คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /พบศพหญิงสาว ถูกคลื่นซัด นอนเปลือยกายเสียชีวิตชายหาดแหลมกุ่ม เจ้าหน้าเร่งสืบสวน

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 17 พ.ย.68 พ.ต.ท.วินัย รายละเอียด สารวัตรสอบสวน สภ.ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับแจ้งพบศพผู้เสียชีวิตบริเวณชายหาดแหลมกลุ่ม หมู่ที่ 7 ตำบลนาหูกวาง อำเภอทับสะแก

จึงพร้อมด้วย ตำรวจชุดสืบสวน ชุดปราบปราม ฝ่ายปกครองอำเภอทับสะแก และอาสาสมัครมูลนิธิสว่างรุ่งเรืองธรรมสถานอำเภอทับสะแก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

บริเวณชายหาดแหลมกลุ่ม ห่างจาก ร็อคกี้พ้อยรีสอร์ท ไปทางทิศเหนือ (ซังเขาขวาง )ประมาณ 500 เมตร พบศพหญิงสาว อายุ ราวๆ 45-50 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณชายหาดถูกคลื่นซัดอยู่บริเวณหาดทราย สภาพศพเปลือยกาย

ด้านบนเสื้อยกทรงรูดขึ้นอยู่ที่เหนือราวนม ส่วนกางเกงลักษณะถอดมาไว้ที่บริเวณหน้าแข้ง ที่ร่างกายไม่พบว่ามีบาดแผลหรือถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงนำร่างผู้เสียชีวิตส่งผ่าพิสูจน์ยังโรงพยาบาลทับสะแกเพื่อตรวจสอบการเสียชีวิตในครั้งนี้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และเป็นใครมาจากไหน

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่มาหาของทะเลว่าพบศพคนนอนเสียชีวิตถูกคลื่นซัดอยู่ชายหาดดังกล่าว ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้เร่งออกหาข่าวว่าผู้ตายเป็นใครมาจากไหนและได้มาเสียชีวิตที่เกิดเหตุเพราะเหตุใด

โดยจะเร่งสืบสวนหาบุคคลสูญหาย ในละแวกใกล้เคียง และนำภาพถ่ายออกหาเบาะแส รูปร่างหน้าตาผู้เคยพบเห็น บ้านไหนมีบุคคลสูญหายสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ พนักงานสอบสวน สภ.ทับสะแก
////////////////////////////
ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สภ.เมืองชุมพร ตั้งจุดสกัดเข้ม แก้ปัญหากลุ่มวัยรุ่นขับรถเสียงดัง/กระบะชนจยย. ดับ 1 สาหัส 1 “ความประมาทแลกชีวิตคน”/วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ “ตา–ยายวัย 80 ปี”

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514วันนี้ (16 พ.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองชุมพร ได้สนธิกำลังออกตั้งจุดสกัดบริเวณทางขึ้นเขาพาง ตำบลหาดพันไกร ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ว่า มีกลุ่มเยาวชนรวมตัวขับขี่รถจักรยานยนต์แต่งท่อ ส่งเสียงดังรบกวนในช่วงกลางคืน และก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่ผู้ใช้เส้นทางโดยเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังเข้าดำเนินการกวดขันวินัยจราจร ตรวจสอบรถต้องสงสัย รวมถึงควบคุมความเรียบร้อยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อยับยั้งพฤติกรรมที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนที่อาศัยบริเวณดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ระบุว่าการตั้งจุดสกัดครั้งนี้เป็นมาตรการต่อเนื่อง และจะเพิ่มความถี่ในการออกตรวจตรา เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
คำแนะนำประชาชนสภ.เมืองชุมพร ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวขับขี่รถจักรยานยนต์แต่งท่อเสียงดัง แข่งรถ หรือประพฤติเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน ขอให้รีบแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 191 หรือแจ้งตรงที่ สภ.เมืองชุมพร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าดำเนินการได้อย่างทันท่วงที พร้อมขอให้ประชาชนตรวจสอบความเรียบร้อยของรถและปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนถนนร่วมกัน

กระบะชนจยย. ดับคาที่ 1 สาหัส 1 “ความประมาทเสี้ยววินาที แลกชีวิตคน”
ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514
เมื่อเวลา 18.20 น. วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 ร.ต.ต.นฤพล ชูช่วย รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชุมพร รับแจ้งเหตุรถกระบะเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ บริเวณยูเทิร์นป้อมตำรวจปฐมพร ถนนเพชรเกษม หลักกิโลเมตรที่ 484 ขาล่องใต้ จึงรายงานให้ พ.ต.อ.ปัญญา ท้วมศรี ผกก.สภ.เมืองชุมพร ทราบ ก่อนนำกำลังพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ชีพ–กู้ภัยสายชลรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบชายผู้บาดเจ็บนอนอยู่กลางถนน อาการสาหัส เจ้าหน้าที่เร่งปฐมพยาบาลก่อนนำส่งโรงพยาบาล ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าสีดำ–แดง ทะเบียน กรษ 349 ชุมพร ตกอยู่ในร่องกลางถนน ห่างจากจุดพบผู้บาดเจ็บกว่า 5 เมตรห่างออกไป 200 เมตร พบรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรั้ว สีขาว–ดำ ทะเบียน บท 2187 ยะลา บรรทุกผักเต็มคันจอดอยู่ริมถนน ใต้ท้องรถพบร่างหญิ่งอีกหนึ่งราย เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างออกมา พบว่า เสียชีวิตแล้วคาที่ ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตยังไม่ทราบชื่อ

นายกัมพล หิมวังทอง อายุ 57 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ต.บางไผ่ ระบุว่าผู้ตายเป็นแรงงานชาวลาว ช่วยงานเฝ้าสวนให้กับนายจ้าง คาดว่าขี่รถออกมาซื้ออาหารและจะไปฉีดยาที่โรงพยาบาลเนื่องจากถูกสุนัขกัดเมื่อช่วงกลางวัน ก่อนเกิดเหตุสลดในครั้งนี้ ด้าน นายอิมรอน สะเตาะ อายุ 23 ปี คนขับรถกระบะ ให้การว่า ขับรถขนผักมาจากจังหวัดราชบุรี มุ่งหน้าไปส่งที่จังหวัดปัตตานี เมื่อมาถึงหน้าศูนย์ฮอนด้าชุมพร

จู่ ๆ มีสามีภรรยาขี่รถจักรยานยนต์ออกจากยูเทิร์นปาดหน้าเข้ามากะทันหัน แม้ได้บีบแตรและพยายามหักหลบ แต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน เนื่องจากวิ่งมาประมาณ 90 กม./ชม. จึงพุ่งชนอย่างจัง ร.ต.ต.นฤพล ชูช่วย อยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจกล้องวงจรปิดและสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริง และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สภ.เมืองชุมพร ขอฝากเตือนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน การขับออกจากยูเทิร์น ต้องแน่ใจว่าปลอดภัยเสมอ การประมาทเพียงเสี้ยววินาที อาจทำให้คนหนึ่งต้องตาย อีกคนต้องพิการ และครอบครัวต้องร้องไห้ไปตลอดชีวิต ขับรถช้า–ชิดซ้าย–มีวินัยบนท้องถนน… ชีวิตคุณและคนอื่นสำคัญเสมอ

วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ “ตา–ยายวัย 80 ปี” อาศัยบ้านเช่ารถไฟตามลำพัง ตามองไม่เห็น – ยายหูตึง ป่วยหลายโรค ชีวิตลำบากหนัก

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบชีวิตความเป็นอยู่ของ คุณตานพ ทองเกลี้ยง อายุ 79 ปี และ คุณยายถนอม ทองเกลี้ยง อายุ 80 ปี คู่สามีภรรยาวัยชรา ที่อาศัยอยู่ตามลำพังในบ้านเช่ารถไฟ เลขที่ 411/2 หมู่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร โดยได้รับอนุเคราะห์ให้พักอาศัยฟรีจากเจ้าหน้าที่การรถไฟ แต่ต้องรับผิดชอบค่าไฟฟ้าประมาณเดือนละ 500 บาท

สภาพความเป็นอยู่ของทั้งสองน่าเวทนาอย่างยิ่ง คุณตามองไม่เห็นมานานกว่า 5–6 เดือน ทำให้ไม่สามารถทำงานหรือออกไปไหนได้เหมือนในอดีตที่เคยเก็บของเก่าขายประทังชีวิต ขณะที่ คุณยายหูตึงแทบไม่ได้ยินเสียง และยังมีโรคประจำตัวหลายอย่าง ทำให้การรักษาพยาบาลเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ลูกของตายายมี 2 คน ต่างเดินทางไปทำงานรับจ้างในต่างพื้นที่ ฐานะฝืดเคืองเช่นกัน จึงกลับมาเยี่ยมได้เป็นครั้งคราว และช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่าที่ทำได้ ทำให้ตายายต้องพึ่งพาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเล็กน้อยในการประทังชีวิต

ชาวบ้านในละแวกดังกล่าวเล่าว่า เห็นความลำบากของตายายมานาน มักนำอาหารมาแบ่งปันให้เป็นระยะ แต่หลายครั้งก็อดสงสารไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปพบแพทย์ เนื่องจาก ตายายไม่สามารถเดินทางไปเองได้ การรักษาต่อเนื่องจึงยิ่งลำบากกว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับคุณตา ซึ่งเล่าว่า “ตามองไม่เห็นมาเกือบครึ่งปีแล้ว แต่ก่อนยังเก็บของเก่าขายได้ พอมองไม่เห็นก็ทำงานไม่ได้เลย ถ้าออกไปไหนก็กลัวถูกรถชน ส่วนยายก็ป่วย เดินเหินไม่สะดวก รายได้มีแค่เบี้ยคนชราเท่านั้น เลยอยากวอนหน่วยงานหรือคนใจบุญช่วยเหลือบ้างครับ”

ด้วยสภาพความเป็นอยู่ที่ตกทุกข์ได้ยาก ผู้สื่อข่าวขอเป็นสื่อกลางประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานรัฐ องค์กรการกุศล และผู้มีจิตศรัทธา หากประสงค์ช่วยเหลือด้านอาหาร ยารักษาโรค หรือสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำเป็น สามารถร่วมบริจาคได้โดยตรงที่บัญชี ธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี “นาย นพ ทองเกลี้ยง” หมายเลข 020177651062 ชุมชนในพื้นที่หวังว่าข่าวนี้จะช่วยให้สองตายายวัยชราที่กำลังลำบาก ได้รับการดูแลและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในบั้นปลายชีวิต.

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ร้อง.รถส่งออกกระทบรายได้ประชาชนราษฎรตำบลห้วยผา ยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมจ.แม่ฮ่องสอน

แชร์เนื้อหานี้

ร้องรถส่งออกกระทบรายได้ประชาชราษฎรตำบลห้วยผา อ.#เมืองแม่ฮ่องสอน จ.#แม่ฮ่องสอน #ยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน วิงวอนขอให้ราษฎรในพื้นที่มีรายได้จากการขับรถยนต์ใช้แล้ว ซึ่งเป็นสินค้าผ่านแดน ส่งออกไปยังช่องทางจุดผ่อนปรนบ้านห้วยผึ้งเหมือนเดิม เนื่องจากราษฎรขาดรายได้และการใช้รถสไลด์และรถจอขนรถขึ้นไป ทำถนนเสียหาย ก่ออุบัติเหตุได้ง่าย

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น. นายสุพัฒน์ กันทะสี ตัวแทนราษฎรตำบลห้วยผา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน ได้เดินทางไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน และยื่นหนังสือร้องเรียน เรื่อง การใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ขนส่งรถยนต์ ส่งออกชายแดนร้องแห้ง ทำให้ส่งผลกระทบต่อราษฎรและก่อความเสียหายต่อผิวถนนและรวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ตามที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการค้าชายแดนช่องทางห้วยผึ้ง นำรถยนต์ เก่าส่งออกไปยังประเทศเมียนมาร์ ผ่านช่องทางห้วยผึ้ง ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการบรรทุกบนรถสไลด์ รถบรรทุกขนาดใหญ่ วิ่งผ่านหมู่บ้านชุมชนไปยังจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนร้องแห้งนั้น ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการขนส่งรถดังกล่าว

  1. รถที่วิ่งรับจ้างขนส่ง ขับขี่ด้วยความเร็วสูงในพื้นที่หมู่บ้านชุมชน ทำให้เกิดการชนทับสัตว์เลี้ยง (สุนัข,ไก่ ฯ)ของชาวบ้านเป็นประจำ จากการเร่งรีบทำรอบของรถบรรทุก
  2. ถนนในช่วงบ้านห้วยผึ้งถึงบ้านห้วยทรายขาว เป็นถนนกว้างเพียง 4 เมตร ทำให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ไม่สามารถที่จะวิ่งสวนทางกันได้ ต้องหลบลงไหล่ทาง ทำให้เหยียบท่อประปาภูเขาของหมู่บ้านเสียหาย แต่ไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่มารับผิดชอบ ชาวบ้านต้องทำการซ่อมแซมเอง และยังทำให้ไหล่ทางเสียหาย เป็นหลุมเป็นบ่อเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
  3. รถบรรทุกมีความสูง เกี่ยวสายไฟฟ้า สายระบบสื่อสารของชาวบ้านเสียหายจากการบรรทุกที่สูงเกิน ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งในพื้นที่ได้มีนักเรียนที่ต้องเดินทางไปโรงเรียนในตัวเมือง ทุกๆวัน จึงมีความเสี่ยงต่อบุตรหลานเขาวชนในพื้นที่ ที่อาจเกิดอุบัติเหตุเพราะรถที่วิ่งด้วยความเร็วและมีขนาดใหญ่ในทุกๆปีห้วงวันสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ชาวบ้านในพื้นที่หมู่บ้านชุมชนจะร่วมกันพัฒนารักษาความสะอาดตัดหญ้าตามแนวถนนอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมากลับไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดๆจากการประกอบการชายแดนนี้เลย

จากมาตรการ ในการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการนี้ ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อหมู่บ้านต่อชุมชนในพื้นที่แต่อย่างใด ยังได้สร้างผลกระทบทั้งมลภาวะฝุ่น เสียง และความเสียหายต่อทรัพย์สินของชาวบ้านของชุมชน เสียงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ข้าพเจ้าผู้มีรายชื่อแนบท้ายหนังสือนี้จึงขอความอนุเคราะห์มายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ทบทวนมาตรการในการขนส่งสินค้า การส่งออกของจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องทางห้วยผึ้ง ที่พี่น้องราษฎรได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย

ส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการจะ ขนรถเพื่อส่งออกไปช่องทางจุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยผึ้ง เวลาประมาณ 05.00 น. ของทุกวัน เพื่อจะเอาเที่ยวให้มาก สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีก ถ้าบางวันรถที่มาจากเชียงใหม่ ตี 3 ตี 4 ขับขึ้นไปเสียงดังมาก ตอนขาลงมาก็ขับไวทำเวลาอีกแล้วประจวบเหมาะกับรถนักเรียนที่เรียนในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน.จะรับไปส่งด้วยเด็กบางคนก็นำมอเตอร์ไซค์ไปเองเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ

นายสุชาติ งามประพฤติ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยผึ้ง ต.ห้วยผา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ตอนแรกก็กระทบเหมือนกันแต่ว่ากระทบน้อยหน่อย คือมีการกระจายให้คนในชุมชนรับจ้างขับรถเที่ยวละ 500 บาท ขับรถส่งออกขึ้นช่องทางจุดผ่อนปรนบ้านห้วยผึ้ง ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ แต่มาภายหลังได้มีการนำรถส่งออกบรรทุกบนรถสไลด์ หรือรถจอ บรรทุกขึ้นไปแทน เนื่องจากถนนแคบ ทำให้บางที่ก็ทรุด ปูนแตก เหยียบท่อประปา มันกระทบหนักกว่าเดิม ที่สำคัญชาวบ้านไม่มีรายได้แล้ว เขาให้รายละ 500 บาท ต่อ 1 เที่ยว ทำให้ชาวบ้านมีรายได้พอใช้จ่ายบ้าง แต่ช่วงหลังตามระเบียบของจราจร เขาให้บรรทุกบนรถสไลด์แทนการขับขึ้นไปเอง ข้อเสียคือรถบรรทุกขนาดใหญ่ไม่สามารถสวนทางกันได้เนื่องจากถนนแคบ เวลารถน้ำหนักเกินทำให้ ถนนเสียหาย อยากให้มีปัญหาน้อยที่สุดด้วยการให้ชาวบ้านขับรถขึ้นไปเหมือนเดิม//

สมจิตร แสงบันลังค์ ภาพ/ข่าว


สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชาวบ้านสุดทนร้อง นักข่าว กอ.รมน ตรวจสอบปัญหากลิ่นรบกวน และน้ำเสียจากฟาร์มสุกร ร้องจนเบื่อ เหม็นเหมือนเดิม

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 จากการตรวจสอบตรวจสอบเรื่องร้องเรียนปัญหากลิ่นรบกวน และน้ำเสียจากฟาร์มสุกรโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 8 โดย นายธีรศาสตร์  ช้างปลิว นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ พร้อมเจ้าหน้าที่ส่วนตรวจและบังคับใช้กฎหมาย ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยทราย และกำนันตำบลห้วยทราย เข้าร่วมตรวจสอบเรื่องร้องเรียนปัญหากลิ่นเหม็นรบกวน และน้ำเสียจากฟาร์มสุกร ในพื้นที่ หมู่ที่ 8 ตำบลห้วยทราย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ผ่านมาเมื่อปี/2567การตรวจสอบพบว่าเป็นการเลี้ยงสุกรประเภท ข มีระบบบำบัดน้ำเสียเป็นแบบ Biogas และบ่อปรับเสถียร ขณะตรวจสอบ

มีการเปิดใช้งานระบบบำบัดน้ำเสียตามปกติ ไม่พบมีการระบายน้ำทิ้งออกสู่ภายนอก บริเวณบ่อบำบัดท้ายโรงเรือนพบมีกลิ่นเหม็น จากการสอบถามฟาร์มพบว่ามีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วมาเวียนใช้ในโรงเรือน และมีการฉีดพ่นน้ำยา EM เป็นประจำทุกวันหรือไม่จาก ตรวจสอบบริเวณบ่อ Biogas ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ และบ่อปรับเสถียรคันดินยังไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ คณะตรวจสอบ มีข้อเสนอแนะให้
เพิ่มความถี่ในการกำจัดกลิ่น ปรับปรุงพื้นที่บริเวณบ่อบำบัดน้ำเสียให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พร้อมทั้งมอบหมายให้ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยทราย ดำเนินการติดตามการแก้ไขปัญหาของฟาร์มสุกรดังกล่าวต่อมาเมื่อวันที่20ตุลาคม2568ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหากลิ่นเหม็นจากฟาร์มเลี้ยงดังกล่าวยังพบปัญหาเดิมๆซ้ำซากส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางเข้าร้องเรียน กับนิติกร อบต.ห้วยทราย เพื่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามลงพื้นที่หาทางออกให้กับชาวบ้าน เนื่องจากฟาร์มดังกล่าวค่อยข้างมีฐานะเป็นที่เกรงกลัวแก่ชาวบ้านทำให้ไม่กล้าเปิดหน้าร้องเรียน ซึ่งปัญหานี้คงต้องรอการพิจารณาจากส่วนกลาง และจังหวัดอย่างจริงจังต่อไป
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชายฉกรรจ์ 2 ราย บุกรุมทำร้าย!! อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 บ้านเกาะรัง ต.หนองหว้า

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (13 ต.ค.68) เวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้าน นายอนันต์ อารี อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 (ผู้เสียหาย) ร้องเรียนยัง นายสมชาย แก้วสุทธิ นายกสมาคมองค์การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) เหตุเกิดเมื่อวันที่ (12 ค.ค.68) เวลาประมาณ 22.05 น. ผู้เสียหาย ได้กำลังนอนพักอยู่ บ้านเลขที่ 299 หมู่ 10 ต.หนองหว้าฯ (ที่เกิดเหตุ)

ได้มีชายฉกรรจ์ จำนวน 2 คน (อ้างว่าชื่อ อบต.นิว) ซึ่งขับรถมาก่อเหตุ ทะเบียน กบ 789 สระแก้ว รถ อีซูซุลักษณะสีรถบรอนซ์เขียว ได้มาที่บ้านหลังเกิดเหตุ แล้วได้สอบถามหากับ น.ส.จิตตรา อารี (บุตรสาวของผู้เสียหาย) บอกว่ามีธุระ จะขอคุยกับ นายอนันต์ ในขณะนั้น นายอนันต์ ได้ยินเสียงจึงได้เดินมาดู ก็พบว่ามีชายฉกรรจ์ จำนวน 2 คน ยืนรออยู่ บริเวณบ้านหลังเกิดเหตุ

หลังจากนั้นชายฉกรรจ์จำนวน 2 คน ดังกล่าวก็ได้ทำร้ายร่างกาย นายอนันต์ โดยการชกเตะ เข้าที่บริเวณใบหน้าและตามร่างกาย ทำให้ นายอนันต์ ได้รับบาดเจ็บบริเวณคอและตามร่างกาย

ต่อมา..ได้มี นายบุรากร แซ่ลี้ เข้ามาห้ามปราม กระทั่งชายฉกรรจ์ จำนวน 2 คนดังกล่าวได้หลบหนีไป ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงมาร้องทุกข์กับ นายสมชาย แก้วสุทธิ นายกสมาคมองค์การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (ภาคประชาชน) เพื่อขอความเป็นธรรมให้ทางผู้ก่อเหตุออกมารับผิดชอบให้สัมภาษณ์ นายอนันต์ อารี (ผู้เสียหาย)ให้สัมภาษณ์ จิตตรา อารี (ลูกสาวผู้เสียหาย) ให้สัมภาษณ์ บุรากร แซ่ลี้ (ลูกเขย)

ภาพข่าว โดย ผอ.วงศกร ปราจีน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ป๋านนท์ นายอานนท์ รถทอง เจ้าของล้งทุเรียนชุมพร จ้างตบ 10 ที 30,000 บาท โทษฐานแย่งผัวชาวบ้าน จ่ายค่าตบให้ลูกสะใภ้ ลูกชายมีชู้กับเสมียนล้งของตน

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ สอบถาม นาย อานนท์ รถทอง หรือป๋านนท์ อายุ 65 ปี เจ้าของล้งรับซื้อทุเรียนชื่อ ป๋านนท์&ป้าอร ตั้งอยู่ริมถนนสายเอเชีย 41ฝั่งขาล่องใต้ เลขที่ 111/1 หมู่ 1 ตำบลตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร กรณี เมื่อวันที่ 6 ต.ค.68 จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ อานนท์ รถทอง โพสข้อความระบุว่า หาทีมตบประจำหลังสวนทุกทีม ให้ตบครั้งละ 30,000 ต้องตบ 10 ทีขึ้นไป ค่าตำรวจ ออกให้ แล้วแต่ทีมไหนเจอก่อนตบก่อน จ่าย 30,000 แล้ว ทีมต่อๆไปใครเจอตบได้เลยมารับอีก 30,000 วันเจอกี่ครั้ง ให้ตบทุกครั้งแล้วมารับเงินจากป๋านนท์ โทษฐานแย่งผัวชาว บ้านเค้า ตัวเองก็มีผัวอยู่แล้วยังมาแย่งผัวคนอื่นเค้าอีกหญิง ก็ ชั่วชายก็เลวบัดซบ ขอบพระคุณมากป่านนท์แก่แล้วไปตบ เองไม่ไหว (ตบแล้วถ่ายรูปมาเบิกเงินค่าปรับออกให้) พ่อผัว จ่ายค่าตบให้ลูกสะใภ้ครับแล้วก็ให้ตบได้ทั่วราชอาณาจักร ใครตบ เสร็จถ่ายรูปมาครับตบได้ทุกวัน จนกว่ามันจะเลิก กับลูกชาย (อยากฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกที่ ของอำเภอหลังสวน และตะโก ถ้าเจอรถสี่ประตู ฟอร์ดแร็พเตอร์ ทะเบียน 3456 จันทบุรี สีดำ

อยากให้จับอาวุธ ข้าวหลามมีอยู่สองกระบอก 11.มม กลับ9 มม ครับ มองแล้วลูกชายไม่ปกติเหมือนโดนวางยา ครับ ขอเจ้าหน้าที่คนไหนสภ. ไหนจับได้ผมในฐานะพ่อครับ ขอเลี้ยง กาแฟ 50,000 ครับคิดว่าสงสารคนแก่ๆครับ” พร้อมกับโพสภาพหญิงลูกจ้างกับลูกชายป๋านนท์ เล่าด้วยความอัดอั้นใจอีกว่า ความเป็นมาก่อนโพสเรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กว่า “นางอร หรือหญิงที่เป็นชู้กับลูกชาย ของตนนั้น คือเป็นลูกจ้างใน ล้งทุเรียนของตนทำงานในตำแหน่งเสมียน อยู่กินกับหลานชาย เรา เลยเห็นใจว่าได้อยู่กินกับหลายชายก็เลยยกสถานะจากลูกจ้างมาเป็นหลานสะใภ้อยู่กินกันมาเป็นปี จนมารู้แน่ชัดเมื่อเร็วๆนี้ว่าแอบคบชู้เอาลูกชายของตนที่มีถานะเป็นเจ้านายในล้งก็ตกเป็นผัวของนางอีกคน รู้ทั้งรู้ว่าลูกชายมีภรรยาอยู่แล้ว ซึ่งลูกสะใภ้เป็นคนขยันทำงานแต่อยู่ต่างจังหวัด ตนเองทนเห็นผู้หญิงแบบนี้มาทำลายครอบครัว มาทำชั่วกันเรายอมไม่ได้ ให้ครอบครัวพังไม่ได้ หมดเท่าไหร่ก็ยอม จึงโพสข้อความ ใครตบอีอรนี้ได้ให้ครั้งละ 3 หมื่นบาท แต่ต้องตบครั้งละประมาณ 10 ที แค่ตบสั่งสอนเท่านั้น เจอตบจนกว่าจะเลิกกับหลานและลูก เมื่อนั้นจบกัน ถ้าไม่เลิกเจอตบตลอดตบได้ทั่วประเทศ


ความคืบหน้า ป๋านนท์ เล่าด้วยความอัดอั้นใจอีกว่า จากกรณีที่ได้จ้างตบพูดตรงตรงเลยครับทำไมสังคมสอบถามว่าทำไมตบแต่ผู้หญิงทำไมไม่ให้ตบผู้ชาย ใจจริงผมอยากให้ตบทั้งคู่แต่ทีนี้ลูกชายมีข้าวหลามพกอยู่ตลอดเวลาถ้าให้คนอื่นไปตบเหมือนกับให้เค้าไปตายเพราะว่าลูกชายเป็นคนมุทะลุ แต่งานนี้พูดตรงตรงว่าผมเป็นพ่อในฐานะหัวหน้าครอบครัวและผมรักครอบครัว สร้างตัวมาเพื่อ อนาคตของลูกทุกคนทั้งลูกทั้งหลานแต่ในตอนนี้ลูกหลานเดินไปในทางที่ผิดผิดพลาดเราก็รับไม่ได้ปี๊ดแตก โมโหสุดสุดเพราะว่าทำงานมาจนอายุป่านนี้แล้วอายุก็ 65 66 ปี หวังว่าอยากจะวางมือเต็มที่ให้กับลูกชายแต่มันมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกับไฟไหม้บ้านผมถึงอยากจะขอโทษสังคมที่เมื่อวานนี้อารมณ์พาไปในช่วงอารมณ์พาไปเท่าไหร่ผมก็ยอมแต่มาคิดได้มันไม่ดีเพราะเราอายุมากแล้วยังจะไปส่งเสริมความรุนแรงต่อสังคมผมจึงขออยากยกเลิกทุกกรณีที่ว่าจ้างตบ ขอยกเลิกทั่วประเทศเลยทุกกรณีสองคนนี้เค้าก็ออกจากบ้านผมไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเค้าออกไปแล้วทรัพย์สินที่เขาได้ไปที่เค้าติดตัวไปแค่นั้นส่วนซับมรดกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทางผมจะเรียกกลับหมดถ้าเกิดอะไรขึ้นผมไม่รับผิดชอบขอยุตติในการจ้างจบแค่นี้ผมก็เจ็บปวดมากแล้วนายสุวิทย์ พลานชุน ประธานสภาทนายความจังหวัดหลังสวน กล่าว ในกรณีที่บุคคลโพสต์หาคนรับจ้างตบ แต่ในขณะนี้ยังไม่ปรากฏผู้รับจ้างมากระทำความผิดนั้นยังไม่เกิด ผู้โพสต์นั้นยังไม่ไม่มีความผิด ยังไม่ได้ใส่ร้าย ยังไม่ได้ไปว่าให้บุคคลใดเสียหาย เพราะฉะนั้นในกรณีความผิดเกี่ยวกับเรื่องพรบ.คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่เกิดถ้าต่อไปนี้คนใดคนหนึ่งรับจ้างตามข้อความ ที่ได้โพสต์แล้วได้กระทำตามที่โพสต์ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับตัวผู้กระทำได้ก็ถือว่าบุคคลนี้ได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายส่วนผู้ที่โพสต์ ถ้าตำรวจนำสืบได้ว่าหรือว่าข้อมูลชัดเจนโยงถึงผู้โพสต์เพราะว่าผู้กระทำได้ไปทำตามที่โพสต์ไว้ก็มีความผิดฐานจ้างวาน ใช้จ้างวาน แต่ต้องให้มีบุคคลใดคนหนึ่งไปกระทำความผิดตามที่เค้าว่าจ้างก่อนแล้วในขณะนี้เค้าไม่ได้ระบุตัวผู้จ้างวานว่าเป็นนาย ก.หรือนาย ข ได้แต่ประกาศหาผู้รับจ้างถ้าใครมารับจ้างไม่ว่าจะเป็นกี่คนแล้วเค้าไปทำความผิดนี้ตามที่เขาว่าว่าจ้างนี้ คนที่โพสต์ก็จะถือว่าเป็นผู้ว่าจ้าง ผู้จ้างวาน

บุคคลใดก็แล้วแต่จะเป็นบุคคลที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ถ้าเข้าไปทำในลักษณะก็เป็นความผิดฐานเดียวกันคือเป็นผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายอะไรก็แล้วแต่ที่ความผิดมันเกิดแล้วก็บุคคลที่โพสต์นี้ก็จะเป็นผู้ว่าจ้างทุกเรื่อง คือผู้กระทำความผิดฐานไหนทำร้ายร่างกายพยายามฆ่าหรืออะไรก็แล้วแต่คือบุคคลนี้เป็นผู้ว่าจ้างใช้วาน ในกรณีที่ไปกระทำโดยเจตนาหรือว่าไปทำร้ายร้ายร่างกายถ้าต่อมามีบุคคลเสียชีวิตเหตุใดเหตุหนึ่งก็มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายทำให้บุคคลถึงแก่ความตาย เหตุเกิดโดยประมาททำให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายก็เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนได้ความก็ตั้งข้อหาไปผู้ใช้ ผู้จ้างวาน ก็มีความผิดฐานจ้างวานในกรณีนั้นในความผิดนั้นตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาเพิ่มเติมกรณีที่ผู้โพสต์ได้กระทำใดๆให้สื่อถึงผู้เสียหายไม่จะใช้ชื่อหรือรูปภาพของผู้เสียหายจะมีความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาอีกด้วย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชาวบ้านร้องเรียนนายทุนขุดเขาป่าสงวนขายแถมยังทำให้เกิดฝุ่นหินประชานได้รับความเดือนร้อนหนัก

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 7 ตุลาคม 2568 กรณีประชาชนร้องเรียนนายทุนขุดภูเขาขายไม่เกรงกลัวกฎหมาย แถมยังสร้างมลภาวะเป็นพิษทำให้เกิดฝุ่นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่สนธิกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบ

พื้นที่บริเวณถนนสายสามควนบ้านรัตนโกสัย หมู่ที่ 5ตำบลปากตะโก อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ในเขตป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 พื้นที่ป่าอยู่ในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ตามมติ ครม เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 ขั้นที่สามอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ

นำโดยนายสมเจตร์ เจริญทรง นายอำเภอทุ่งตะโกพร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ชพ7 ตะโกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอทุ่งตะโก เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลปากตะโก อำเภอทุ่งตะโก

จังหวัดชุมพรเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. ปากตะโก จังหวัดชุมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ตรวจสอบพื้นที่พบป่าเสียหายจำนวนหนึ่งแปลงเนื้อที่ประมาณ 4ไร่ 86 ตารางวา ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าเสียหายสิ่งแวดล้อมได้

ในพื้นที่พบรถแม็คโฮหนึ่งคันยี่ห้อ SUMITOMO สีเหลืองรุ่น ฆ็ 210 F 66 จอด อยู่ในสถานที่เกิดเหตุนายอำเภอทุ่งตะโกจึงได้โทรศัพท์ประสาน หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ให้เข้าร่วมตรวจ

สอบพื้นที่ที่มีการขุดตักดินบริเวณ พบที่ที่ถูกร้องเรียนจากนายอำเภอทุ่งตะโก กรณี พบเห็นการขุดตักดินในพื้นที่ถนนสายสามควรหมู่ที่ห้าบ้านรัตนโกสินทร์ตำบลปากตะโกอำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพรนั้น

เจ้าหน้าที่ได้เดินทางเข้าไปถึงยังพิกัดที่แจ้งข้างต้นคณะเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเพื่อตรวจสอบโดยรอบตรวจพบรถแม็คโฮ จอดอยู่ในพื้นที่และมีร่องรอยการขุดตักดินในพื้นที่ด้วยรถแม็คโฮ

คันดังกล่าวเพราะแม้ว่าขณะตรวจสอบรถแม็คโฮ จะจอดอยู่ไม่ได้ทำการขุดตักดินก็ตามแต่จากร่องรอยการขุดตักดินนั้นเห็นได้ว่าลักษณะของร่องรอยผิวหน้าดินที่ ถูกขุดตักดินนั้นตรงกับฟันของบุ้งกี๋รถแม็คโฮ

ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่ารถแม็คโฮ คันดังกล่าวได้ทำการขุดตักดินมาแล้วและไม่พบบุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในที่เกิดเหตุตรวจสอบสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นสวนยางพาราพบเพียงร่องรอย การขุดตักดินเป็นลักษณะที่ลาดชันซึ่งพื้นที่เป็นเนินดินค่อนค่อนข้างสูงชัน ไม่มีไม้ใหญ่ที่สามารถใช้เป็นสินค้า

ได้คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสอบถาม นายสมยศ ธารักษ์ สมาชิกสภาเทศบาลปากตะโก ว่าทราบหรือไม่ว่าพื้นที่แปลงนี้เป็นของใครมีเอกสารสิทธิ์ทาง ที่ดินหรือไม่และเป็นการกระทำของผู้ใด นายสมยศ ธารักษ์ สมาชิกสภาเทศบาลปากตะโก ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ว่าพื้นที่ที่พบว่ามีการขุดตักดินแปลงนี้เป็นของ นายประจักษ์องอาจ

ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยไม่ทราบว่ามีเอกสารสิทธิ์ทางที่ดินเป็นอะไรและตนก็ไม่ทราบว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำของผู้ใดขณะเข้าตรวจสอบมีญาติเจ้าของที่ดินเข้ามา พูดคุยพร้อมยื่นเอกสารใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)มาเป็นหลักฐานคณะเจ้าหน้าที่

ได้ตรวจสอบเอกสาร นั้นพบว่าไม่ได้มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินมายืนยันเห็นตรงกันว่าหากเจ้าของที่ดินมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดินให้นำมาแสดงต่อคณะเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์แจ้งไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดชุมพร สาขาสวี เพื่อตรวจสอบรังวัดแนวเขตที่ดินดังกล่าวต่อไป

เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า ชพ7 ตะโก แจ้ง เป็นการกระทำความผิดกฏหมายว่าด้วยการป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 ห้ามมิให้ผู้ใดก่อสร้างแผ้วถางหรือเผาป่าหรือกระทำด้วยประการใดใดอันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

ต่อมาคณะเจ้าหน้าที่จึงได้ใช้เครื่องมือตรวจวัดค่าพิกัดดาวเทียม GPS ทำการตรวจวัดค่าพิกัดดาวเทียมพื้นที่ที่ถูกบุกรุกหนึ่งแปลงโดยวัดค่าพิกัดได้โดยรอบแปลงพื้นที่เกิดเหตุได้ค่าพิกัดจำนวน 17 จุดซึ่งคำนวณพื้นที่ได้มีเนื้อที่สี่ไร่ 86 ตารางวาได้นำค่าพิกัดดังกล่าวไปถ่ายทอดลงในแผนที่หนึ่งต่อ 5000 ปรากฏว่าเป็นพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าพุทธศักราช 2484 คณะพนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการจัดทำบันทึกการตรวจยึดจับกุมพร้อมเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องไปแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรปากตะโกเพื่อสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สื่อรัฐนิวส์*สื่อรัฐทีวี / สำนักศิลปากร 12 แจ้งความเอาผิดคนลักลอบขุดเขาสามแก้ว

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 24 กันยายน 2568 นายภัทรพงษ์ เก่าเงิน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช พร้อมนางสาวกาญจนา สากระแสร์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร และเจ้าหน้าที่ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบร่องรอยการลักลอบขุดค้นหาโบราณวัตถุ บริเวณแหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว ต.นาชะอัง อ.เมือง จ.ชุมพร หลังจากได้รับทราบจากสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีบุคคลโพสต์ Facebook ระบุว่า มีการลักลอบขุดค้นในพื้นที่ดังกล่าว

จากการตรวจสอบในพื้นที่ พบว่ามีหลุมร่องรอยการขุดหลายจุด ซึ่งเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 จึงได้เดินทางไปยัง สภ.เมืองชุมพร เพื่อแจ้งความต่อ ร.ต.อ.สหชาติ สังข์สม พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองชุมพร ขอให้สืบหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้ การลักลอบขุดค้นโบราณวัตถุมีโทษร้ายแรงตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 700,000 บาท และหากผู้ใดซ่อนเร้น จําหน่าย หรือรับซื้อ รับจํานํา หรือรับไว้โดยประการใดๆ ซึ่งโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุอันได้มาโดยการกระทําความผิด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

“สำนักศิลปากรที่ 12 ขอความร่วมมือประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมเฝ้าระวังและอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์ หากพบเห็นการลักลอบขุดค้น ครอบครอง ซื้อ ขาย หรือรับซื้อโบราณวัตถุ โปรดรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสำนักศิลปากรใกล้เคียงทันที เพื่อร่วมกันปกป้องสมบัติอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่สืบไป ซึ่งสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช สามารถโทร.แจ้งได้ที่หมายเลข 075-356458 หรือที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชุมพร โทร.077-630758” นายภัทรพงษ์ กล่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประชาชน อ.พานเตรียมเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ต้านโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ จี้รัฐยกเลิก MOU

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 26 กันยายน 2568นี้ มวลชนต้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอำเภอพาน นัดรวมพลครั้งใหญ่แสดง. ยืนกรานไม่เอาโรงไฟฟ้า พลังงานขยะ จี้องค์กรณ์รัฐยกเลิก MOU อปท.ท้องที่เกี่ยวกับโครงการกำจัดขยะความคืบหน้าล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า

ประชาชนชาวอำเภอพาน 4 ตำบล ประกอบด้วย ตำบลทานตะวัน ตำบลแม่เย็น ตำบลหัวง้ม ตำบลม่วงคำ ได้ออกมาเคลื่อนไหวจัดเวทีแสดงความคิดเห็นโดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเวทีแสดงความคิดเห็น และรวมพลังแนวร่วมแต่ละหมู่บ้านร่วมแสดงแนวคิดเห็นผลข้อได้เสีย การสร้างโรงงาน

ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่4 ตำบล ได้แสดงความคิดเห็นอันเป็นแนวทางอันเดียวกันว่าไม่เอาโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานขยะฯโดยล่าสุดเมื่อวันที่4กันยายนที่ผ่านมาตัวแทนประชาชนในพื้นที่ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ ประธานคณะกรรมการจัดการ จัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย จังหวัดเชียงราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับว่าเป็นการยื่นหนังสือถึงหน่วยงานของรัฐเนื่องจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีผลกระทบต่อห้วย หนอง คลอง บึงแหล่งน้ำสาธารณะในพื้นที่และมลพิษทางอากาศ จึงได้มีการเรียกร้องให้ยกเลิกMOU เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

อยู่ระหว่างองค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่และเรียกร้องประชาชนสี4ตำบล จะนัดรวมพลครั้งใหญ่ซึ่งจะมีพลังมวลชนเกือบ 1,000 คน โดยนัดรวมพลที่ โรงเรียนบ้านปูแกงโดยจะมีการปราศรัยใหญ่และเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทาง ในพื้นตำบล ผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอพาน วกกลับเส้นทางถนนพหลโยธิน เพื่อแสดงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เอาโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะในพื้นที่อำเภอพานและการเรียกร้องให้มีการยกเลิกMOUโดยเร็วที่สุดความคืบหน้าจะนำเสนอให้ทราบต่อไป.

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ป.ป.ช.ฟัน 3 ข้าราชการ อบจ.มุกดาหาร จัด”ทัวร์ผี! เบิกค่าเดินทาง–ที่พัก คนไม่ไปจริง จัดอบรมลงชื่อซ้ำโกงงบหลวง

แชร์เนื้อหานี้

นายนิรุท สุขพ่อค้า ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 มีมติชี้มูลความผิดกรณีเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มุกดาหาร ทุจริตงบประมาณโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงานประจำปี 2556

โดยการไต่สวนพบว่า การอบรมที่โรงแรมริเวอร์ซิตี้ จ.มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 21–22 พฤษภาคม 2556 มีการลงชื่อผู้เข้าร่วมไม่ตรงข้อเท็จจริง พบรายชื่อซ้ำซ้อน 38 คน ทำให้มีการเบิกค่าอาหารเกินจริง 14,600 บาท ขณะที่การเดินทางไปศึกษาดูงาน จ.ระนอง และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 23–26 พฤษภาคม 2556 มีผู้เข้าร่วมจริงเพียง 77 คน แต่กลับมีการเบิกค่าใช้จ่ายในนาม 157 คน รวมถึงค่าอาหารและค่าที่พักอันเป็นเท็จ ทำให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหารได้รับความเสียหาย

จากการไต่สวน คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลว่านายรณรงค์ สินทรัพย์ หัวหน้าสำนักปลัด อบจ.มุกดาหาร ในขณะนั้น และนางบัวพันธ์ กอดแก้ว รองปลัด อบจ.มุกดาหาร ปฏิบัติราชการแทนปลัด อบจ.มุกดาหาร มีมูลความผิดทางอาญาในฐานะเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 264 และ 268 รวมทั้งมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์มิชอบ

สำหรับนางอภิวราภัคณ์ เกิดจันทึก ผู้อำนวยการกองคลัง อบจ.มุกดาหาร มีมูลความผิดทางอาญาในฐานะเจ้าหน้าที่การเงินที่จัดทำและรับรองเอกสารการเบิกจ่ายซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 162 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งของทางราชการเกี่ยวกับการเงินการคลัง ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย

ขณะที่ ส.ต.ต.หญิง เพชรรัตน์ แสนวิเศษ แม้พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดทางอาญา แต่มีมูลความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีก 10 ราย ประกอบด้วย นางมลัยรัก ทองผา, บริษัท มุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนลการท่องเที่ยว จำกัด, นางพนิดา กุญชร กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ , นางณฤชาฎา เดชพิพัตร, นางอุมาพร สินธุเสก, นางซิน ทองคำกัลยา, นางชาริณี คูณทวี หรือมานะกิจสมบูรณ์, นางสาวกิติญาณี เลิศชนะเกียรติกุล, นายสมชาย รัชตะสาคร และนายบรรจง ประทุมสุวรรณ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญากับนายรณรงค์ สินทรัพย์ นางบัวพันธ์ กอดแก้ว และนางอภิวราภัคณ์ เกิดจันทึก พร้อมทั้งส่งรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับทั้ง 3 ราย รวมถึง ส.ต.ต.หญิง เพชรรัตน์ แสนวิเศษ และให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหารเร่งดำเนินการเรียกค่าเสียหายคืนแก่ทางราชการต่อไป

องค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร #ทุจริตจัดทัวร์ผี #โกงงบอบรม #อบจมุกดาหาร #ปปชฟันไม่เลี้ยง #ภาษีประชาชน #ทุจริตไม่รอด #มุกดาหาร #ปปช #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​