คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปลัดอบต.ภูคาร่วมกับสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน มอบเงินให้กับผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุวิภาน้ำป่าพัดบ้านเสียหายทั้งหมด

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่16 สิงหาคม 2568 ณ บ้านหาดปลาแห้ง ต.บ่อ อ.เมืองน่าน จ.น่าน นายวิโรจน์ อุดนันท์ ปลัด อบต.ภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน ร่วมกับ นายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน ร.ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม คณะกรรมการสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน มอบเงินให้กับครอบเด็กชายอนุชิต ไทยใหม่ นางสาวเสาวิมล บัวเหล็ก ผู้เป็นแม่จำนวนเงิน 20,200 บาท

ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุวิภาน้ำป่าพัดบ้านเสียหายทั้งหมด รายที่ 2 มอบให้ครอบครัวนายชูชาติ สายแปง นางฟองจันทร์ แซ่ด่าน จำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งหลังคาบ้านเสียหายเกือบทั้งหมดตัวบ้านมีรอยแตกร้าวซึ่งนายชูชาติไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากป่วยเป็นโรคไตต้องฟอกไตอย่างต่อเนื่อง ส่วนภรรยาขายของที่ตลาดบ้านหาดปลาแห้งและลูกชายเป็นลูกจ้างซ่อมรถมีรายได้เพียงวันละ 300 บาท รายที่ 3 มอบให้ครอบครัวนายถาวร

นางไสว ธนารัตน์ จำนวนเงิน 3.000 บาท รวมเป็นเงินที่มอบจำนวน 33,200 บาท(สามหมื่นสามพันสองร้อยบาทถ้วน)ด้านนายวิโรจน์ อุดนันท์ ปลัดอบต.ภูคา กล่าวว่าตนได้ทราบข่าวจากเพจ เฟสบุ๊คของนายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาสื่อมวลชนจังหวัดน่านจึงได้บอกบุญไปยังพวกเพื่อนๆ พี่ๆที่รู้จักกันทั้งในจังหวัดน่านและต่างจังหวัดจึงได้รวบรวมกันนำมามอบเงินที่ได้มาบางส่วนก็เจียดไปซื้อของอุปโภคบริโภคมอบให้ผู้ประสบอุทุกภัยที่อำเภอท่าวังผา

ตนต้องขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ร่วมกันมอบเงินมาช่วยผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ และขอให้มีความสุขความเจริญในหน้าที่การงานคิดสิ่งใดขอให้สมความมุ่งมาตปราถนาทุกประการครับ นายวิโรจน์ อุดนันท์กล่าว ส่วนเด็กชายอนุชิตไทยใหม่ ได้ขอบคุณมายังผู้ใจบุญที่เมตามามอบเงินและ

ได้โอนเงินมาเพื่อสมทบทุนสร้างบ้านหลังใหม่เป็นอย่างสูงครับ ดช.อนุชิตกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการมอบเงินในวันนี้มีเจ้าอาวาสอารามสงฆ์วัดหาดปลาแห้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบเงิน ในโอกาสเดียวกันนี้ทางผู้บริหารคณะครูโรงเรียนได้ฝากปชส.

📣 ขอความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่า นักเรียนโรงเรียนสารธรรมวิทยาคารโรงเรียนสารธรรมวิทยาคาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน
ขอประชาสัมพันธ์เพื่อขอรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือให้แก่
เด็กชายอนุชิต ไทยใหม่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านหาดปลาแห้ง ตำบลบ่อ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุ “วิภา” ทำให้ บ้านพักอาศัยถูกน้ำป่าพัดพาเสียหายทั้งหมด

🙏 ทางโรงเรียนจึงขอเชิญชวนผู้มีจิตเมตตาร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านหลังใหม่ ให้เด็กชายอนุชิตมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ📌 ชื่อบัญชี: เด็กชายอนุชิต ไทยใหม่📌 ธนาคาร: ออมสิน 📌 เลขที่บัญชี: 020-387-835323

ขอขอบพระคุณในน้ำใจของทุกท่านที่ร่วมเป็นพลังเล็กๆ เพื่อฟื้นฟูอนาคตของนักเรียนคนหนึ่ง ให้สามารถกลับมายืนหยัดและเดินหน้าสู่ความฝันได้อีกครั้ง 💖/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/ร. ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ป.ป.ช.ลงพื้นที่เร่งรัดติดตามคดี อช.แก่งกระจาน บุกจับนายทุนรุกที่ป่า 4,000 ไร่ เสียหายกว่า 100 ล้านบาท DSi เตรียมรับเป็นคดีพิเศษ

แชร์เนื้อหานี้

จากกรณี นายมงคล ไชยภักดี หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พ.ท.ชยานันท์ เสาตรง ศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ร่วมลงพื้นที่ตรวจยึดไร่มะม่วงของเอกชนรายหนึ่ง ในพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตที่ราชพัสดุ ร่วมเนื้อประมาณ 4,074–3–29 ไร่ (นส.3 ก.) บริเวณท้องที่หมู่ 1 ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

ในพื้นที่ใช้ประโยชน์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และที่ราชพัสดุ (ปข.605) ก่อนคณะเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาต่อ เอกชนและกรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัทแห่งหนึ่ง และบุคคลที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินปัจจุบัน จำนวน15 ราย ในฐานร่วมกันกระทำความผิดบุกรุกพื้นที่ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 , พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 , พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 , พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 , และ ประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อวันที่ 8 ก.ค.68 ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันที่ 5 ส.ค.68 นายจักรกฤช ต้นเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค7 นำคณะ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ภาค7 เจ้าหน้าที่สำนักงานป.ป.ช.ประจวบฯ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSi ภาค7 เจ้าหน้าที่ทหาร ค่ายธนะรัชต์ สำนักงานธนารักษ์ ปลัดอำเภอหัวหิน ตร.สภ.หนองพลับ อบต.หนองพลับ สำนักโยธาธิการและผังเมือง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเร่งรัดติดตามคดี บุกจับนายทุนไร่มะม่วงของเอกชนรายหนึ่ง หลังพบมีการบุกรุกขุดดินไปขาย ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตที่ราชพัสดุ

ในพื้นที่ป่า4,000ไร่ บริเวณท้องที่หมู่1ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง จึงสรุปการประชุม โดยไร้วี้แววเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จ.ประจวบ เข้าร่วมการประชุมแต่อย่างใด จากนั้นคณะเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานจะต้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบแปลงที่ดิน4,000ไร่ดังกล่าว แต่ทางบริษัทแจ้งว่าไม่อนุญาติให้เข้ามาตรวจสอบได้จึงต้องเดินทางกลับ ขณะที่ด้าน นายนพพร ปทุมเหง่า ผอ.สบอ.3 สาขาเพชรบุรี หลังได้รับรายงานจากเรื่องนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวน หาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป

นายจักรกฤช ต้นเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช.ภาค7 กล่าวว่า เบื้องต้นจากการประชุมหารือกันวันนี้ ได้ข้อสรุป 3 เรื่องได้แก่ 1.เรื่องมาตรการขุดดินต้องมีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ให้มีหน่วยงานกำกับดูแลหน่วยเดียว ซึ่งเรื่องนี้มีมติ ครม.แล้ว มอบให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการให้มีมาตรการและเสนอ ครม.ต่อไป วันนี้ลงพื้นที่มาติดตามมาตรการดังกล่าวยังไม่มีมาตรการดำเนินการจากกระทรวงมหาดไทย หลังจากนี้จะนำเรียนคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อจะเร่งรัดต่อไป 2.เรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ ในที่ดินแปลงดังกล่าวที่มีการกล่าวอ้างว่าโดยมิชอบ ซึ่งหน่วยงานของรัฐในพื้นที่เข้าไปดำเนินคดีแล้ว เชื่อว่าทางทหารและอุทยานได้ทำเรื่องไปถึงกรมที่ดินและธนารักษ์

เพื่อขอให้เพิกถอน นส3ก. ที่เชื่อว่าออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ 3.เรื่องการขุดดินในพื้นที่ดังกล่าวดำเนินการโดยมิชอบ ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้แจ้งความดำเนินคดีกับเอกชนรายนี้แล้วที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว และอยู่ในระหว่างดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน สภ.หนองพลับและ DSI แล้วอยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะที่ อบต.หนองพลับที่มีหน้าที่อนุญาตการขุดดิน และกำกับดูแลต่างๆ ขณะนี้ยังไม่ดำเนินการอะไร ก็จะนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด อบต.หนองพลับ มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ได้ข้อสรุปในการประชุมในวันนี้

ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่ ตรวจสอบพบมีความเสียหายรวมมูลค่ากว่า100 ล้านบาท. ขณะที่เรื่องการตรวจสอบการเก็บภาษี เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่า มีการเก็บภาษีที่ดินครบถ้วนหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ทาง ป.ป.ช จะติดตามเร่งรัดคดีนี้ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว ซึ่งหากเป็นความผิด กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 จนถึงปัจจุบันก็ขาดอายุความไปแล้ว

แต่ทางเอกชนไม่สามารถยกเรื่องอายุความมาต่อสู้ได้เพราะเป็นเรื่องทางแพ่งที่สามารถเพิกถอนสิทธิ์ได้ แต่ ป.ป.ช.มีความกังวลว่าคดีทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่มาร้องเรียนแล้วก็ขาดอายุความเกือบทุกคดี ส่วนประเด็นที่เร่งรัดด่วนคือ กรณีเจ้าหน้าที่ของ อบต.หนองพลับ มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่อย่างไร เรื่องนี้ต้องเร่งดำเนินการคาดว่าภายใน1เดือนจะต้องหาข้อสรุปได้
/////////////////
ทีมข่าวเฉพาะกิจ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลมุก ร้อง กกต.กลาง – ศูนย์ร้องทุกข์ฯทำเนียบรัฐบาล ปมถูกใส่ร้ายผ่านไลน์ เชื่อทำคะแนนพ่ายโหวตโน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นางสาวนันท์นภัส ธนวงศ์ทวีสิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลมุก เทศบาลตำบลมุก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร หมายเลข 2 ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่สำนักงาน กกต. กรุงเทพมหานคร และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีที่เธออ้างว่า ถูกใส่ร้ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ก่อนการเลือกตั้ง

ผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อความผ่านไลน์จากบุคคลชื่อ “กัญจนา…” และ “นันทนา…” โดยมีเนื้อหาจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “กาไม่เลือกใคร” หรือ “โหวตโน” และมีถ้อยคำระบุเจาะจงว่า “อย่าไปกาเบอร์ 2 ได้” พร้อมใส่ร้ายว่าผู้สมัคร “ไม่ใช่คนในพื้นที่”

นางสาวนันท์นภัสระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 65 (5) และยังอ้างว่าบุคคลทั้งสองเป็นบุตรของนายสนั่น ซึ่งมีความเชื่อมโยงเป็นผู้สนับสนุนของนายอนุชา ศรีโยหะ ผู้สมัครหมายเลข 1

สำหรับผลการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ปรากฏว่า นางสาวนันท์นภัสได้รับคะแนนเสียงจำนวน 1,249 คะแนน ขณะที่จำนวนผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ผู้ใด หรือ “โหวตโน” มีมากถึง 1,560 คะแนน ซึ่งมากกว่าคะแนนของเธอถึง 311 คะแนน

นางสาวนันท์นภัสจึงร้องเรียนให้ กกต. – หน่วยงานรัฐ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง และแต่งตั้งตนเองเป็นนายกเทศมนตรี เนื่องจากเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และอาจมีการชี้นำประชาชนด้วยข้อมูลเท็จอีกด้วย

นายกเทศมนตรีตำบลมุก #เทศบาลตำบลมุก #ร้องเรียนเลือกตั้ง #โหวตโน #มุกดาหาร #การเมืองท้องถิ่น #กกต #ข่าวเลือกตั้ง #ข่าวการเมือง ///// ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ ผู้สื่อข่าวสื่อรัฐทีวี ประจำจังหวัดมุกดาหาร

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ร้อง กกต.มุกดาหาร สอบการเลือกตั้ง “นายกตำบลมุก” ไม่โปร่งใส “เบอร์ 2” ชี้ถูกใส่ร้ายผ่านไลน์ จูงใจให้คน “กาโหวตโน” จนแพ้

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นางสาวนันท์นภัส ธนวงศ์ทวีสิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลมุก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร หมายเลข 2 ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมุกดาหาร ขอให้ตรวจสอบการกระทำของบุคคล 2 รายที่เผยแพร่ข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 มาตรา 65 (5) โดยมีนายพิเชฐ สุภัคชูกุล หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนและพรรคการเมือง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดมุกดาหาร เป็นผู้รับเรื่อง

โดยระบุว่าเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 มีการส่งข้อความผ่านไลน์จากบุคคลชื่อ “กัญจนา…” และ “นันทนา…” โดยเนื้อหาในข้อความมีการแนะนำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “กาไม่เลือกใคร” หรือ “กาโหวตโน” พร้อมทั้งมีการกล่าวถึงหมายเลข 2 อย่างเจาะจงว่า “อย่าไปกาเบอร์ 2 ได้” และใส่ร้ายว่าผู้สมัครรายนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่

นางสาวนันท์นภัส ระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายป้ายสี และมีเจตนาจูงใจให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมโดยตรง และยังเปิดเผยว่าทั้งสองรายมีความเกี่ยวข้องเป็นบุตรของนายสนั่น ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนนายอนุชา ศรีโยหะ ผู้สมัครหมายเลข 1

ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าผู้สมัครหมายเลข 2 ได้คะแนนเสียงจำนวน 1,249 คะแนน ขณะที่คะแนน “ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ผู้ใด” หรือโหวตโน มีจำนวนถึง 1,560 คะแนน ซึ่งมากกว่า 311 คะแนน

ผู้ร้องจึงขอให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้องให้ ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง และแต่งตั้งตนเองเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลมุก เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตยุติธรรม

เทศบาลตำบลมุก #เลือกตั้งท้องถิ่น #ร้องเรียนเลือกตั้ง #กกตมุกดาหาร #คณะกรรมการการเลือกตั้ง #โหวตโน #นายกเทศมนตรีตำบลมุก #ข่าวมุกดาหาร #การเมืองท้องถิ่น #โปร่งใสต้องมาก่อน #มุกดาหาร/////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /”ชั่งทองฟาร์ม” แจงอยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาต ปมถูกร้องเปิดสวนสัตว์ใน จ.มุกดาหาร

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 จังหวัดมุกดาหาร นางสาวอรกัญญา สะเภา ผู้บริหารบริษัท ชั่งทองฟาร์ม แอนด์ คาเฟ่ จำกัด และนายกสมาคมการค้าท่องเที่ยวมุกดาหาร ได้จัดแถลงข่าวนโยบายยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ผสมผสานธรรมชาติ สัตว์เลี้ยง และสวนน้ำ

พร้อมทั้งชี้แจงประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการขออนุญาตจัดตั้งและดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ โดยมีนายวีระพงษ์ ทองผา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร นางสาวเสาวนีย์ คนกล้า ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานนครพนม นายอุกฤษฏ์ ศรีพิเมือง ปลัดเทศบาลตำบลคำอาฮวน และนางวันวิภา แพงแก้ว ประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร ร่วมแถลงข่าวด้วย

นางสาวอรกัญญา กล่าวว่า ปัจจุบัน บริษัท ชั่งทองฟาร์ม แอนด์ คาเฟ่ จำกัด ยังไม่ได้ดำเนินกิจการ “สวนสัตว์” ดำเนินการในรูปแบบประกอบกิจการฟาร์ม และคาเฟ่ มุ่งเน้นกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ท่องเที่ยวเชิง ธรรมชาติและสัตว์

เลี้ยง ได้กำหนดนโยบายยกระดับกิจการ ขับเคลื่อนธุรกิจด้านการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิตลุ่มน้ำโขงและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร มุ่งเน้นประกอบกิจการ

เพื่อสังคม สร้าง งานสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ โอกาสนี้ผู้บริหารมีนโยบายยกระดับกิจการ เพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิง ธรรมชาติ สวนน้ำ และดำเนินการยื่นขออนุญาตสร้างสวนสัตว์ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการ

ดำเนินการพิจารณาออกใบอนุญาต เพื่อวัตถุประสงค์เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเยาวชน แหล่งศึกษาดูงานและ สร้างสรรพื้นที่ทำกิจกรรมสำหรับครอบครัว รองรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ร้อยตำรวจตรีสุเทียน ทองโสม ประธานชมรมรักษ์มุกดาหาร ได้ยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 กรณี

การขออนุญาตจัดตั้งและดำเนินกิจการ สวนสัตว์สาธารณะ “ช่างทองฟาร์ม” ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านคำเม็ก ตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร โดยขอให้ตรวจสอบว่า

ผู้ประกอบการได้ดำเนินการยื่นขออนุญาตต่อส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนัก บริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจโดยตรง ตามกฎหมายว่าด้วยสวนสัตว์ สาธารณะ

และกฎหมายว่าด้วยการอนุรักษ์สัตว์ป่าแล้วหรือไม่ รวมถึงขอให้ตรวจสอบว่า กระบวนการขออนุญาตดังกล่าวเป็นไปตามลำดับขั้นตอนและผังงานที่กำหนดไว้หรือไม่

ชั่งทองฟาร์ม #แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดมุกดาหาร #สวนสัตว์ยังไม่ได้รับอนุญาต #ร้องเรียนสวนสัตว์ #มุกดาหาร #กิจการสัตว์ป่า #คาเฟ่สัตว์เลี้ยง #การท่องเที่ยวเชิงเกษตร #กฎหมายสัตว์ป่า #สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กระบะเสียหลักชนเสาป้ายกลางถนนชยางกูร มุกดาหาร โชคดีไร้ผู้เสียชีวิต – ป้ายบอกทางพังเสียหาย

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ร.ต.อ.ชันทอง อินทร์ผิว รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ ว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนเสาป้ายบอกเส้นทางบริเวณถนนชยางกูร ขาออก มุ่งหน้าอำเภอธาตุพนม ใกล้แยกโคกสุวรรณ ตำบลมุกดาหาร อำเภอเมืองมุกดาหาร จึงรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบรถกระบะ Toyota Vigo แคป สีขาว หมายเลขทะเบียน บจ-7342 มุกดาหาร จอดอยู่ในสภาพด้านหน้าพังยับเยิน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บนช่องทางขาออกเมือง ใกล้กับจุดที่เสาป้ายบอกเส้นทางขนาดใหญ่ของแขวงทางหลวงมุกดาหารล้มพาดขวางถนนผู้ขับขี่ทราบชื่อคือ

นายพัชรพล อาจหาญ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 2 ต.บ้านซึ่ง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร อยู่ในที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้โดยสารหญิงที่นั่งมาด้วยคือ น.ส.ชนาภา พานสมัน อายุ 22 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยบริเวณเหนือคิ้วซ้าย

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเสาป้ายบอกทางที่ติดตั้งบนเกาะกลางถนน ถูกแรงเฉี่ยวชนจนหลุดจากจุดยึดโครงเหล็กพาดล้มถูกท้ายรถบรรทุก Hino ทะเบียน 80-6974 สกลนคร ที่วิ่งมาจากตัวเมืองมุกดาหารมุ่งหน้าไป จ.สกลนคร ทำให้ไม่สามารถขับต่อไปได้ ส่งผลให้การจราจรติดขัด เจ้าหน้าที่ต้องประสานแขวงทางหลวงเร่งเข้าจัดเก็บและรื้อถอนโครงป้ายออกจากถนนยังเร่งด่วน

ในเบื้องต้น นายพัชรพลให้การยอมรับว่า ขณะขับรถมาจากบ้านโคกสูงเพื่อไปส่งแฟนสาวทำงานที่ห้างโรบินสันมุกดาหาร ได้ใช้เส้นทางชยางกูร ขาเข้าเมือง ถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นช่วงที่มีสัญญาณไฟจราจร ได้ขับแซงรถด้านซ้ายขึ้นไปทางขวา แต่เกิดเสียหลักเนื่องจากถนนลื่นจากฝนตก ทำให้รถปีนเกาะกลางและพุ่งชนเสาป้ายจนได้รับความเสียหาย

นายพัชรพลยอมรับว่าการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากความประมาทของตนเองโดยลำพัง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกภาพที่เกิดเหตุ เขียนแผนที่พอสังเขป และเชิญตัวผู้ขับขี่มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.เมืองมุกดาหาร พร้อมประสานเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงเพื่อประเมินความเสียหายต่อทรัพย์สินราชการ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อุบัติเหตุ #มุกดาหาร #ถนนชยางกูร #กระบะชนป้าย #ToyotaVigo #แขวงทางหลวง #ข่าวอุบัติเหตุ #รถเสียหลัก #ข่าววันนี้ #ข่าวด่วน #ข่าวภาคอีสาน/////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สองสาวร้องสื่อถูกรุมยำ-ข่มขู่ คดีไม่คืบ

แชร์เนื้อหานี้

ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายสองรายคือ นางจุฑามาศ (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี และนางสาวสาวิตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี นำหลักฐานสำคัญเป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดและคลิปวิดีโอจากประชาชน มายื่นต่อสื่อมวลชนหลังคดีไม่คืบหน้าแม้จะมีภาพชัดเจนว่าถูกทำร้าย และตามชายฉกรรจ์ลักษณะคล้ายพกอาวุธปืน พร้อมทั้งมีการข่มขู่และประกาศท้าทายกฎหมายอย่างอุกอาจ

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพื้นที่ร้านบาร์แห่งหนึ่ง ภายในซอยวัดบุญกาญจนาราม ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยเริ่มจากคืนวันที่ 13 มิถุนายน เวลาประมาณ 23.00 น. กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ว่า หลังมีปากเสียงบริเวณหน้าตลาด ฝ่ายคู่กรณีได้โทรเรียกพรรคพวก ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นชายสวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์สีส้ม ขับรถจักรยานยนต์พีซีเอ็กซ์สีเทา มาจอดด้านหน้ากล้องวงจรปิดของคอนโดแห่งหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อวิน ใส่ไว้ใต้เบาะ และหยิบสิ่งของลักษณะคล้ายอาวุธปืนขึ้นลำเหน็บเอวแล้วเดินเข้าไปในวงเหตุการณ์ โดยมีกลุ่มหญิงไทยสวมเสื้อดำ ฝั่งผู้ก่อเหตุเดินเข้ามาพูดคุยด้วย

นางจุฑามาศ (ผู้เสียหาย) ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงนั้นพี่สาวของตนมีปากเสียงกับคู่กรณี ตนเข้าไปห้ามปราม แต่กลับถูกอีกฝ่ายไม่พอใจ โทรตามคนมาเสริม จนสถานการณ์เริ่มบานปลาย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามา คิดว่าจะจบไปแล้ว ต่อมา วันที่ 16 มิถุนายน เวลาประมาณ 20.40 น. กล้องวงจรปิดจับภาพหญิงไทย 3 คน เดินเข้ามาหาผู้เสียหายที่ร้านเดิม โดยมีหญิงผู้ก่อเหตุ เดินตามมาทีหลัง ก่อนจะพูดจาท้าทาย แล้วลงมือกระชากผมนางสาวสาวิตรีผู้เสียหายอีกรายจากเก้าอี้ ลากและทำร้ายหน้าร้าน ทั้งยังมีชายขับวินฯ ที่มากับกลุ่มผู้ก่อเหตุยืนกันไม่ให้ใครเข้าไปช่วย ทำให้ผู้เสียหายถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย

นางสาวสาวิตรีให้การว่า เธอเพียงแค่นั่งอยู่ในร้าน ไม่รู้เรื่องราวมาก่อน ถูกกลุ่มหญิงเข้ามาหาเรื่อง โดยกล่าวหาว่าเธอรู้เห็นกับนางจุฑามาศ และกล่าวหาว่าเคยด่ากันมาก่อน จากนั้นก็ลงมือทันที โดยระหว่างเหตุการณ์ยังพูดท้าทายเสียงดัง “กฎหมายทำอะไรกูก็ไม่ได้!” สร้างความหวาดกลัวให้กับคนในร้านอย่างมาก เธอยังเล่าด้วยว่า ถูกกัดที่ราวหน้าอกจนเป็นรอยฟกช้ำ และมีแผลถลอกหลายจุด

แม้มีการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่วันเกิดเหตุ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการเรียกตัวคู่กรณีมาสอบสวนตามที่แจ้งไว้ ผู้เสียหายพยายามติดตามคดีด้วยตนเอง แต่กลับถูกโยนให้ไปติดต่อร้อยเวรเอง ไม่มีเจ้าหน้าที่ใดรับผิดชอบอย่างชัดเจน ที่ร้ายไปกว่านั้น ผู้เสียหายยังระบุว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุมีการโพสต์เฟซบุ๊กข่มขู่ท้าทายต่อเนื่อง ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกไม่ปลอดภัย หวั่นจะถูกทำร้ายซ้ำ หรือถึงขั้นเสียชีวิต

ผู้เสียหายทั้งสองจึงต้องออกมาร้องต่อสื่อมวลชน เพื่อเป็นกระบอกเสียง หลังแจ้งตำรวจแล้วคดีเงียบ หวั่นถูกจัดฉากอีกครั้งโดยผู้มีอิทธิพลที่สามารถเคลื่อนไหวได้เสรี ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจน ทั้งคลิปวงจรปิดและพยานแวดล้อม ถ้าไม่มีสื่อ ไม่มีใครรู้เลยว่าเราถูกทำร้าย ถูกข่มขู่ และกฎหมายไม่สามารถปกป้องเราได้ โดยผู้เสียหายวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะตำรวจพัทยา เร่งดำเนินการตามพยานหลักฐานที่มี และให้ความเป็นธรรมด้วย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชุมนุมเรียกร้องให้ย้ายนายอำเภอท่าแซะใน 24 ชั่วโมง

แชร์เนื้อหานี้


ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่หน้าศาลากลางจังหวัดชุมพร ชาวบ้านประมาณ 300 คน นำโดย นายประคอง จิตประสงค์ ตัวแทนกลุ่มทหารผ่านศึกและราษฎรผู้ขาดแคลนที่ดินทำกินใน อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

และพื้นที่ใกล้เคียง ได้ชุมนุมร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับกรณีมีการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายและการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมเรียกร้องให้ย้าย นายพิศิษฐ์ ฤทธิพิชัยสงคราม นายอำเภอท่าแซะ ออกจากพื้นที่

นายประคองและแกนนำรวม 12 คน ระบุว่าเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ขาดแคลนที่ดินทางด้านการเกษตรกว่า 3,064 คน เคยยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อหลายหน่วยงาน โดยมีข้อกล่าวหานายพิศิษฐ์ ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเลือกปฏิบัติในการจับกุมกลุ่มผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครองและกรมป่าไม้ กล่าวหาเกินความเป็นจริง และเลือกปฏิบัติ เข้าจับกุมโดยไม่มีหมายจับและหมายค้นจากศาล อ้างว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า

แต่กลับไม่ดำเนินการกับบริษัท วิจิตรภัณฑ์ฯ ที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเพื่อจัดทำสุสานบรรพบุรุษ ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าเช่นกัน เจ้าหน้าที่ยังละเว้นการจับกุมกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลที่ลักลอบทำลายต้นปาล์มน้ำมันในเขตป่าสงวนเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินกว่า 3,000 ไร่ และแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ลักลอบตัดผลปาล์มน้ำมันในพื้นที่หมดอายุสัมปทานในเวลากลางคืน

ผู้ชุมนุมจึงขอเรียกร้องให้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรพิจารณาโยกย้ายนายอำเภอท่าแซะโดยกล่าวหาว่า 1.นายอำเภอท่าแซะบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติรับร่อ–สลุย ในบริเวณพื้นที่ของบริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออย จำกัด เพื่อปลูกต้นทุเรียน ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุจริตและผิดกฎหมาย 2.นายอำเภอท่าแซะละเว้นการจับกุมดำเนินคดีกับแรงงานต่างด้าวที่เข้ายึดครองบ้านพักคนงานของบริษัทวิจิตรภัณฑ์ปาล์มออย จำกัด

และออกเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันในป่าสงวนแห่งชาติ และ 3.นายอำเภอท่าแซะไม่ดำเนินการจับกุมบริษัท วิจิตรภัณฑ์ปาล์มออย จำกัด กรณีจัดทำสุสานบรรพบุรุษในป่าสงวนแห่งชาติรับร่อ–สลุย โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน จากนั้น นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงมารับหนังสือเรียกร้องเพื่อพิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

ในเวลาต่อมา นายพิศิษฐ์ ฤทธิพิชัยสงคราม นายอำเภอท่าแซะ เปิดเผยว่า ตนทราบเรื่องกรณีชาวบ้านชุมนุมเรียกร้องให้มีการย้ายตนออกนอกพื้นที่แล้ว คิดว่าผู้ชุมนุมคงโกรธแค้นตนที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 สุราษฎร์ธานี จับกุมกลุ่มชาวบ้านที่เข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าที่เคยเป็นพื้นที่สัมปทานของบริษัท วิจิตรภัณฑ์ ปาล์มออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งหมดอายุการอนุญาตไป

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2558 ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุย ต.หงษ์เจริญ อ.ท่าแซะ จากนั้น ก็มีการชุมนุมปิดถนนเพชรเกษม ขาล่องใต้ หมู่ 3 บ้านยายไท ต.สลุย อ.ท่าแซะ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาเจรจาจนมีการเปิดถนนตามปกติ ส่วนที่กล่าวหาตนทั้ง 3 ข้อยืนยันว่าสามารถชี้แจงได้หมด และตนปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการ ไม่มีนอกมีในหรือมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย

นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า ได้รับหนังสือเรียกร้องจากผู้ชุมนุมแล้ว ส่วนเรื่องการโยกย้ายนายอำเภอเป็นอำนาจของส่วนกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่สามารถดำเนินการได้ทันที เท่าที่ทราบขณะนี้คือบริษัท วิจิตรภัณฑ์ฯ ที่เคย

ได้รับสัมปทานและหมดอายุการอนุญาตการเข้าใช้พื้นที่ไปแล้ว ยังมีคำสั่งศาลคุ้มครองอยู่ และทางวิจิตรภัณฑ์ฯ ก็ได้ทำเรื่องขอยกเลิกการคุ้มครองพร้อมทั้งขอยกเลิกคดีความต่างๆ ที่เคยฟ้องร้องเกือบหมดแล้ว ซึ่งเรื่องกำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “ห้วยบังอี่” ระดับน้ำเริ่มลด – เปลี่ยนธงเป็นสีเหลือง เตือนประชาชนเฝ้าระวังต่อเนื่อง

แชร์เนื้อหานี้

​เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 สืบเนื่องจากที่ นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ล่าสุด

นายคมเพชร สีดามาตร์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วย นายวิรัตน์ เจริญจิตร์ นายอำเภอนิคมคำสร้อย ลงพื้นที่ติดตามระดับน้ำบริเวณสะพานข้ามห้วยบังอี่ อำเภอนิคมคำสร้อย หลังเกิดฝนตก

ต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนท่วมจุดกลับรถบริเวณใต้สะพานอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ระดับน้ำในห้วยบังอี่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การระบายน้ำดำเนินไปได้ด้วยดี ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงในระดับหนึ่ง

ในวันเดียวกัน โครงการชลประทานมุกดาหาร ได้เปลี่ยนสัญลักษณ์เตือนภัยจาก “ธงสีแดง” เป็น “ธงสีเหลือง” หมายถึง ระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพอากาศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเหตุสาธารณภัยหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ หมายเลข 042-633101 หรือ สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมงสถานการณ์น้ำมุกดาหาร #ห้วยบังอี่ #น้ำท่วมภาคอีสาน #ข่าวมุกดาหาร #ฝนตกหนัก #ระดับน้ำลดแล้ว #ปภมุกดาหาร #ชลประทานมุกดาหาร #ภัยพิบัติ #สายด่วน1784 #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / บ้านดอนตัน 100 กว่าหลังคาจมน้ำ ขณะที่เยาวชนฝีพายเรือแข่ง อ.ท่าวังผา ขนน้ำลงเรือแจกจ่ายช่วยชาวบ้าน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดน่านยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่ บ้านดอนตัน หมู่ 4 ตำบลศรีภูมิ อำเภอท่าวังผา ซึ่งมีชาวบ้านกว่า 100 หลังคาเรือนยังคงอาศัยอยู่ท่ามกลางน้ำท่วมขัง ระดับน้ำในพื้นที่ยังสูงกว่า 1 เมตร ส่งผลให้ประชาชนต้องย้ายสิ่งของขึ้นชั้น 2 ของบ้านเพื่อความปลอดภัย ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวจำเป็นต้องอพยพไปพักอาศัยอยู่กับญาติในพื้นที่ใกล้เคียงหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และจิตอาสาได้ระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

โดยมีการจัดส่งอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเยาวชนฝีพายเรือแข่งจากบ้านสบหนอง อำเภอท่าวังผา ได้นำเรือออกให้ความช่วยเหลือในการขนส่งน้ำดื่มและอาหารไปยังบ้านที่ถูกน้ำล้อม เพื่อส่งต่อถึงมือผู้ประสบภัยที่ยังติดอยู่ภายในบ้าน ดร.เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม ได้ลงพื้นที่นำข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่มเข้าไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมรับฟังปัญหาและให้กำลังใจถึงพื้นที่ด้วยตนเอง

นายเดโชพล คำเขียว ผู้ใหญ่บ้านดอนตัน เปิดเผยว่า ขณะนี้ระดับน้ำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง แต่บริเวณท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและอยู่ติดแม่น้ำ ยังคงมีน้ำท่วมสูง โดยเฉพาะในพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งไร่ข้าวโพดและลำไยรวมกว่า 2,000 ไร่ ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด
ขณะที่หมู่บ้านใกล้เคียงในพื้นที่ ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา

ได้แก่ บ้านสบหนอง บ้านหนองบัว บ้านดอนมูล และบ้านดอนแก้ว ระดับน้ำได้ลดลงอยู่ที่ประมาณ 50-80 เซนติเมตร ส่วนในเขตเทศบาลตำบลท่าวังผา ระดับน้ำได้ลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือชาวบ้านในการทำความสะอาดบ้านเรือนและถนน เพื่อขจัดคราบโคลนและป้องกันไม่ให้โคลนแห้งกลายเป็นฝุ่นฟุ้งเข้าสู่บ้านเรือน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการสำรวจความเสียหายในพื้นที่การเกษตร เพื่อวางแผนการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อไป ข้อมูลระดับน้ำ ณ เวลา 14.00 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ในจุดสำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดน่าน พบว่าจุดวัดน้ำ N64 บ้านผาขวาง อ.เมืองน่าน: ระดับน้ำ 9.56 เมตร (แนวโน้มลดลง) – เกินระดับวิกฤติ 9.50 เมตร จุดวัดน้ำ N1 หน้า สนง.ป่าไม้ อ.เมืองน่าน: ระดับน้ำ 7.55 เมตร – เกินระดับวิกฤติ 7.00 เมตร จุดวัดน้ำ N13A บ้านไผ่งาม อ.เวียงสา: ระดับน้ำ 7.59 เมตร – เกินระดับวิกฤติ 6.50 เมตร จุดวัดน้ำ N75 สะพานท่าลี่ อ.เวียงสา: ระดับน้ำ 7.02 เมตร (แนวโน้มลดลง) – ต่ำกว่าระดับวิกฤติ 10.00 เมตร

สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินสไลด์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 15–17 กรกฎาคม 2568 ส่งผลกระทบรวม 7 อำเภอ 13 ตำบล 20 หมู่บ้าน ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์และความเสียหาย
ด้าน นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้สั่งการให้ทุกอำเภอที่ได้รับผลกระทบเร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ และให้หน่วยงานท้องถิ่นจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหาร แจกจ่ายข้าวกล่องให้กับประชาชน

พร้อมทั้งระดมสรรพกำลัง อุปกรณ์ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามจังหวัดน่านยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยประชาชนในพื้นที่เสี่ยงขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย/ภาพข่าวระพีพร เพชรเจริญ/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน