได้ประสานกรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่งนำน้ำไปไปตรวจสอบในจุดดังกล่าวในเมื่อคืนนี้เกิดขึ้นในสองพื้นที่ในหาดทุ่งวอแลนด์แล้วก็หาดสะพีลมีน้ำจืดที่เกิดจากฝนตกหนักลงทะเลจำนวนมาก เป็นเหตุให้ปลาน็อคน้ำได้เพราะน้ำปกติจะเป็นน้ำเค็ม

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 081-892-3514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พิธีเทคอนกรีตเชื่อมสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 คาดใช้ได้ปลายปี 68 จังหวัดบึงกาฬ

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 6 มิถุนายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ราชอาณาจักรไทย และ นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ร่วมเป็นประธานพิธีเทคอนกรีตเชื่อมสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ราชอาณาจักรไทย นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ราชอาณาจักรไทย นายงามปะสง เมืองมะนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง

สปป.ลาว ผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล ราชอาณาจักรไทย และผู้บริหารระดับสูง สปป.ลาว พร้อมกลุ่มข้าราชการ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธี โดยมีนายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ ประชาชน และสื่อมวลชน ให้การต์้อนรับ ณ บริเวณพิธีเทคอนกรีตเชื่อมสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ที่ก่อสร้างข้ามแม่น้ำโขง ระหว่างจังหวัดบึงกาฬ กับเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว โดยถือฤกษ์วันที่ 6 มิ.ย.2568 หรือ วันที่ 6 เดือน 6 ปี คริสศักราช 2025 เป็นวันทำการเชื่อมสะพาน และคาดว่าจะสามารถเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปลายปี 2568

สำหรับสะพานแห่งนี้ เชื่อมกับถนนหมายเลข13 ในฝั่ง สปป.ลาว เพื่อให้สอดคล้องกับโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงกับประเทศเวียดนาม การคมนาคมขนส่งระหว่างสองประเทศ ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านการขนส่งสินค้า และการสัญจรของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และยังเป็น

ส่วนหนึ่งของโครงการด้านการขนส่งภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation: GMS) และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง ((Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยง 5 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา ไทย สปป.ลาว เวียดนาม และกัมพูชา อย่างต่อเนื่อง และมั่นคง

โดยใช้งบประมาณก่อสร้าง 3,930 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายวงเงินรวม 2,630 ล้านบาท ให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อดำเนินงาน ประกอบด้วย 1. งานถนน ทางเลี่ยงเมืองระยะทาง 12.083 กม.และอาคารด่านพรมแดนฝั่งไทย วงเงินค่าก่อสร้าง 1,766 ล้านบาท ค่าควบคุมงาน 53 ล้านบาท รวม 1,819 บาท ส่วน สปป.ลาวรับผิดชอบค่าใช้จ่ายรวม 1,300 ล้านบาท เป็นค่าก่อสร้างสะพานและถนนในฝั่งลาว 2.86 กม. ซึ่ง สปป.ลาว ได้ขอกู้เงินจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) หรือเนด้า

ภาพ/ข่าว ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล จ.บึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตลาดช่องสะงำเงียบเหงา หลังมีประกาศปรับวันเวลาปิด-เปิด ด่านใหม่ ด้านพ่อค้า โวย ได้รับผลกระทบขาดรายได้ สินค้าค้างสะต๊อก

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีประกาศทางหทารว่าให้มีการปิด หรือ ปรับวันเวลาเข้าออกด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ในหลายพื้นที่ ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษ ก็เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีด่านถาวร คือ ด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูมิสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยตามประกาศได้มีการปรับวันและเวลา เปิด-ปิด คือจากเดิมจะเปิด-ปิด ทุกวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึงเวลา 22.00 น. โดยให้คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pass สินค้าตามระเบียบศุลกากร ยานพาหนะผ่านได้ตามระเบียบขณะที่ประกาศตัวใหม่ ให้ด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ เริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 08.00 น. ปิดเวลา 15.00 น. ซึ่งจะเปิด-ปิดด่านแค่วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เพียงเท่านั้น โดยจะให้คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pas จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย งดการส่งออกสินค้าเพื่อการก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ ยานพาหนะ ผ่านได้ตามระเบียบ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล โดยให้ปิดจุดผ่านแดน เมื่อมีการปะทะ บริเวณพื้นที่ชายแดน

***ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 8 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปสำรวจที่หน้าด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ พบว่าบรรยากาศทรี่ฝั่งไทยเงียบเหงา มีเพียงทหาร และเจ้าหน้าที่ประจำด่านค่อยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เพียงเท่านั้น ส่วนประตูที่เคยเปิดให้ชาวกัมพูชา และชาวไทย ได้เข้าออกเพื่อไปซื้อหาสินค้าถูกปิดลง แต่ที่ฝั่งกัมพูชา จะเห็นได้ว่ามีชาวกัมพูชามายืนดูยืนค่อยที่หน้าด่านกันหลายคนพอสมควร และยังขับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ขับไปรถมาอยู่ตลอดเวลาภายในด่านฝั่งกัมพูชา

***ต่อมาผู้สาอข่าวได้เดินทางไปสำรวจตลาดช่องสะงำ (ที่อยู่ฝั่งไทย) ที่ห่างจากด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ ประมาณ 3 กิโลเมตร โดยปกติวันนี้(วันอาทิตย์) และวันพฤหัสบดี จะมีตลาดนัด มีพ่อค่าแม่ค้า และชาวไทยและชาวกัมพูชา เข้ามาจับจ่ายซื้อของอุปโภค บริโภค กันคึกคัก พอไปถึงพบว่าตลาดช่องสะงำ จุดดังกล่าวปิด ไม่มีพ่อค้าแม่ค้ามาเปิดร้านขายของเหมือนดังเดิม โดยผู้สื่อข่าวได้พบกับ นายสมเกียรติ พงษ์เมือง อายุ 45 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในพ่อค้าที่มาเปิดร้านค้าผลไม้อยู่ที่ตลาดแห่อยู่เป็นประจำ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ปกติทุกวันพฤหัสบดี กับวันอาทิตย์ตน ตนจะขึ้นมาเปิดร้านขายของที่ตลาดนี้เป็นประจำทุกนัด แต่มาวันนี้ตนขับรถมาถึงตลาด โดยไม่รู้ว่ามีการปิดด่าน พบมาถึงก็งงทำไม่มีคนเข้ามาซื้อขายสินค้าเลย โดยปกติตลาดแห่งนี้จะมาพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนเข้ามาเลือกซื้อและแลกเปลี่ยนสินค้าภายในตลาด ถ้าโดยปกติแล้วประมาณ 07.00 น.จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายสินค้าและมีประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา เข้ามาเลือกซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก

แต่มาวันนี้ตลาดปิดเงียบไม่มีคนเข้ามา หลังจากนี้ตนก็จะต้องกลับบ้านไปหาเร่ขายตามหมู่บ้าน และไม่รู้ว่าจะขายหมดหรือไม่ ตนใช้เงินในการลงทุนในแต่ละรอบก็เยอะ ในใจตนไม่อยากให้ปิดด่านเลยเพราะตนต้องทำมาหากินและมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพในแต่ละวัน ตนอยากฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยากให้ค่อยพูดค่อยจากันถอยหลังคนละก้าว อยากให้ทั้งสองฝ่ายรักกันเหมือนเดิม ถ้ามาทะเลาะกันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

***ด้าน นางสาวคำแก้ว สีอุดอน อายุ 40 ปี เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกค้าที่จะมาหาซื้ออาหารทะเลและของสดทุกอย่างเป็นประจำทุกนัดวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์เพื่อไปขายต่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรานำไปขายต่อจะมาซื้ออยู่ที่ตลาดแห่งนี้ พอมาวันนี้มีการประกาศปิดด่านพ่อค้าแม่ค้าไม่มาขาย วันนี้เท่ากับว่าตนมาจับจับปลามือเปล่าไม่มีอะไรกลับไปขายต่อเลย ตนได้รับผลกระทบหลายอย่าง ทำให้ตนต้องขาดรายได้ ตนอยากให้ทั้ง 2ประเทศตกลงกันคุยกัน หาทางออกที่ดีร่วมกันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้

***ขณะที่ นายอิสระ บัวขันธ์ อายุ 46 ปี เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในการส่งสินค้าให้กับประเทศกัมพูชา วันนี้ตนได้สั่งสินค้าเข้ามาตามเต็มคันรถ ซึ่งเป็นสินค้าที่นำมาขายให้ลูกค้า และสั่งมาตามรับออเดอร์ที่ทางลูกค้าฝั่งกัมพูชาสั่งมา พอมาวันนี้มีการประกาศปิดด่านฉุกเฉิน ทำให้ตนตั้งตัวไม่ทันสินค้าหรืออาหารสดที่สั่งมาเป็นจำนวนมากนั้นตนกลัวว่าจะเกิดความเสียหาย ตนขอฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าถ้าจะมีการปิดด่านฉุกเฉินแบบนี้อยากให้แจ้งหรือมีกำหนดวันเวลาล่วงหน้าที่ชัดเจนก่อน

พอที่จะได้ว่างแผนรับมือได้ เราไม่ได้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทุกวันนี้ประชาชนทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งหรือพูดจาที่รุนแรงเพราะต่างฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ที่มากไปกว่านั้นคือประชาชนทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ทางด้านครอบครัว บางครอบครัวทั้งสองประเทศลูกหลานไปแต่งงานเป็นดองกัน ทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยทำให้ประชาชนไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติสุขอยู่แล้ว พอมามีเรื่องขัดแย้งระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปมาหาสู่กันยากลำบาก แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินมีการสู้รบกันจริงๆตนก็พร้อมที่จะรับมือ แต่ในใจลึกๆก็ไม่อยากให้เกิดอยากให้คุยกันตกลงกันแบบสันติวิธี
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

นายด่าน แจงปม กัมพูชาซื้อเกลือไทยไปให้ทหารกัมพูชาในป่า กว่า 2 พันตัน เบื้องต้นไม่จริง วอนอย่าปันข่าวให้ชาวบ้านแตกตื่น จนเป็นปัญหาระหว่างประเทศอีก

***จากกรณีที่มีข่าวออกมาว่าชาวกัมพูชาแห่มาซื้อเกลือที่ฝั่งไทย ทางด่านช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมาซื้อไปกว่า 2,800 กว่าต้น เพื่อเอาไปให้ทหารกัมพูชาดำรงชีวิตในป่า ล่าสุด นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลการกรช่องสะงำ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องดังกล่าวที่ออกข่าวไปว่ามีการส่งออกเกลือถึง 2,800 กว่าต้น ให้กับทางกัมพูชานั้นไม่เป็นความจริง ข่าวที่นำเสนอไปนั้นเป็นภาพรวมทั้งเดือน พฤษภาคม 68 ไม่ใช่เป็นวันเดียว ซึ่งภาพรวมปกติไม่ได้มีการกักตุนสินค้าแต่อย่างใด เป็นการส่งออกทุกเดือนตั้งแต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องชายแดน

จนถึงวันนี้ ยังคงมียอดส่งออกปกติ ไม่ได้มียอดกระโดดสูงหรือมีบริมาณส่งออกมากจนผิดปกติ โดยสิ่งของที่ส่งออกตอนนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภค เช่น น้ำผลไม้ นมถัวเหลือง เกลือ ซึ่งภาพที่ออกไปนั้นเป็นเมื่อวาน (6 มิ.ย. 68) จริงตนก็อยู่ในวันนั้นซึ่งเป็นภาพรายงานในแต่ละวันไม่รู้ว่าผู้สื่อข่าวนำมาจากแหล่งไหน โดยการส่งออกเกลือในวันนั้นมีไม่กิโลกรัมเองซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการส่งออกในรอบวัน มีเพียงหนึ่งคันรถเท่านั้น และเป็นการซื้อขายส่งออกระหว่างภาคเอกชนตามปกติ ไม่ใช้ของทหารมาซื้อ หรือ ใครมาซื้อไปให้หทารแต่อย่างใด เพราะจริงๆแล้วห่างออกไปจากด่านถาวรช่องสะงำ ไม่ไกลจะมีตลาดขนาดใหญ่ คือ ตลาดอลเวง ที่เป็นตลาดรองรับสิ่งค้าต่างจากประเทศไทย

***นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลการกรช่องสะงำ กล่าวต่อไปว่า ส่วนบรรยากาศภาพรวมหน้าด่าน ร่วมถึงการส่งออกที่หน้าด่าน ตอนนี้ยังคงสงบสุขดี ยังมีการเปิดด่าน และมีการส่งออกสิ่นค้าตามปกติ แต่ปริมาณคนเข้าออกระหว่างประเทศนั้นลดลงกว่าปกติถึง 30-40 % เนื่องจากมีความกังวลถ้าผ่านด่านเข้ามาแล้วอาจจะมีการปิดด่านกะทังจนไม่สามารถกลับไปยังประเทศไม่ได้ ส่วนกำลังทหารนะตอนนี้ที่หน้าด่านพรมแดนยังไม่มีการเสริมกำลังเข้าไปในหน้าด่านแต่อย่างใด เพราะตนคิดว่าทางทหารก็อยากจะทำให้ทางหน้าด่านดูสงบปกติ ส่วนแนวโน้มเรื่องการปิดด่านตอนนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งแจ้งให้ปิดด่านแต่อย่างใด
***ทั้งนี้ หาก สื่อมวลชนหรือท่านใด อย่างจะทราบข้อเท็จจริง หรือนำไปเสนอข่าวให้สอบถามข้อมูลหรือข้อเท็จจริงก่อน สามารถเข้ามาสอบถามหรือโทรศัพท์สายตรงมาสอบถามกับนายด่านศุลการกรได้ทุกเมื่อ เพราะการที่เอาข้อมูลหรือภาพไปนำเสนอที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ข่าวที่ออกไปอาจจะทำให้พี่น้องประชาชน เกิดความแตกตื่นหรือเข้าใจผิดได้ และจะให้เกิดผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประเทศไทยได้
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พิธีเปิดประมูลหมายเลขทะเบียนรถ(เลขสวย) ครั้งที่ 6 หมวดอักษร กท “ การงานก้าวหน้าการค้ามั่งมี เศรษฐีทวีทรัพย์” จำนวน 301 หมายเลข

แชร์เนื้อหานี้

นนี้ 7 มิถุนายน 2568 นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีเปิดจัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถ(เลขสวย) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ครั้งที่ 6 หมวดอักษร กท “ การงานก้าวหน้าการค้ามั่งมี เศรษฐีทวีทรัพย์” จำนวน 301 หมายเลข ของสำนักงานขนส่งจังหวัดน่าน

ณ โรงแรมน่านตรึงใจ โดยได้รับเกียรติจากนายปิยะ โยมา รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดน่าน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิด และ

นางสาวรัชนี ศรีชัยตัน ขนส่งจังหวัดน่าน กล่าวรายงานและต้อนรับอย่างอบอุ่น เป็นการประมูลพร้อมกัน 2 ช่องทาง คือ การประมูลทางวาจา และทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งผลการประมูล หมวดอักษร กท

มีรายได้รวมทั้งสิ้น 12,131,777 บาทราคาสูงสุด 760,000 บาท ได้แก่ กท 9999
ราคาต่ำสุด 14,000 บาท ได้แก่ กท 7733 นางสาวรัชนี ศรีชัยตัน ขนส่งจังหวัดน่าน กล่าวขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมประมูล และทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนกิจกรรมของสำนักงานขนส่งด้วยดีตลอดมา

ทั้งนี้ รายได้จากการประมูลหมายเลขทะเบียนรถ (เลขสวย) จะนำเข้า “กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน” (กปถ.) เพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุนและ

ส่งเสริมกิจกรรมโครงการด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และให้ความช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “เสน่หา มนตรา น่านนครา เมืองเก่ามีชีวิต”เทศกาลประดับไฟกลางเมืองเก่า สัมผัสเสน่ห์น่านยามค่ำคืน สู่เป้าหมายเมืองมรดกโลก

แชร์เนื้อหานี้

สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน จัดงาน “เสน่หา มนตรา น่านนครา เมืองเก่ามีชีวิต” ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน – 6 สิงหาคม 2568 เวลา 18.30 – 21.30 น. ณ บริเวณกำแพงเมืองเก่าน่าน ข่วงเมือง ถนนผากอง และถนนมหาวงศ์ ภายใต้โครงการ “น่านเมืองเก่ามีชีวิต สร้างสรรค์เมืองแห่งวัฒนธรรมสู่มรดกโลก” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ฟื้นฟูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

พิธีเปิดงานจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 17.00 น. นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ประธานในพิธีกล่าวเปิดงานว่า “น่านเป็นเมืองที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองเก่าให้กลับมามีชีวิต พร้อมยกระดับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และมุ่งสู่การเป็นเมืองมรดกโลกอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต ซึ่งสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่านและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมครั้งนี้อย่างเต็มที่”

นอกจากนั้น พิธีเปิดยังมีโชว์พิเศษจากศิลปินล้านนา ลานนา คัมมินส์ และ มัสแตง – พีรภัทร พร้อมด้วยการแสดงซอและดนตรีพื้นบ้าน จากนักเรียนโรงเรียนสามัคคี (พระเนตร) จังหวัดน่าน และการฟ้อนร่มแบบล้านนา” ที่มีชื่อว่า “บุปผานันทบุรี สุขสะหรี่ม่วนใจ๋” ด้วยการโปรยดอกไม้ขึ้นเหนือศีรษะ อันเป็นการบูชาเสริมสิริมงคล การฟ้อนถือว่าเป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรมและขนบประเพณีของชาวเหนือที่ทรงคุณค่า

นางนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน ได้กล่าวรายงานว่า “โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวในเขตเมืองเก่าน่าน และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน ภายใต้แนวคิดเมืองเก่ามีชีวิต หวังว่างานนี้จะสร้างแรงบันดาลใจและความภูมิใจแก่ชาวน่าน พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาเยือนจังหวัดน่านมากยิ่งขึ้นในช่วงฤดูกาล Green Season ของปีนี้”

กิจกรรมภายในงาน “เสน่หา มนตรา น่านนครา เมืองเก่ามีชีวิต” ประกอบไปด้วย เทศกาลประดับไฟย้อนรอยประวัติศาสตร์เมืองเก่าน่าน วันที่ 6 มิถุนายน – 6 สิงหาคม 2568 เวลา 18.30 – 21.30 น. ณ บริเวณกำแพงเมืองเก่าน่าน(บริเวณบ้านมงคล) รวมถึงบริเวณข่วงเมืองน่าน ถนนผากอง (ตั้งแต่หน้าวัดภูมินทร์ถึงแยกเจ้าราชบุตรอนุรศรังษี) และถนนมหาวงศ์ (ตั้งแต่แยกเจ้าราชบุตรอนุรศรังษีถึงบริเวณกําแพงเมืองเก่าน่าน)

โดยมีการจัดแสดงอุโมงค์ไฟ การตกแต่งประดับไฟ ย้อมไฟกำแพงเมืองเก่าน่าน และประดับตกแต่งเส้นทางด้วยอัตลักษณ์ของจังหวัดน่าน เช่น โคมล้านนา โคมมะเต้า โคมกระต่าย และหัตถกรรมท้องถิ่น ทำให้เมืองน่านกลายเป็น “เมืองเก่ามีชีวิต ส่องแสงงดงามยามค่ำคืน” ผ่านศิลป์แห่งแสงสีและเรื่องเล่าแห่งกาลเวลา
ถนนสายวัฒนธรรม เส้นทางแห่งเรื่องเล่า ความสร้างสรรค์ที่ถูกปรับปรุง ตกแต่ง และเนรมิตใหม่ให้เป็นพื้นที่แสดงออกของชุมชน ทั้งงานหัตถกรรม งานศิลป์ และกิจกรรมของคนท้องถิ่น รวมถึงตลาดนัดวัฒนธรรมหรือ “NAN Craft Folk & Market” รวมร้านอาหารพื้นถิ่น งานสร้างสรรค์และของดีเมืองน่านกว่า 30 ร้าน ทุกคืนวันศุกร์และเสาร์ สัปดาห์ที่ 1 และ 3 ของเดือน เวลา 16.00-21.00 น. มีการแสดงดนตรีของศิลปินล้านนา เช่น วงดนตรี Craft and Folk Songs, อ้อม รัตนัง, เตวิชญ์ ชัยธัช, ตู่ ดารณี, วง เดอะเพอะ การแสดงของศิลปินล้านนาไม้เมือง เป็นต้น

นิทรรศการเมืองเก่ามีชีวิต การเสวนาทางวิชาการและกิจกรรมเยาวชน กิจกรรมแชะ&แชร์ “เมืองเก่ามีชีวิต” สัมผัสกลิ่นอายประวัติศาสตร์ควบคู่กับความร่วมสมัย มุมถ่ายรูป LANDMARK จําลอง รวมถึงหัตถกรรมท้องถิ่นของน่าน ร้านเช่าชุดพื้นเมืองล้านนา บริการถ่ายภาพที่ระลีก ณ บริเวณกําแพงเมืองเก่าน่าน
งาน “เสน่หา มนตรา น่านนครา เมืองเก่ามีชีวิต” ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างการรับรู้และยกระดับคุณค่าทางวัฒนธรรมของเมืองน่านสู่เวทีสากล พร้อมสะท้อนความตั้งใจของทุกภาคส่วนในการอนุรักษ์เมืองเก่าให้คงอยู่ “อย่างมีชีวิต” อย่างแท้จริง/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / บ.ไทยคาลิ จำกัด ร่วม รร.ด่านขุนทด จัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึก วันสิ่งแวดล้อมโลก

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ บริษัทไทยคาลิ จำกัด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน นายเฉลิมยศ พุทธา ผอ.รร.ด่านขุนทด นำนักเรียน ม.5 และ ม.6 จำนวน 330 คน เข้าร่วมศึกษา เรียนรู้การทำเหมืองแร่ใต้ดิน ของทางบริษัท ฯ

เพื่อจะได้เรียนรู้การทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างประโยชน์ ต่อชุมชนและประเทศชาติ บริษัท ฯ ได้จัดทำกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับเด็กเยาวชน และ พนักงานบริษัท ฯ ได้มีความรัก และ เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมอยู่เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ ได้ร่วมกับโรงเรียนด่านขุนทด

ในโอกาสนี้ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยคาลิ จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่บริษัท ฯ ได้เริ่มโครงการ ได้ให้การสนับสนุนสิทธิ์ของบุคคลและชุมชน โดยตระหนักถึงสิทธิ์ การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น และให้การคุ้มครองสิทธิ์ดำรงชีวิตในสังคมอย่างสงบสุข และดูแลปัญหาสิ่ง

แวดล้อม รอบพื้นที่โครงการมาตลอด ขะเห็นได้ว่า พื้นที่ตั้งของบริษัท ฯ มีพื้นที่สีเขียวเป็นจำนวนมาก ปัญหาดินเค็ม สร้างผลกระทบต่อเกษตรกร บริษัท ฯ ได้เข้าดูแลช่วยเหลือ เพื่อปรับปรุง ฟื้นฟู จนประสบผลสำเร็จ หลายร้อยไร่ บริษัท ฯ มีมาตรฐานระดับโลก โดยการทำงานร่วมกับ DMT Gmbh & Co.

บริษัท ฯ ที่ปรึกษาด้านเหมืองแร่จากเยอรมนี ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการทำเหมืองแร่ใต้ดินกว่า 150 ปี นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความปลอดภัยสูงในด้านจัดการของเสีย นำแนวทาง Zero Discharge มาใช้งาน ซึ่งเป็นการนำน้ำไปใช้หมุนเวียน ไม่มีการปล่อยน้ำทิ้ง หรือของเสียออกนอกโครงการ เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับประเทศไทย มีศักยภาพพัฒนาแหล่งแร่โพแทช เพื่อนำมาผลิตเป็นปุ๋ย ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าจากการนำเข้า ทั้งนี้ ไทยมีการนำเข้าปุ๋ย โพแทซเฉลี่ยปีละ 800,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี การพัฒนาเหมืองแร่โพแทซ ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ในการสนับสนุนความมั่นคงทางการเกษตรกรรมของประเทศและลดการพึ่งพา การนำเข้า ในระยะยาว

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้แทน พสบ.ทภ.2 รุ่นที่ 2มอบสิ่งของสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหารชายแดนกัมพูชา / น้องเขยโหดใช้ปืนยิงปลา ยิงลุงเจ็บ ปมขัดแย้งที่ดิน สุดท้ายหนีไม่รอด ถูกจับได้ในสวนยาง

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ที่กรมทหารพรานที่ 23 อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นางสาวธนชนก สุริยเดชสกุลอ และ

นายหมวดตรี รุจิรา สรุจิกำจรวัฒนะ พร้อมด้วยผู้แทนคณะนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 รุ่นที่ 2 (พสบ.ภท.2 รุ่นที่ 2) และสมาคมสื่อสารมวลชนไทยอินโดจีน

ได้เดินทางไปยังหน่วยบัญชาการกองกำลังสุรนารี จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อมอบผ้าเต็นท์, เสื้อกันฝน รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2

เพื่อส่งมอบต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามฐานปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารกองกำลัง

ป้องกันชายแดน กองทัพภาคที่ 2 และเพื่อสะท้อนถึงความห่วงใยและกำลังใจจากภาคประชาชนและภาคเอกชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ ณ พื้นที่ชายแดนของประเทศ​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

น้องเขยโหดใช้ปืนยิงปลา ยิงลุงเจ็บ ปมขัดแย้งที่ดิน สุดท้ายหนีไม่รอด ถูกจับได้ในสวนยาง

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 14.30 น. เกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันที่บ้านเลขที่ 300 หมู่ 2 ตำบลชะโนดน้อย อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โดย นายบุญรุ่งเรือง โต๊ะทอง อายุ 46 ปี ได้บุกบ้านลุงคือ นายสมนึก คำมุงคุณ อายุ 61 ปี ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงปลา บรรจุลูกดอกเหล็กยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ยิงใส่บริเวณลำตัวด้านซ้ายของลุงจนได้รับบาดเจ็บ

หลังเกิดเหตุ นายบุญรุ่งเรืองได้วิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านของผู้บาดเจ็บเพื่อซ่อนอาวุธ ขณะที่ผู้บาดเจ็บพยายามขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน และโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ชีพเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลมุกดาหาร

ต่อมา พ.ต.ท.ไพบูรณ์ สุวรรณคุณ สว.(สอบสวน) สภ.ดงหลวง พร้อมชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และเข้าตรวจค้นบ้านของผู้ก่อเหตุ พบปืนยิงปลา 1 กระบอก ขณะที่ตัวผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไปจากหมู่บ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ที่สวนยางพารา ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริงด้วยความโมโหจากปัญหาขัดแย้งเรื่องที่ดินของภรรยา

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่โรงพยาบาลมุกดาหารเพื่อสอบถามญาติของผู้บาดเจ็บ โดยน้องสาวของผู้บาดเจ็บเปิดเผยว่า ครอบครัวมีพี่น้องประมาณ 7 คน ผู้ก่อเหตุเป็นสามีของน้องสาวอีกคน และเคยมีพฤติกรรมรุนแรงถึงขั้นต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อความปลอดภัย

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดงหลวง ได้นำตัว นายบุญรุ่งเรือง โต๊ะทอง ส่งฝากขังศาลจังหวัดมุกดาหาร พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้น ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และคัดค้านการประกันตัว

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ด่านศุลกากรมุกดาหารเข้ม ตรวจพบอุปกรณ์ประกอบ “บุหรี่ไฟฟ้า” สำแดงเท็จ หวังตบตาเจ้าหน้าที่

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 3 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรมุกดาหาร ภายใต้การสั่งการของนายกรณ์ชัย ปัญญาวัฒนพงศ์ นายด่านศุลกากรมุกดาหาร และการกำกับติดตามของนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ที่ปรึกษา

ด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร และนางสาวลลิตา อรรุถพิมล ผอ.ศภ.2 ได้ดำเนินการตรวจสอบตู้สินค้าในโรงพักสินค้า อ.เมือง จ.มุกดาหารการตรวจสอบครั้งนี้นำโดยนายคำพร ธุระเจน หัวหน้าฝ่ายป้องกันและปราบปราม (ฝปป.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร พบสินค้าไม่สำแดงจำนวน 2 รายการ ได้แก่:ชุดอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้า จากจีน จำนวน 50,000 ชุด น้ำหนักรวม 776 กิโลกรัมส่วน

ประกอบบุหรี่ไฟฟ้าทําด้วยพลาสติก มีลักษณะจะทําขึ้นเพื่อใช้งานเป็นการเฉพาะและไม่ อาจนําไปใช้ทางอื่นได้นอกจากใช้ร่วมกับบุหรี่ไฟฟ้า เมืองกําเนิดสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 122,000 ชิ้น น้ำหนัก 300 กิโลกรัมทั้งนี้ สินค้าดังกล่าวถูกจัดอยู่ในพิกัดศุลกากร 8543.40.00 อัตราอากร 10% กรณีเป็นความผิดฐานแสดงใบขนสินค้าไม่ถูกต้อง และนําของที่ผ่านหรือกําลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้า มาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียอากร

โดยเจตนาจะฉ้ออากร และโดยหลีกเลี่ยงข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็น สินค้าต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ด่วน! พบผู้ป่วย “แอนแทรกซ์” รายที่ 5 ในมุกดาหาร ชำแหละหมูก่อนเดินทางไปทำไร่อ้อยใน สปป.ลาว เกิดแผลติดเชื้อลุกลามก่อนกลับมารักษาในไทย ‼️

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน​ นายแพทย์ณรงค์ จันทร์แก้ว นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า พบผู้ป่วยยืนยันโรคแอนแทรกซ์รายใหม่ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร โดยเป็นผู้ป่วยรายที่ 5 ของการระบาดในครั้งนี้ ซึ่งมีประวัติสัมผัสกับเนื้อหมูระหว่างการชำแหละในพื้นที่บ้านโคกสว่าง หมู่ 6 ตำบลเหล่าหมี อำเภอดอนตาล เมื่อวันที่ 19 เมษายน โดยสถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดชำแหละเนื้อวัวที่มีผู้ป่วยโรคแอนแทรกรายก่อนหน้าเพียง 100 เมตรผู้ป่วยรายนี้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกมีดทิ่มที่นิ้วมือ ระหว่างการชำแหละหมู ก่อนเดินทางข้ามไป สปป.ลาว โดยรถส่วนตัวผ่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (มุกดาหาร – สะหวันนะเขต ในวันที่ 20 เมษายน เพื่อทำงานในไร่อ้อยที่เมืองพะลานไซ แขวงสะหวันนะเขต พร้อมนำหมูแดดเดียวจากการชำแหละไปรับประทานด้วย โดยอาศัยอยู่เถียงนากับลูกน้อง 1 คน บริเวณพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ขณะที่ภรรยาทราบข่าวเกิดโรคแอนแทรกซ์ระบาดในพื้นที่ตำบลเหล่าหมี อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร พยายามติดต่อสามีแต่ติดต่อไม่ได้ โดยสามีได้นําหมูที่ชําแหละแล้วทำเป็นหมูแดดเดียวไปเก็บไว้รับประทานด้วยที่ฝั่ง สปป.ลาว ทั้งนี้ บริเวณสัมปทานไร่อ้อยยังมีลูกจ้างคนลาว 3 คน อยู่บ้านกะลอง เมืองพะลานไซ ด้วย

กระทั่งวันที่ 23 เมษายน เริ่มเป็นแผลลักษณะเป็นจุดวงๆ ตุ่มน้ำใส ปวดคันเล็กน้อยที่มือบริเวณตําแหน่งเดียวกันกับที่โดนมีดบาด28 เมษายน แผลเริ่มเหมือนถูกไฟไหม้มีสีดำคล้ำ ปวดบวมแดง เจ้าตัวคิดว่าแพ้น้ำมันเครื่อง และไปร้านขายยาใน สปป.ลาว ซื้อยาฆ่าเชื้อ ชื่อยากาน่า เม็ดแคปซูลสีขาว คาดว่าจะเป็นยา Kanamycin และ Cephalexin 500 mg โดยเริ่มรับประทานยาตั้งแต่ 28 เมษายน – 16 พฤษภาคม ภายหลังจากรับประทานยา ผู้ป่วยแจ้งว่าแนวโน้มแผลดูดีขึ้น ไม่มีหนอง ไม่ค่อยปวด เหลือแต่เป็นสีดําๆ และยังคันอยู่

วันที่ 16 พฤษภาคม ยากาน่าหมด จึงจะไปซื้อใหม่แต่เภสัชกรแจ้งว่าไม่ต้องกินแล้ว โดยจ่ายให้แต่ยา cephalexin 500 mg กลับมารับประทาน

วันที่ 18 พฤษภาคม เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 กลับมาบ้านที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร โดยขณะนั้นแผลยังไม่หายและทราบข่าวว่าเกิดโรคแอนแทรกซ์ระบาด จึงมาตรวจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดอนตาล

19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทำการเพาะเชื้อส่งตรวจ (cultur) ตรวจ PCR และรอผลการตรวจทางห้องปฏิงัติการ

วันที่ 21 พฤษภาคม ผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis โดยผลยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคแอนแทรกซ์

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ จนท.ถูกคนร้ายกราดยิงดับคาฐานรือเสาะ

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (4 มิ.ย. 68) เวลา 08.45 น.ที่วัดบางนรา อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ อส.ทพ.ไมตรี บุดดา ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน ลอบวางระเบิดรถประชาชน และใช้อาวุธปืนเล็กยาวไม่ทราบชนิดและ

ขนาดยิงใส่จุดตรวจหน้าฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4614 ขณะที่ตั้งจุดตรวจหน้าฐานปฏิบัติการ เหตุเกิดในพื้นที่บ้านปอเนาะ หมู่ 6 ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งมี นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส

พลตรี ณรงค์ ตันติสิทธิพร ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส/ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมพิธีและร่วมไว้อาลัยฯ
พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพและเป็นผู้แทนวางพวงหรีดของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, พวงหรีดของ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,พวงหรีดของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก และพวงหรีดของพลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4ตามลำดับ ทั้งนี้ พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบเหรียญบางระจัน และใบประกาศเชิดชูเกียรติในการประกอบคุณงามความดี และความเสียสละแก่วงศ์ตระกูล พร้อมมอบเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานและส่วนราชการต่างๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญ ให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต

ด้าน นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส กรณีเสียชีวิต จำนวน 500,000.- บาท และมอบเงินช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ กรณีเสียชีวิต

จากเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส จำนวน 5,000.- บาท นอกจากนี้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ เพื่อให้ช่วยเหลือเบื้องต้นอีกจำนวนหนึ่ง ด้วย
สำหรับร่าง อส.ทพ.ไมตรี บุดดา ได้มีพิธีส่งศพกลับไปบำเพ็ญกุศลยังภูมิลำเนาที่ ต.คำเขื่อนแก้ว อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ อย่างสมเกียรติ ต่อไป

      //////////////////

ข่าว/อาอีซะห์นราธิวาส