คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าวร้องเรียน ร้องทุกข์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชลประทานที่ 1 เร่งตรวจสอบความเสียหายอ่างเก็บน้ำห้วยโป่ง หลังได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุ “คาจิกิ”

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (8 กันยายน 2568) เวลา 16.00 น. #นายณัฐวุฒิ #นากสุก #ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรม #สำนักงานชลประทานที่ 1 พร้อมด้วย #นายปารเมศ #การุณนราพร #ผู้อำนวยการโครงการชลประทานแม่ฮ่องสอน

และนายภมร เพชระบูรณิน หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 3 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอ่างเก็บน้ำห้วยโป่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อ่างเก็บน้ำได้รับความเสียหายบริเวณทำนบดินและอาคารระบายน้ำล้น หลังจากพื้นที่เกิดฝนตกหนักอย่าง

ต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คาจิกิ” ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อ่างเก็บน้ำไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ตามปกติ

เพื่อประเมินความเสียหายและหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน สำนักงานชลประทานที่ 1 ได้ประสานไปยังฝ่ายจัดการความปลอดภัยเขื่อนและอาคารชลประทาน

เพื่อส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบรายละเอียดของความเสียหายในพื้นที่อีกครั้ง เพื่อวางแผนการซ่อมแซมและแก้ไขปัญหาต่อไป
…#สมจิตร แสงบันลังค์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กองทัพไทยระดมสรรพกำลัง พร้อมทุ่มเท เคียงข้าง ช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูสะพานเสียหายจากน้ำไหลหลาก” / ปค.ดงหลวง – เมืองมุกดาหาร สนธิกำลัง จับกุมผู้ค้ายาเสพติด ยึดยาบ้า

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นาวาอากาศเอกเชิดชู ชูเสน ผู้บังคับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 24 สำนักงานพัฒนาภาค 2 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา สั่งการให้ชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็ว และชุดปฏิบัติงานช่าง หน่วยช่างพัฒนา หน่วย

พัฒนาการเคลื่อนที่ 24 นำเครื่องมือยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ ร่วมกับส่วนราชการและประชาชนจิตอาสาในพื้นที่ ดำเนินการซ่อมแซมฟื้นฟูเส้นทางคมนาคมและสะพานข้ามลำห้วยพังคอง พื้นที่บ้านป่าหวาย ตำบลบ้านโคก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ที่ชำรุดเสียหายบริเวณคอสะพาน

เนื่องจากน้ำกัดเซาะ ผลกระทบจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการใช้เส้นทางจราจร จำนวน 446 ครัวเรือน เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางในการใช้สัญจรระหว่างตำบลบ้านโคกกับตำบลดงมอน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เส้นทางดังกล่าวกลับมาใช้ได้ตามปกติต่อไป

ทั้งนี้หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 24 จัดชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็ว ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและภัยพิบัติต่างๆในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือ ประชาชน

ได้ทันทีเมื่อเกิดภัยหรือได้รับการร้องขอ ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนา และช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถของกองทัพ เพื่อความผาสุขของประชาชนชาวไทย

ปค.ดงหลวง – เมืองมุกดาหาร สนธิกำลัง จับกุมผู้ค้ายาเสพติด ยึดยาบ้า

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป นายพิเชษฐ์ ศรีมารุต นายอำเภอดงหลวง (ผอ.ศป.ปส.อ.ดงหลวง) ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอดงหลวง สนธิกำลัง

ร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองมุกดาหาร ภายใต้การอำนวยการของนายชายสิทธิ์ สุวรรณโชติ นายอำเภอเมืองมุกดาหาร (ผอ.ศป.ปส.อ.เมืองมุกดาหาร) ลงพื้นที่ ต.โพนทราย อ.เมือง จ.มุกดาหาร เพื่อสกัดกั้นและจับกุมผู้ค้ายาเสพติด

การปฏิบัติครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการขยายผลผู้เสพในพื้นที่ อ.ดงหลวง จนสามารถจับกุมนายกำธร วาปี อายุ 45 ปี ชาว อ.เมืองมุกดาหาร ได้พร้อมของกลางยาบ้า 236 เม็ด และเม็ดแตกอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเงินสด 3,160 บาท

เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ดงหลวง #เมืองมุกดาหาร #ปกครองเข้ม #มุกดาหารไม่เอายาเสพติด #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดมุกดาหาร รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เจ้าของสวนสมุนไพรแจ้ง เอาผิดชายฉกรรจ์บุกรุกพื้นที่จับกุมคนสวนโดยไม่มีหมายศาล ทนายความจ่อเอาผิดอีกหลายคดี

แชร์เนื้อหานี้

น.ส.สุภาดา วงศ์ซิ้ม เจ้าของสวนสมุนไพร ได้ลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แกลง ว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองของอำเภอ บุกรุกเข้าไปในพื้นที่บ้านเลขที่ 8/2 ม.5 ต.ทุ่งควายกิน อ.แกลง จ.ระยอง โดยไม่มีการแสดงบัตรเจ้าหน้าที่และหมายศาล

จากนั้นได้ควบคุมตัวพงศ์สุระ ลาภเงิน ซึ่งเป็นผู้ดูแลบ้านและสวน ก่อนจะบังคับขู่เข็ญให้ปลดล็อกรหัสโทรศัพท์ ก่อนจะชิงเครื่องโทรศัพท์ไปลบข้อมูลภาพถ่ายในเครื่องที่ผู้ดูแลบ้านและสวนได้ถ่ายไว้ขณะกลุ่มชายดังกล่าวบุกรุกเข้ามาในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต

ก่อนทั้งสามคนจะข่มขู่ต่างๆ นานา พร้อมทั้งทำร้ายร่างกาย และบังคับขึ้นรถยนต์ไป โดยไม่ทราบว่าไปที่ใด จึงเข้าแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป

ด้าน นายณัฐพล ทองคำ ทนายความ เปิดเผยว่า การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบและสร้างความต่อเจ้าของสวนเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีคนงานมาคอยดูแลพันธุ์ไม้ที่เพาะปลูกไว้ในสวน ซึ่งจะได้เดินทางมาแจ้งความเอาผิดในข้อหาแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน, ชิงทรัพย์, ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157, การเข้าตรวจค้นไม่มีหมายศาล, การจับกุมไม่มีหมายศาล, ร่วมกันบังคับข่มขืนใจผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกาย และกักขังหน่วงเหนี่ยว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / โรงไฟฟ้าพลังงานขยะส่อไปไม่รอด ชาวบ้านลุกฮือ! ลงชื่อคัดค้านทะลุเกือบพันคน จี้ยกเลิก MOU ใกล้แหล่งน้ำและชุมชน มกเม็ดไม่โปร่งใส ใครเอี่ยวมีหนาว

แชร์เนื้อหานี้

ผู้สื่อข่าวเชียงรายรายงานว่าเวลา09.00น.วันที่ 19 สิงหาคม 2568 กลุ่มพลังมวลชนในพื้นที่จากหลายตำบลประกอบด้วยตำบลแม่เย็นตำบลลลทานตะวันตำบลป่าหุงตำบลหัวง้ม อ.พาน จ.เชียงรายได้นัดชุมนุมที่โรงเรียนบ้านท่าหล่มตำบลทานตะวัน อำเภอพานจังหวัดเชียงรายเพื่อ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการถึงประเด็นคัดค้านโรงงานไฟฟ้าจากขยะ พี่จะดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ตำบลแม่เย็นอำเภอพานจังหวัดเชียงราย ในการชุมนุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมชุมนุมและลงชื่อในหนังสือคัดค้านไม่เอาโรงงานไฟฟ้าจากขยะ ล่าสุดทะลุเกือบหลักพันคนแล้ในที่ชุมนุมมีแกนนำ

ผู้คัดค้านที่นำโดย พันตรี สมเจต ช่างซอได้เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมรับฟังการปราศรัยมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตัวบุคลแสดงความคิดเห็น ต่อหน้าประชาชนเป็นจำนวนหลายร้อยร้อยคนที่มาชุมนุม อาทิ สจ.เขตพื้นที่อำเภอพาน แกนนำต่อต้านที่ตำบลป่าหุ่งฯลฯ

การปราศัยแสดงความคิดเห็น หยุดในเวลา12.00น.เพื่อทานอาหารกลางวัน และจะมีการตั้งขบวนรถแห่ออกจากที่จุดชุมนุมไปตามเส้นทางถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าเข้าตัวอำเภอพาน วกกลับทางแยกเข้าตัวอำเภอพานบริเวณพระธาตุจอมแย่

ขาล่อง มุ่งตรงไปยังตำบลแม่เย็นผ่านไปยังจุดบ้านสันไม้ฮาม บริเวณที่ดินที่ตั้งโครงการโรงงานไฟฟ้าฯไปต่อเรื่อยๆผ่านหน้าที่ทำการอบต.แม่เย็น และสิ้นสุดรร.บ้าท่าหล่มที่ตั้งจุดชุมนม ขบวนรถแห่ครั้งนี้ยาวนับ1กิโลเมตร

พันตรี สมเจต ช่างซอแกนนำต่อต้าน ได้กล่าวต่อที่ชุมนุมว่านัดหน้าจะมีการรวมตัวอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อยุติและได้คำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการยกเลิก MOU โรงงานไฟฟ้า พลังงานจากขยะตามหนังสือที่ยื่นไปถึงหลายหน่วยงานก่อหน้าที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่.
สมจิตร แสงบัลลังค์ ทีมงานข่าวเชียงราย รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / วช. ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการวิจัยลด PM2.5 ที่จังหวัดน่าน สร้างเครือข่ายจัดการเศษวัสดุเกษตร-ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 19–20 สิงหาคม 2568 — สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้แผนงานวิจัย “ประเทศไทยปลอดภัยจาก PM2.5” ในพื้นที่จังหวัดน่าน ซึ่งเป็น 1 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายหลักของแผนงาน

ในการนี้ นายสุชัช ศุภวัฒนาเจริญ ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยของประเทศด้านสัตว์เศรษฐกิจ พร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. และเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่ดำเนินงานและร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเครือข่ายท้องถิ่น ในโครงการ “การพัฒนาเครือข่ายชุมชนการจัดการวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรเพื่อลดจุดความร้อน (Hotspot) และฝุ่นละออง PM2.5 ในจังหวัดน่าน”

โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย ดวงใจ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน เป็นหัวหน้าโครงการ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และชุมชนในจังหวัดน่าน อาทิ สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดน่าน บริษัท ไฟฟ้าหงสา จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัดแคชชิว นัท ริช กรุ๊ป (ไทยแลนด์) และองค์การบริหารส่วนตำบลส้าน

โครงการดังกล่าวมุ่งส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุเหลือทางการเกษตร เพื่อลดการเผาในที่โล่งซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของจุดความร้อนและ PM2.5 โดยเชื่อมโยงสู่การสร้างอาชีพทางเลือกในชุมชน เช่น การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ การเพาะพืชน้ำสำหรับอาหารสัตว์เศรษฐกิจ รวมถึงการแปรรูปผลผลิตและพัฒนาการตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในช่วงนอกฤดูการผลิต

พร้อมกันนี้ยังเน้นการส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง โดยใช้กลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ผสานกับองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และผลักดันแนวทางการบริโภคที่ยั่งยืน สู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำและความเป็นกลางทางคาร์บอนในระยะยาว

การประชุมและติดตามในครั้งนี้ ถือเป็นการสานพลังระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ อันจะนำไปสู่รูปธรรมในการลดมลพิษทางอากาศ และการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็งในชุมชนต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ จ.นครสวรรค์ยื่นเรื่อง ให้ สส.บัญชา เดชเจริญศิริกุล และคณะ สส. เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 25 68  กลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดนครสวรรค์  เกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด  อำเภอตากฟ้า  อำเภอตาคลี  อำเภอไพศาลี  อำเภอท่าตะโก  และจังหวัดสุพรรณบุรี จากหลายตำบล ประมาณ  500 คน มารวมตัวกัน ณ ที่ว่าการอำเภอตากฟ้า เพื่อแสดงพลัง สะท้อนปัญหาความเดือดร้อนให้รัฐบาล โดย ยื่นหนังสือต่อ นายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัคนครสวรรค์ แบบบัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทย  นายพีระเดช  ศิริวันสาณฑ์  
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 5 พรรคภูมิใจไทย  นายเศวต  เพชรนุ้ย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครคสวรรค์  นางพนิดา  วานิชรัตน์  พาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์  นายคมกฤช  อุทะโก  เกษตรจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับเรื่องร้องเรียน   ซึ่งกลุ่มเกษตรกร ได้ทำหนังสือร้องเรียนใน  เรื่อง ข้าวโพดจีเอ็มโอนำเข้าเสี่ยงจะบ่อนทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่นเกษตรไร่นาไทย     โดยเนื้อหาว่าจากการที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบชพ.) เมื่อวัน

อังคารที่ 10 มิถุนาขน 2568 เวลา 13.00 น. มีมติส่วนใหญ่ให้นำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรม จากอเมริกาได้ในกรอบ 1.0 ล้านต้น ให้อยู่ในมาตรการ 3:1 โดยให้เอกชนเป็นผู้นำเข้าได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และข้าว ที่กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย และเป็นผู้สร้างรายได้ต้นน้ำทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งที่ผลผลิตวัตถุดิบหมวดพลังงานในประเทศทั้งหมดมีเพียงพอและอยู่ในสภาวะลิ้นตลาดในปัจจุบัน แต่หลังจากมีการเจรจามาตรการทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ผลปรากฏว่าเกิดเงื่อนไขที่เลวร้ายมากขึ้น โดยจะมีการเปิดโอกาศให้นำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมเข้ามาได้ถึง 3.0 ล้านต้น และขังจะให้นำเข้ากากข้าวโพด (DDDGS) อัตราอากรนำเข้าเป็น 0% ในปริมาณ 1.0 ล้านต้น

ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อตกลงโดยไม่สนใจถึงผลกระทบอย่างไร้ความปราณี ไร้ความเท่าเทียมในสังคม แถมด้อยค่าในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติและผู้เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจ ผู้สร้างความมั่นคงทางอาหาร และเป็นผู้ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องทางเศรษฐกิจท้องถิ่นมานับตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ประเทศไทย และเป็นประเทศที่มีพื้มีพื้นที่และภูมิศาสตร์เหมาะกับเกษตรกรรม สุดท้ายเสี่ยงที่จะทำลายความั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว จากสร้างความเหลื่อมลำทางรายได้ การเติบโตของ GDP ที่ไม่เสมอภาคกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่มการวางแผนอย่างเป็นระบบมากกว่า 10 ปี ที่ทำให้เกิดการตัดสินใจเปิดโอกาสให้นำเข้าเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมจากอเมริกาและวัตถุดิบทดแทนในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่สวนทางกับรัฐบาลของกลุ่มประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ ตัวอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย และออสเตรเลีย ทุกประเทศต่างพยายามปกป้อง ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาอาชีพทำไร่ทำนา รวมถึงเสริมด้านการตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงกับอุดหนุนทางการเงินเพื่อให้ส่งออกไปเข่งขันในตลานตลาดได้ เพราะ ถึงแม้ GDP จากภาคเกษตรไร่นาจะไม่สูง แต่มันคือความมั่นคงของประเทศ เพราะเป็นช่วยรองรับแรงกระแทกจากวิกฤติเศรษฐกิจที่มีต่อภาคอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้ สมาคมการค้าพืชไร่และเกษตรกรชาวไร่ขาวนาไทย ขอให้ผู้ที่ทำกับดูแลตามแนวทางดังต่อไปนี

  1. ยับยั้งการนำเข้าข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรมและ DDGS จากประเทศอเมริกา หรือชะลอ
    ไม่ให้มีการรนำเข้าวัตถุดิบทดแทนจากต่างประเทศ ในสการที่วัตถุดิบหนาดพลังหลัง
    ไทยทั้งหมดยังล้มตลาดอยู่ ไม่ควรนำเข้าวัดถุดิบทดแทนต่างๆในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
  2. กำหนดมาตรการยกระดับราคาผลผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และจากพื้นที่ไร่นาภายในประเทศ ให้เกษตรกรพอมีกำไรในการดำรงชีพเพียงพอต่อการชำระหนี้

  1. สนับสนุนให้โรงงานอาหารสัตว์ไทยพึ่งพาวัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจองถิ่นและภูมิภาคมากยิ่งขึ้งขึ้น
  2. ไม่เป็นเครื่องมือในการสร้างการค้าผูกขาดให้กับธุรกิจ ปกป้องอธิปไตยทางอาหารและอธิปไตยทางการตลาดพืชวัตถุดิบหมวดพลังง
  3. ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) มีการสำรวจปริมาณข้าวโพดต่อไร่อย่าง โปร่งใส
  4. ให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อในช่วงเวลาผลผลิตกายในประเทศออก และควรรับซื้อมากกว่ากำลังการผลิต 2-3 เท่า
    ซึ่งเบื้องต้น วันพุธ 20 ส.ค. 2568 ทางคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครสวรรค์ จะขอคิวปรึกษาหารือในเรื่องนี้ต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปชช. ร้องสะพานข้ามห้วยบังอี่ “ไร้มาตรฐาน” ขอให้ตรวจสอบผู้รับเหมา-ผู้ควบคุม-ตรวจรับงานบกพร่องหรือไม่

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า ประชาชนในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ได้ร้องเรียนและขอให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามห้วยบังอี่ ระหว่างบ้านโนนสะอาด หมู่ที่ 8 ตำบลหนองแวง ไปบ้านนาสองเหมือง หมู่ที่ 4 ตำบลนากอก อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร

ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดมุกดาหาร เริ่มสัญญา วันที่ 9 ตุลาคม 2567 สิ้นสุดสัญญา วันที่ 5 มิถุนายน 2568 งบประมาณ 4,839,000 บาท โดยพบความชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็วหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างที่น่าจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานและกำหนดในสัญญาจ้าง

โดยปรากฏสภาพความเสียหายขอของงานก่อสร้างอย่างชัดเจน ทั้งรอยแตกร้าวขนาดใหญ่บนพื้นผิวคอนกรีต ซึ่งบ่งชี้ถึงคุณภาพของวัสดุและการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ ยังพบการทรุดตัวของดินบริเวณทางขึ้นลงสะพาน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจรไปมา

ก่อนหน้านี้ ได้มีที่ปรึกษาและกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมุกดาหาร ลงพื้นที่สอดส่องโครงการดังกล่าว และพบความชำรุดบกพร่องของงานก่อสร้างเช่นกัน

ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสังเกตว่า งานก่อสร้างดังกล่าวไม่น่าจะได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างใกล้ชิดจากผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะผู้ควบคุมงานและคณะกรรมการตรวจรับงาน เนื่องจากสภาพความชำรุดที่ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย และไม่ควรเกิดขึ้นกับสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่งสร้างเสร็จ

“เห็นรอยแตกมานานแล้ว แต่ก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติ แต่พอเห็นดินทรุดลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่แบบนี้ก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ราวกับว่าผู้รับเหมาทำแบบขอไปที และผู้คุมงานก็ไม่ได้มาดูงานอย่างจริงจังตามหลักวิชาการ”ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว

จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช. , ป.ป.ท. สตง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบคุณภาพของงานก่อสร้างดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมทั้งให้มีการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้รับเหมาและผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายและอาจเกิดอันตรายต่อประชาชนสะพานข้ามห้วยบังอี่ #ก่อสร้าง

ไม่ได้มาตรฐาน #คอนกรีตแตกร้าว #ดินทรุด #อันตราย #นิคมคำสร้อย #มุกดาหาร #Mukdahan #ร้องเรียน #โกงหรือไม่ #ทุจริตหรือไม่ #ผู้รับเหมา #ผู้ควบคุมงาน #กรรมการตรวจรับงาน #บกพร่องต่อหน้าที่ #ตรวจสอบ #ความปลอดภัยของประชาชน #กรมโยธาธิการและผังเมือง #กระทรวงมหาดไทย #ปปช #ปปท #สตง #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้////ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปลัดอบต.ภูคาร่วมกับสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน มอบเงินให้กับผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุวิภาน้ำป่าพัดบ้านเสียหายทั้งหมด

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่16 สิงหาคม 2568 ณ บ้านหาดปลาแห้ง ต.บ่อ อ.เมืองน่าน จ.น่าน นายวิโรจน์ อุดนันท์ ปลัด อบต.ภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน ร่วมกับ นายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน ร.ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม คณะกรรมการสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน มอบเงินให้กับครอบเด็กชายอนุชิต ไทยใหม่ นางสาวเสาวิมล บัวเหล็ก ผู้เป็นแม่จำนวนเงิน 20,200 บาท

ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุวิภาน้ำป่าพัดบ้านเสียหายทั้งหมด รายที่ 2 มอบให้ครอบครัวนายชูชาติ สายแปง นางฟองจันทร์ แซ่ด่าน จำนวนเงิน 10,000 บาท ซึ่งหลังคาบ้านเสียหายเกือบทั้งหมดตัวบ้านมีรอยแตกร้าวซึ่งนายชูชาติไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากป่วยเป็นโรคไตต้องฟอกไตอย่างต่อเนื่อง ส่วนภรรยาขายของที่ตลาดบ้านหาดปลาแห้งและลูกชายเป็นลูกจ้างซ่อมรถมีรายได้เพียงวันละ 300 บาท รายที่ 3 มอบให้ครอบครัวนายถาวร

นางไสว ธนารัตน์ จำนวนเงิน 3.000 บาท รวมเป็นเงินที่มอบจำนวน 33,200 บาท(สามหมื่นสามพันสองร้อยบาทถ้วน)ด้านนายวิโรจน์ อุดนันท์ ปลัดอบต.ภูคา กล่าวว่าตนได้ทราบข่าวจากเพจ เฟสบุ๊คของนายบุญยงค์ สดสอาด นายกสมาสื่อมวลชนจังหวัดน่านจึงได้บอกบุญไปยังพวกเพื่อนๆ พี่ๆที่รู้จักกันทั้งในจังหวัดน่านและต่างจังหวัดจึงได้รวบรวมกันนำมามอบเงินที่ได้มาบางส่วนก็เจียดไปซื้อของอุปโภคบริโภคมอบให้ผู้ประสบอุทุกภัยที่อำเภอท่าวังผา

ตนต้องขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ร่วมกันมอบเงินมาช่วยผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ และขอให้มีความสุขความเจริญในหน้าที่การงานคิดสิ่งใดขอให้สมความมุ่งมาตปราถนาทุกประการครับ นายวิโรจน์ อุดนันท์กล่าว ส่วนเด็กชายอนุชิตไทยใหม่ ได้ขอบคุณมายังผู้ใจบุญที่เมตามามอบเงินและ

ได้โอนเงินมาเพื่อสมทบทุนสร้างบ้านหลังใหม่เป็นอย่างสูงครับ ดช.อนุชิตกล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการมอบเงินในวันนี้มีเจ้าอาวาสอารามสงฆ์วัดหาดปลาแห้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบเงิน ในโอกาสเดียวกันนี้ทางผู้บริหารคณะครูโรงเรียนได้ฝากปชส.

📣 ขอความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่า นักเรียนโรงเรียนสารธรรมวิทยาคารโรงเรียนสารธรรมวิทยาคาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน
ขอประชาสัมพันธ์เพื่อขอรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือให้แก่
เด็กชายอนุชิต ไทยใหม่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านหาดปลาแห้ง ตำบลบ่อ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากพายุ “วิภา” ทำให้ บ้านพักอาศัยถูกน้ำป่าพัดพาเสียหายทั้งหมด

🙏 ทางโรงเรียนจึงขอเชิญชวนผู้มีจิตเมตตาร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านหลังใหม่ ให้เด็กชายอนุชิตมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ📌 ชื่อบัญชี: เด็กชายอนุชิต ไทยใหม่📌 ธนาคาร: ออมสิน 📌 เลขที่บัญชี: 020-387-835323

ขอขอบพระคุณในน้ำใจของทุกท่านที่ร่วมเป็นพลังเล็กๆ เพื่อฟื้นฟูอนาคตของนักเรียนคนหนึ่ง ให้สามารถกลับมายืนหยัดและเดินหน้าสู่ความฝันได้อีกครั้ง 💖/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/ร. ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ป.ป.ช.ลงพื้นที่เร่งรัดติดตามคดี อช.แก่งกระจาน บุกจับนายทุนรุกที่ป่า 4,000 ไร่ เสียหายกว่า 100 ล้านบาท DSi เตรียมรับเป็นคดีพิเศษ

แชร์เนื้อหานี้

จากกรณี นายมงคล ไชยภักดี หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พ.ท.ชยานันท์ เสาตรง ศูนย์การทหารราบค่ายธนะรัชต์ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ร่วมลงพื้นที่ตรวจยึดไร่มะม่วงของเอกชนรายหนึ่ง ในพื้นที่บุกรุกเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตที่ราชพัสดุ ร่วมเนื้อประมาณ 4,074–3–29 ไร่ (นส.3 ก.) บริเวณท้องที่หมู่ 1 ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

ในพื้นที่ใช้ประโยชน์ของบริษัทแห่งหนึ่ง ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และที่ราชพัสดุ (ปข.605) ก่อนคณะเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาต่อ เอกชนและกรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัทแห่งหนึ่ง และบุคคลที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินปัจจุบัน จำนวน15 ราย ในฐานร่วมกันกระทำความผิดบุกรุกพื้นที่ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 , พ.ร.บ.ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 , พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 , พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช 2456 , และ ประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อวันที่ 8 ก.ค.68 ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันที่ 5 ส.ค.68 นายจักรกฤช ต้นเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค7 นำคณะ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ภาค7 เจ้าหน้าที่สำนักงานป.ป.ช.ประจวบฯ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSi ภาค7 เจ้าหน้าที่ทหาร ค่ายธนะรัชต์ สำนักงานธนารักษ์ ปลัดอำเภอหัวหิน ตร.สภ.หนองพลับ อบต.หนองพลับ สำนักโยธาธิการและผังเมือง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเร่งรัดติดตามคดี บุกจับนายทุนไร่มะม่วงของเอกชนรายหนึ่ง หลังพบมีการบุกรุกขุดดินไปขาย ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตที่ราชพัสดุ

ในพื้นที่ป่า4,000ไร่ บริเวณท้องที่หมู่1ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง จึงสรุปการประชุม โดยไร้วี้แววเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จ.ประจวบ เข้าร่วมการประชุมแต่อย่างใด จากนั้นคณะเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานจะต้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบแปลงที่ดิน4,000ไร่ดังกล่าว แต่ทางบริษัทแจ้งว่าไม่อนุญาติให้เข้ามาตรวจสอบได้จึงต้องเดินทางกลับ ขณะที่ด้าน นายนพพร ปทุมเหง่า ผอ.สบอ.3 สาขาเพชรบุรี หลังได้รับรายงานจากเรื่องนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวน หาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วต่อไป

นายจักรกฤช ต้นเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปช.ภาค7 กล่าวว่า เบื้องต้นจากการประชุมหารือกันวันนี้ ได้ข้อสรุป 3 เรื่องได้แก่ 1.เรื่องมาตรการขุดดินต้องมีการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ให้มีหน่วยงานกำกับดูแลหน่วยเดียว ซึ่งเรื่องนี้มีมติ ครม.แล้ว มอบให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการให้มีมาตรการและเสนอ ครม.ต่อไป วันนี้ลงพื้นที่มาติดตามมาตรการดังกล่าวยังไม่มีมาตรการดำเนินการจากกระทรวงมหาดไทย หลังจากนี้จะนำเรียนคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อจะเร่งรัดต่อไป 2.เรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ ในที่ดินแปลงดังกล่าวที่มีการกล่าวอ้างว่าโดยมิชอบ ซึ่งหน่วยงานของรัฐในพื้นที่เข้าไปดำเนินคดีแล้ว เชื่อว่าทางทหารและอุทยานได้ทำเรื่องไปถึงกรมที่ดินและธนารักษ์

เพื่อขอให้เพิกถอน นส3ก. ที่เชื่อว่าออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ 3.เรื่องการขุดดินในพื้นที่ดังกล่าวดำเนินการโดยมิชอบ ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้แจ้งความดำเนินคดีกับเอกชนรายนี้แล้วที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ดังกล่าว และอยู่ในระหว่างดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน สภ.หนองพลับและ DSI แล้วอยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะที่ อบต.หนองพลับที่มีหน้าที่อนุญาตการขุดดิน และกำกับดูแลต่างๆ ขณะนี้ยังไม่ดำเนินการอะไร ก็จะนำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด อบต.หนองพลับ มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ได้ข้อสรุปในการประชุมในวันนี้

ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่ ตรวจสอบพบมีความเสียหายรวมมูลค่ากว่า100 ล้านบาท. ขณะที่เรื่องการตรวจสอบการเก็บภาษี เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่า มีการเก็บภาษีที่ดินครบถ้วนหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ทาง ป.ป.ช จะติดตามเร่งรัดคดีนี้ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว ซึ่งหากเป็นความผิด กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2521 จนถึงปัจจุบันก็ขาดอายุความไปแล้ว

แต่ทางเอกชนไม่สามารถยกเรื่องอายุความมาต่อสู้ได้เพราะเป็นเรื่องทางแพ่งที่สามารถเพิกถอนสิทธิ์ได้ แต่ ป.ป.ช.มีความกังวลว่าคดีทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่มาร้องเรียนแล้วก็ขาดอายุความเกือบทุกคดี ส่วนประเด็นที่เร่งรัดด่วนคือ กรณีเจ้าหน้าที่ของ อบต.หนองพลับ มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่อย่างไร เรื่องนี้ต้องเร่งดำเนินการคาดว่าภายใน1เดือนจะต้องหาข้อสรุปได้
/////////////////
ทีมข่าวเฉพาะกิจ จ.ประจวบคีรีขันธ์ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลมุก ร้อง กกต.กลาง – ศูนย์ร้องทุกข์ฯทำเนียบรัฐบาล ปมถูกใส่ร้ายผ่านไลน์ เชื่อทำคะแนนพ่ายโหวตโน

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นางสาวนันท์นภัส ธนวงศ์ทวีสิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลมุก เทศบาลตำบลมุก อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร หมายเลข 2 ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่สำนักงาน กกต. กรุงเทพมหานคร และศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีที่เธออ้างว่า ถูกใส่ร้ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ก่อนการเลือกตั้ง

ผู้ร้องเรียนระบุว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อความผ่านไลน์จากบุคคลชื่อ “กัญจนา…” และ “นันทนา…” โดยมีเนื้อหาจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “กาไม่เลือกใคร” หรือ “โหวตโน” และมีถ้อยคำระบุเจาะจงว่า “อย่าไปกาเบอร์ 2 ได้” พร้อมใส่ร้ายว่าผู้สมัคร “ไม่ใช่คนในพื้นที่”

นางสาวนันท์นภัสระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 65 (5) และยังอ้างว่าบุคคลทั้งสองเป็นบุตรของนายสนั่น ซึ่งมีความเชื่อมโยงเป็นผู้สนับสนุนของนายอนุชา ศรีโยหะ ผู้สมัครหมายเลข 1

สำหรับผลการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ปรากฏว่า นางสาวนันท์นภัสได้รับคะแนนเสียงจำนวน 1,249 คะแนน ขณะที่จำนวนผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ผู้ใด หรือ “โหวตโน” มีมากถึง 1,560 คะแนน ซึ่งมากกว่าคะแนนของเธอถึง 311 คะแนน

นางสาวนันท์นภัสจึงร้องเรียนให้ กกต. – หน่วยงานรัฐ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ระงับการประกาศผลการเลือกตั้ง และแต่งตั้งตนเองเป็นนายกเทศมนตรี เนื่องจากเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และอาจมีการชี้นำประชาชนด้วยข้อมูลเท็จอีกด้วย

นายกเทศมนตรีตำบลมุก #เทศบาลตำบลมุก #ร้องเรียนเลือกตั้ง #โหวตโน #มุกดาหาร #การเมืองท้องถิ่น #กกต #ข่าวเลือกตั้ง #ข่าวการเมือง ///// ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ ผู้สื่อข่าวสื่อรัฐทีวี ประจำจังหวัดมุกดาหาร