สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จัดงาน “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22” กระตุ้นการท่องเที่ยวเพชรบุรี-ประจวบฯ

Oplus_131072

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการ จ.เพชรบุรี เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22 – Timeless Friendship มิตรภาพไร้กาลเวลา” ระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค.67 มี นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย นายพันธุ์ธัช หิรัญจิรวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเพชรบุรี นางดวงใจ คุ้มสะอาด ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี นายนิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผอ.ททท.สำนักงานประจวบฯ นางไพลิน กองพันธ์ รองนายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน นายพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ร่วมการแถลงข่าวท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง

Oplus_131072

นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “งานหัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 22 โดยปีนี้สมาคมฯ ร่วมกับ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เป็นปีที่ 3 และได้รับการสนับสนุนอย่างดีเช่นเคยจากพันธมิตรเดิม ทั้ง หอการค้าจังหวัดเพชรบุรี เทศบาลเมืองชะอำ เทศบาลเมืองหัวหิน และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยสมาคมฯ หวังสร้างมิตรภาพตลอดการเดินทาง กระตุ้นการท่องเที่ยว ด้วยขบวนรถโบราณ และรถคลาสสิค บนเส้นทาง กรุงเทพฯ-หัวหิน ตามแนวคิด “มิตรภาพไร้กาลเวลา-Timeless Friendship” เพื่อให้เจ้าของรถได้รำลึกถึงความทรงจำที่คุ้นเคย แม้จะพบกันเพียงครั้ง จะยังจดจำมิรู้ลืม

Oplus_131072

นายพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน กล่าวว่า “โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ขอขอบคุณสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ที่ให้เกียรติและไว้ใจให้โรงแรมฯ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงานเป็นปีที่ 3 โดยเรายินดีสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ขบวนพาเหรดรถโบราณถือเป็นอีกหนึ่งงานไฮไลท์ที่ชาวเมืองเพชรบุรีและหัวหิน รวมถึงนักท่องเที่ยวและแฟนคลับตั้งตารอคอยเพื่อชมความงามอันทรงคุณค่าที่นับวันจะหาดูได้ยาก โรงแรมของเรามีพื้นที่กว้างขวาง และมีศูนย์การประชุมซึ่งสามารถรองรับคาราวานรถโบราณและการจัดงานต่างๆ ได้ทุกรูปแบบ”

Oplus_131072

สำหรับพิธีปล่อยขบวนรถโบราณ “หัวหิน วินเทจ คาร์ พาเหรด ครั้งที่ 22” จะเริ่มต้นที่ พิพิธภัณฑ์คนรักรถ AUTO RENDEZVOUS MUSEUM-BANGKOK ถนนประชาอุทิศ สู่ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน ในวันศุกร์ที่ 20 ธ.ค.67 โดยประชาชนทั่วไปสามารถชมรถคลาสสิค และรถโบราณอันทรงคุณค่าได้อย่างใกล้ชิดตลอดเส้นทาง นอกจากนั้น ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ งานกาลาดินเนอร์ ในคืนวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค.67 ซึ่งจะมีเวทีลีลาศ กับวงดนตรี Sensation ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/VintageCarClub

Oplus_131072

ตม.ประจวบฯระดมตรวจค้นแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ

วันพุธที่ 6 พ.ย.67 พ.ต.ท.ณัฏฐวรรธ แก้วทิพย์เนตร สว.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ นำทีมเจ้าหน้าที่ตม.ประจวบฯร่วมกับเจ้าหน้าที่ กอ.รมนลงพื้นที่ตรวจแคมป์พักคนงานก่อสร้างในพื้นที่รับผิดชอบของ บก.ตม.3 ฯ เป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

โดย มีห้องพักประมาณ 30 ห้อง มีแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 8 คน แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 10 คน และแรงงานไทย จำนวน 10 คน สำหรับแรงงานต่างด้าว มีเอกสารหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานถูกต้อง มีการแจ้งที่พักอาศัยตาม ม.37 ถูกต้องตรงตามที่อยู่จริง ผลการตรวจไม่พบการกระทำความผิดและสิ่งผิดกฎหมายใดๆ

ตม.ประจวบฯ รวบต่างด้าวแสบแอบเนียนแต่งหญิงแฝงเป็นคนไทย

วันนี้ 7 พ.ย.2567 ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.ฯรรท.ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ,พ.ต.ท.อดุลย์ คงไข่ศรี รอง ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ณัฏฐวรรธ แก้วทิพย์เนตร สว.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์, ,ฝายสืบสวน สภ. บางสะพาน และเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางาน จว.ประจวบคีรีขันธ์

เดินทางออกสืบสวนตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง/คนต่างด้าวสุ่มเสี่ยง กระทำผิดกฎหมายในพื้นที่รับผิดชอบ ตรวจพบร้านเสริมสวย คลินิกเส้นผม แพนบิวตี้ เลขที่ 262/7-8 ต.กำเนิดนพคุณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์โดยมี นายคำไพ ไชยาสาน อายุ 36 ปี สัญชาติลาว หนังสือเดินทางเลขที่ PA0214435
โดยกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาจักรไทยอยู่อาศัย

โดยการอนุญาตสิ้นสุด (oversay อยู่เกินจำนวน 1594 วัน) ,เป็นคนต่างด้าวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต , กระทำความผิดตาม พรก.การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พศ.2561ข้อหา เป็นคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานตามข้อสั่งการของ ผบช.สตม.และผู้บังคับบัญชา เจ้าพนักงานชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนหาข่าวเกี่ยวกับการกระทำความผิดของคนต่างด้าว โดยเฉพาะกรณีที่มีคนต่างด้าวมาประกอบอาชีพในลักษณะแย่งอาชีพคนไทย จนกระทั่งสืบทราบว่า

ได้มีบุคคลสัญชาติลาว ได้แอบมาประกอบอาชีพร้านเสริมสวยในพื้นที่ ตลาดบางสะพาน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชื่อว่าร้านคลินิกเส้นผม แพนบิวตี้ (สถานที่เกิดเหตุจับกุม) โดยแสดงใบผ่านการอบรมหลักสูตรเสริมสวยต่างๆ แอบอ้างเป็นคนไทยใช้ชื่อว่า พนมพร วงสีดา ติดไว้ภายในร้านเพื่อให้เชื่อว่าเป็นคนไทย และได้ตั้งโต๊ะจำหน่ายอาหารตามสั่งส้มตำที่หน้าร้าน จึงได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานประสานกับเจ้าหน้า

นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จัดพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันที่ (7 พ.ย.67) ที่บริเวณ สนามกีฬาโรงเรียนบ้านโคกกระแซขี้เหล็กน้อย ต.ถ้ำเจริญ อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ จัดพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี นายจุมพฏ วรรณฉัตรศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานมอบ พร้อมด้วย นายวินัย โตเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นางอรอนงค์ โตเจริญ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ นายเฉลิมพล บรรเทา ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ นายสัตวแพทย์ ธีร์ พูดเพราะ ปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ

นางสาววลีรัตน์ นามปัญญา เกษตรและสหกรณ์จังหวัดบึงกาฬ นางสุนิสา เอมสมบุญ ผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติและยุติธธรรรมจังหวัดบึงกาพ นายพงษ์เทพ จันทร์ชิต ประมงจังหวัดบึงกาฬ นางจีรสุดา ศรีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์บึงกาฬนางสาวสงกรานต์ ตระนนท์ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดบึงกาฬ พ.จ.อ.โสภณ สิทธิจันทร์ นายอำเภอโซ่พิสัย หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนทั่วไป ร่วมงานพิธี

นายสัตวแพทย์ ธีร์ พูดเพราะ ปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งกรมปศุสัตว์รับสนองพระราชดำริดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2522 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้มีโค-กระบือไว้ใช้แรงงานและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร จากการดำเนินงานที่ผ่านมา

สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เกษตรกรที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของโครงการ จำนวน 7,200 ราย แม่สัตว์ในโครงการ จำนวน 721 ตัว ในปี 2567 มอบกรรมสิทธิ์โค-กระบือให้แก่เกษตรกรจำนวน 350 ราย แม่สัตว์จำนวน 358 ตัว ถือได้ว่าเป็นโครงการที่สามารถแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกร โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำเนินงานประกอบกับเกิดประโยชน์ เช่น การใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยในไร่นา การทำแก๊สชีวภาพ การอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่น เป็นต้น


นายจุมพฏ วรรณฉัตรศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริ ที่พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริ เป็นโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีโค-กระบือไว้ใช้แรงงาน และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้รับสนองพระราชดำริ ดำเนินการตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2522 เป็นต้นมา จากการดำเนินการที่ผ่านมา ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้วกว่า 376,858 ราย ถือได้ว่าก่อเกิดประโยชน์เป็นคุณปการแก่เกษตรกรเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่น่ายินดี ที่มีการบูรณาการร่วมกันในพื้นที่อย่างเป็นระบบ สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกร และให้ชุมชนมีส่วนร่วม ในการบริหารโครงการ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง และยังมีการต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร

การอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่น และประการสำคัญยังได้น้อมนำ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นการสนอง แนวพระราชดำริ ด้านการส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกร สามารถพึ่งพาตนเองได้ และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการพระราชดำริ ทุกโครงการ รวมถึงโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ฉะนั้น จึงขอให้เกษตรกรที่ได้รับมอบโค-กระบือในครั้งนี้ ดูแล เลี้ยงดู โค-กระบือ เป็นอย่างดี เสมือนเป็นสมาชิกในครัวเรือน และปฏิบัติตามระเบียบหลักเกณฑ์ ของโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคล แก่ตนเองและครอบครัว ขอขอบคุณทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโรงเรียนบ้านโคกกระแชขี้เหล็กน้อย องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำเจริญ และกลุ่มเกษตรกรตำบลถ้ำเจริญ ที่ได้ช่วยกันจัดงาน ในครั้งนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

สำหรับเกษตรกรที่ได้รับการมอบกรรมสิทธิ์โค-กระบือ ในวันนี้ มีจำนวน 358 ราย เป็นเกษตรกรในพื้นที่ทุกอำเภอของจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งมีคุณสมบัติถูกต้อง ให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร ภายใต้ระเบียบและหลักเกณฑ์ พร้อมทั้งมอบแร่ธาตุและเวชภัณฑ์ ให้แก่กลุ่มเกษตรกร ด้านนายอุดม กองสุมาตร อายุ 57 ปี เกษตรกรในตำบลถ้ำเจริญ หนึ่งในเกษตรกรที่ได้รับโครงการธนาคารโค-กระบือ กล่าวว่า ภูมิใจที่ได้จากโครงการนี้ เพราะว่าเคยทำหลายปีแต่ไม่เคยได้เลย เพิ่งมาได้ปี 67 ดีใจมากที่ทางปศุสัตว์จังหวัด และปศุสัตว์อำเภอ ที่มองความสำคัญของเกษตรกรที่มีความจำเป็นจะต้องใช้การเลี้ยงลูกวัว และส่งคืนกรมปศุสัตว์ตัวแรก เลี้ยงไป 5 ปี เราเลี้ยงวัวผลิตลูกออกมาและมูลสัตว์ใช้ทำเป็นปุ๋ยได้ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีจากร้านค้า เป็นผลดีกับเกษตรกรเพราะปุ๋ยมูลสัตว์รักษาดินได้ดีกว่าปุ๋ยเคมี

ซึ่งโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ถือได้ว่าเป็นโครงการที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกร โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำเนินงาน สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกร และให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ตลอดจนมีการต่อยอดการใช้ประโยชน์ ขณะที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดบึงกาฬ จะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อเนื่องให้กับเกษตรกรที่ยังขาดโอกาส และพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งต่อไป
นายณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / สนง.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร มอบปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกรกลุ่มเลี้ยงสัตว์/กิจกรรมปั่นขึ้นดอย กอย 4 เมืองล้านนา ชมวัฒนธรรม แพร่-น่าน-พะเยา-เชียงราย

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 น. นางณัติกานต์ บุญเจริญ หัวหน้าสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน พร้อมด้วยนายวุฒิพันธุ์ เนตรวิชัย ปศุสัตว์จังหวัดน่าน/อนุกรรมการฯ จังหวัดน่าน นายวุฒิไกร กุลกัลชัย รองประธานอนุกรรมการฯ จังหวัดน่าน และนายวัชรพงษ์ พญาพรหม ปศุสัตว์อำเภอเมืองน่าน ลงพื้นที่ร่วมส่งมอบปัจจัยการผลิต (งวดที่ 1) ให้กับองค์กรเกษตรกร กลุ่มเลี้ยงสัตว์บ้านซาวหลวง ตามที่องค์กรเกษตรกรได้รับอนุมัติโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร งบประมาณประจำปี 2567 ประเภทงบกู้ยืม ชื่อโครงการ “เลี้ยงวัว” งบประมาณที่ได้รับ 500,000 บาท สมาชิกเข้าร่วมโครงการ 10 คน ระยะเวลาดำเนินกิจกรรม 7 ปี (ปลอดดอกเบี้ย) ณ บ้านซาวหลวง หมู่ 5 ตำบลบ่อสวก อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน

โดย นายวุฒิพันธุ์ เนตรวิชัย ปศุสัตว์จังหวัดน่าน/อนุกรรมการฯ จังหวัดน่าน ได้ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติการเลี้ยงโคให้ได้มาตรฐาน ให้คำแนะนำและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคลัมปี สกิน (Lumpy Skin Disease) มาตรการการเคลื่อนย้ายสัตว์ การตรวจโรคแท้งติดต่อ การฉีดวัคซีน และการทำเบอร์หูหมายเลขประจำตัวสัตว์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงานตามโครงการฯ ให้แก่สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 10 ราย โดยสมาชิกจะนำข้อชี้แจงและข้อปฏิบัติไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมตามโครงการฯ อย่างเคร่งครัด ต่อไป

ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน ศาลากลางจังหวัดน่าน ชั้น 5 โทรศัพท์ 054-716426 ในวันและเวลาราชการ/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

น่าน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน ส่งมอบปัจจัยการผลิต(งวดที่ 2 )ให้กับองค์กรเกษตรกร กลุ่มเกษตรผสมผสานบ้านเวียงสอง

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา นางณัติกานต์ บุญเจริญ หัวหน้าสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน พร้อมด้วยนายสำเริง แก้วเทพ ประธานอนุกรรมการฯ จังหวัดน่าน นายวุฒิพันธุ์ เนตรวิชัย ปศุสัตว์จังหวัดน่าน/อนุกรรมการฯ นายสุรชัย ดวงใจ อนุกรรมการฯ และนายวีรวัฒน์ โพธิ์สุยะ ปศุสัตว์อำเภอทุ่งช้าง ลงพื้นที่ร่วมส่งมอบปัจจัยการผลิต (งวดที่ 2) จำนวนเงิน 205,000 บาท ให้กับองค์กรเกษตรกร กลุ่มเกษตรผสมผสานบ้านเวียงสอง ตามที่องค์กรเกษตรกรได้รับอนุมัติโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร งบประมาณประจำปี 2567 ประเภทงบกู้ยืม ชื่อโครงการ “ต่อยอดการเลี้ยงไก่พื้นเมืองพันธุ์ประดู่หางดำเพื่อจำหน่าย” โดยองค์กรเกษตรกรได้รับงบประมาณทั้งสิ้น จำนวนเงิน 595,000 บาท สมาชิกเข้าร่วมโครงการ 10 คน ระยะเวลาการคืนเงิน 5 ปี (ปลอดดอกเบี้ย) ณ บ้านเวียงสอง หมู่ 4 ตำบลและ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน

ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดน่าน ศาลากลางจังหวัดน่าน ชั้น 5 โทรศัพท์ 054-716426 ในวันและเวลาราชการ/บุญยวค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จับมือจัดกิจกรรมปั่นขึ้นดอย กอย 4 เมืองล้านนาตะวันออก เชื่อมโยง 4 จังหวัดเมืองล้านนาตะวันออก ทัวร์ ออฟ ล้านนา ชมวัฒนธรรม แพร่-น่าน-พะเยา-เชียงราย

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องประชุมโรงแรมเวียงแก้ว ตำบลฝายแก้ว อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน นายวิภุช วิเศษสิงห์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา เป็นประธานการประชุมเพื่อร่วมหารือการเตรียมความพร้อมดำเนินโครงการบูรณาการการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ครั้งที่ 1 ในกิจกรรมปั่นขึ้นดอย กอย 4 เมืองล้านนาตะวันออก เชื่อมโยง 4 จังหวัดเมืองล้านนาตะวันออก ทัวร์ ออฟ ล้านนา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และสื่อมวลชน เข้าร่วมการประชุมฯ

สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพะเยา กำหนดดำเนินโครงการบูรณาการการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด กิจกรรมปั่นขึ้นดอย กอย 4 เมืองล้านนาตะวันออก เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย ใน 4 จังหวัด ได้แก่ จ.พะเยา จ.แพร่ จ.น่าน จ.เชียงราย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่และมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นและเป็นการช่วยฟื้นฟูหลังอุทกภัยในอีกทางหนึ่ง


สำหรับรูปแบบกิจกรรมจะจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา คือการแข่งขันจักรยานทางไกล ทัวร์ ออฟ ล้านนา กิจกรรมปั่นขึ้นดอย กอย 4 เมืองล้านนาตะวันออก ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) วันที่ 23 – 30 ธันวาคม 2567 จำนวน 8 วัน 8 สนาม ซึ่งเป็นการดำเนินการแข่งขันตามกติกามาตรฐานสากลของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (UCI.) รับรองการจัดแข่งขันโดยจากสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้การแข่งขันได้มาตรฐานเป็นสากล และจะมีนักปั่นทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งใช้เส้นทางแต่ละจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด โดยเริ่มจาก จ.แพร่ ไป จ.น่าน เข้า จ.พะเยา และไปสิ้นสุดที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย


สำหรับจังหวัดน่าน เป็นจังหวัดที่สอง ของการแข่งขันจักรยานทางไกล ทัวร์ ออฟ ล้านนา จะมีการแข่งขันใน วันที่ 25 ธันวาคม 2567 Stage ที่ 3 รอบเมืองน่าน โดยเน้นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดน่าน โดยการแข่งขันจะใช้ระยะทางแข่งขันประมาณ 1.5 – 3 กิโลเมตร/รอบ การแข่งขันจะใช้ระยะทางรวมประมาณ 30 กิโลเมตร สำหรับวันที่ 26 ธันวาคม 2567 Stage ที่ 4 จาก สตาร์จากน่านและไปเข้าเส้นชัยที่จังหวัด พะเยา ซึ่งการแข่งขันจะผ่านแหล่งท่องเที่ยว ชุมชนท่องเที่ยว ของทั้งสองจังหวัดอีกด้วย ซึ่งจังหวัดน่าน มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ วัดภูมินทร์ วัดพระธาตุแช่แห้ง จุดชมทะเลหมอกดอยเสมอดาว วัดถ้ำเชตวัน เป็นต้น
/ภาพข่าว/พ.อ.พยอม บุญทร/ บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / Eplanet Pte Ltd ประกาศจัดการประกวด Heritage Pageants ครั้งที่ 7 ประจำปี 2567

​Eplanet Pte Ltd บริษัทสัญชาติสิงคโปร์ มีความภูมิใจที่จะประกาศการจัดการประกวด Heritage Pageants ครั้งที่ 7 ประจำปี 2567 เวทีการประกวดระดับโลกที่เชิดชูความงดงามของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมรดกทางภูมิปัญญา โดยจะจัดขึ้นในประเทศไทยระหว่างวันที่ 9-18 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดพิธีประกาศผลรางวัลในวันที่ 16 พฤศจิกายน การประกวดในปีนี้จะรวบรวมผู้เข้าประกวดจากทั่วโลก เพื่อนำเสนอความสง่างาม ประเพณี และความเป็นหนึ่งเดียวของโลก นับตั้งแต่ก่อตั้ง Heritage Pageants ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการประกวดระดับนานาชาติ ที่เป็นที่รู้จักในด้านการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ งานอันทรงเกียรตินี้บริหารโดย Eplanet Pte Ltd ภายใต้การนำของประธานบริษัท คุณสันโตษ สัปโกตา ผู้ซึ่งอุทิศตนผลักดันให้ Heritage Pageants ก้าวสู่เวทีระดับโลก

​การประกวดปีนี้ได้รับเกียรติจากนักออกแบบท่าเต้นชื่อดัง คุณโรจิน ชาคยา จากประเทศเนปาล และคุณเวสลีย์ ซอว์ จากประเทศมาเลเซีย ผู้ซึ่งจะสร้างสรรค์การแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยมีคุณซูซาน แซนเฟอร์นี โกะ เป็นผู้ดูแลการจัดงาน และคุณฝนธิป ศรีวรัญญู ผู้ชนะเลิศ Mrs. Heritage International 2022 เป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้เข้าร่วมและผู้ชม การเฉลิมฉลองมรดกโลกและความเป็นหนึ่งเดียว Heritage Pageants 2024 จะมีการประกวดหลายประเภท ได้แก่ Mrs. Heritage, Miss Heritage, Mister Heritage, Heritage Gold, Heritage Gems และ Heritage Petite ผู้เข้าประกวดแต่ละคนจะเป็นตัวแทนแสดงเอกลักษณ์ประจำชาติและวัฒนธรรมของตน นำเสนอความสามารถและเชิดชูมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ การประกวดนี้เป็นเวทีส่งเสริมไมตรีจิตระหว่างประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าประกวดได้แบ่งปันประเพณีของตนสู่สายตาชาวโลก พร้อมสร้างความซาบซึ้งในความหลากหลายทางวัฒนธรรม

เกี่ยวกับ Eplanet Pte Ltd ก่อตั้งในปี 2542 Eplanet Pte Ltd เติบโตขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกด้านการจัดการอีเวนต์ โดยเชี่ยวชาญด้านการประกวดนางงามและงานเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม ตั้งแต่การแสดงดนตรีไปจนถึงงานแสดงสินค้า บริษัทมีประวัติอันยาวนานในการจัดงานระดับโลก Eplanet เป็นที่รู้จักในด้านความเป็นเลิศ และ Heritage Pageants เป็นหนึ่งในโครงการที่ทรงเกียรติที่สุด ผสมผสานความงาม วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศประวัติ Heritage Pageants จัดขึ้นครั้งแรกที่กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ในปี 2557 Heritage Pageants ได้พัฒนาเป็นงานระดับโลก โดยจัดในหลายเมืองสำคัญ เช่น นิวเดลี ศรีลังกา สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตั้งแต่การสวมมงกุฎให้กับ Hla Yin Kyae จากเมียนมาร์ ผู้ชนะ Miss Heritage International คนแรก จนถึงผู้ครองตำแหน่งล่าสุดในปี 2566 Wuandar Jirleyth Casanova จากเวเนซุเอลา และ Erika Hara จากญี่ปุ่น แต่ละการประกวดเป็นประจักษ์พยานถึงความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมและความสามารถของผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก

เวทีแห่งโอกาสและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
​นอกเหนือจากการแข่งขัน Heritage Pageants เป็นเวทีพิเศษสำหรับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมแสดงออกถึงมรดกทางวัฒนธรรมอย่างภาคภูมิ สร้างความสัมพันธ์ระดับโลก และมิตรภาพที่ยั่งยืน ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ การแสดง และกิจกรรมร่วมกัน ผู้เข้าประกวดได้แบ่งปันประเพณีและวัฒนธรรม สร้างพื้นที่แห่งความเคารพและชื่นชมซึ่งกันและกัน Heritage Pageants ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะที่เป็นมากกว่าการประกวด แต่เป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางวัฒนธรรมของโลก ส่งเสริมคุณค่าของความเป็นหนึ่งเดียว การอยู่ร่วมกัน และการเสริมพลัง ผู้เข้าประกวดทุกคนจะจากการประกวดไปพร้อมความทรงจำอันมีค่าและความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมอันกว้างใหญ่ของโลก

​ในการเตรียมงาน Heritage Pageants 2024 Eplanet Pte Ltd มุ่งหวังที่จะสร้างการประกวดที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง เฉลิมฉลองความเป็นหนึ่งเดียวของโลกผ่านมรดกและวัฒนธรรม การประกวดปีนี้จะสร้างแรงบันดาลใจและรวมผู้ชมจากทุกมุมโลก สืบสานมรดกแห่งการเชิดชูความงามและความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม อนึ่งจะมีการแถลงข่าวเปิดตัวการประกวดปี 2024
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 ณ Tinidee Trendy Khaosan Rd. Bangkok Thailand เวลา 15.00 น เป็นต้นไป สำหรับการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:Eplanet Pte Ltdติดตามเราได้ที่: Facebook: www.fb.com/pageantofheritage
Instagram: www.instagram.com/heritagepageants
เว็บไซต์: www.pageantofheritage.com

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /รมว.อุตสาหกรรม เรียกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 10 สมาคมเหล็ก ถกเร่งแก้วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กของไทย /เทศบาลบ้านกรูด ประชุมคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนฯ ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดกระทรวง เชิญแกนนำกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก ร่วมหารือปัญหาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก และหาแนวทางแก้ไขเพื่อความอยู่รอดตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมที่กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม หารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมเหล็กไทย นำโดย นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก คณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. และ 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีสมาชิกรวม 510 บริษัท จ้างงานโดยตรงกว่า 50,000 อัตรา และจ้างงานทั้งระบบกว่า 3 แสนคน

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานส.อ.ท. กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาและพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมเหล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบอุตสาหกรรม เพราะเหล็กเป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย ได้แก่ ก่อสร้าง รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ โดยหลายประเทศต่างก็ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติของตน แต่ขณะนี้โลกเผชิญวิกฤตกำลังการผลิตเหล็กของโลกล้นเกินความต้องการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนซึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจและธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศของจีนลดลง ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กในจีนยังคงผลิตเหล็กในสัดส่วนสูงมากราวร้อยละ 58 ของการผลิตเหล็กของทั้งโลกรวมกัน จีนจึงมุ่งส่งออกสินค้าเหล็กไปยังภูมิภาคหรือประเทศที่มีช่องโหว่ซึ่งจีนสามารถทุ่มตลาดได้ โดยในช่วง 9 เดือนแรก ประเทศจีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กแล้ว 81 ล้านตัน และคาดว่าทั้งปี 2567 จีนจะส่งออกสินค้าเหล็กมากสุดในรอบ 8 ปี ปริมาณสูงถึง 109 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า โดยสินค้าเหล็กจากจีนที่ส่งมายังประเทศไทยปีนี้มีแนวโน้มปริมาณมากกว่า 5.1 ล้านตัน และครองส่วนแบ่งปริมาณเหล็กนำเข้ามากที่สุดร้อยละ 44 ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กในไทยมีการใช้กำลังการผลิต (Production Capacity Utilization) ถึงขั้นวิกฤตต่ำกว่าร้อยละ 30 แล้วจนหลายโรงงานเหล็กต้องทยอยปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานไป ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก จึงขอเสนอ 7 แนวทางบรรเทาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก ดังนี้

มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กเฉพาะประเภทที่มีกำลังการผลิตมากเกินความต้องการใช้ภายในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ โรงงานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เป็นต้น มาตรการส่งเสริมให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon การเร่งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป มาตรการสงวนเศษเหล็กเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์ เพื่อให้มีการบริหารจัดการและสามารถนำวัสดุต่างๆ มาแปรใช้ใหม่ (Recycle) ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด นโยบายส่งเสริมการใช้สินค้าที่ได้รับการรับรองจากส.อ.ท. ว่าผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand หรือ MiT) ไม่เพียงแค่เฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเท่านั้น โดยขยายไปยังโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public – Private Partnership หรือ PPP) และโครงการก่อสร้างของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) ด้วย

การสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางการค้าต่างๆ โดยเข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์และทันท่วงที เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping หรือ AD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention หรือ AC) กับสินค้าเหล็กบางประเภทเท่านั้น โดยไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty หรือ CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard หรือ SG) แต่อย่างใด ในขณะที่ประเทศไทยยังคงถูกจีนส่งสินค้าเหล็กมาทุ่มตลาดปริมาณเฉลี่ยกว่า 4.2 แสนตันต่อเดือน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับทราบข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในหลายอุตสาหกรรมของประเทศไทยต้องสนับสนุนด้วยมาตรการต่างๆ อย่างทันท่วงที โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็ต้องมีการปรับตัวรับการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและประโยชน์ของประเทศชาติด้วย ทั้งนี้หลายข้อเสนอจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กบางประเภท การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) อาคารโครงสร้างเหล็ก มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเศษเหล็ก รวมถึงการจัดการซากรถยนต์ เป็นต้น โดยจะเร่งรัดผลักดันมาตรการต่างๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กยังคงอยู่เป็นพื้นฐานสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศไทย

เทศบาลบ้านกรูด ประชุมคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนฯ รายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประจำปี 2567

ที่สำนักงานเทศบาลตำบลบ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอิศรา กาญจนรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านกรูด พร้อม นายพันธ์เทพ จิตต์การุณย์ ประธานในการประชุมคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลบ้านกรูด พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร หัวหน้าสำนักปลัดเทศบาล หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ เจ้าหน้าที่งานสวัสดิการสังคม และคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลบ้านกรูด เข้าร่วม การประชุมคณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลบ้านกรูด ครั้งที่ 3/2567 เพื่อรายงานผลการดำเนินการโครงการบ้านพอเพียง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา

และนอกจากนี้ คณะกรรมการสภาองค์กรชุมชนเทศบาลตำบลบ้านกรูด ยังได้เสนอขอรับงบประมาณสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ตามที่ได้ดำเนินการสำรวจและจัดทำข้อมูลบ้านพอเพียงแล้ว
////////////////

ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กลุ่ม บีเจซี บิ๊กซี ทอดผ้าพระกฐิน พระราชทาน ณ วัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง 1,834,991 บาท

กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี เป็นเจ้าภาพอัญเชิญผ้าพระกฐิน พระราชทาน ณ วัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง รวมปัจจัย กฐินพระราชทาน และกฐินสามัคคี รวมทั้งพุ่มผ้าป่าฯจากสายธารศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ร่วมสมทบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.8 ล้านบาท พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐิน ตามที่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด(มหาชน) และบริษัท บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) โดย นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปถวายยังชุมนุมสงฆ์ที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง อ.เซกา จ.บึงกาฬ

โดยมี พระราชภาวนาโสภณ วิ. เจ้าคณะจังหวัดบึงกาฬ เจ้าอาวาสวัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายจุมพฏ วรรณฉัตรศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นายสัญญา โยธา ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดบึงกาฬ นายนคร ศิริปริญญานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานภาคเอกชน ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และบุคลากรของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ทั้งส่วนกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมพิธี ดังกล่าว


เมื่อเวลา 13.09 น.( 4 พฤศจิกายน 2567) ขบวนอัญเชิญพระกฐินพระราชทานพร้อมเครื่องบริวารพระกฐินเดินทางถึงบริเวณพระอารามหลวง โดย คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานในพิธี เดินทางมาถึงด้านหน้าพระอุโบสถ ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นได้เปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายความเคารพ และรับผ้าพระกฐินพระราชทาน วงดุริยางค์ทหารบก บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
จากนั้น โดย คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทาน เดินเข้าสู่พระอุโบสถ วางผ้าพระกฐินที่พานแว่นฟ้า หน้าพระสงฆ์รูปที่2 จุดธูปเทียนบูชาพระประธานในพระอุโบสถ ยืนประนมมืออุ้มประคองผ้าพระกฐินไว้

โดยหันหน้าไปทางพระประธาน กล่าวนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน เมื่อกล่าวคำถวายจบ ได้ยกประเคนถวายแด่พระสงฆ์รูปที่ได้รับฉันทานุมัติในหมู่สงฆ์ให้เป็นผู้ครองผ้าพระกฐิน คือ พระราชภาวนาโสภณ วิ. เจ้าคณะจังหวัดบึงกาฬ เจ้าอาวาส วัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง ต่อจากนั้นประธานในพิธี ถวายเครื่องบริวารพระกฐินพระราชทาน แด่พระราชภาวนาโสภณ วิ. ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ถวายเครื่องไทยธรรมพระสงฆ์รูปที่ 2 แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมพิธี นำเครื่องไทยธรรม ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ 9 รูป เป็นอันเสร็จพิธี

สำหรับ พิธีทอดผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม และสนับสนุนกิจกรรมต่างๆของพระอาราม เช่น จัดสร้างอาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรม สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับพระภิกษุสามเณร โดยได้ยอดเงินรวม 1,834,991 บาท
ทั้งนี้ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี สาขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดโรงทานให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน มีทั้งอาหาร หวาน คาว ขนมขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีประชาชนร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ นโยบายการพัฒนาการศึกษา “สพม.น่าน องค์กร คุณภาพ-คุณธรรม/รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2568 ณ โรงเรียนไตรประชาวิทยา อ.ปัว

นางนัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน กล่าวภายหลังเปิดการประชุมผู้อำนวยการสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน ครั้งที่ 5/2567 พ.ศ. 2567 ว่า การประชุมครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการชี้แจงข้อราชการในการดำเนินงาน และติดตามผลการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นการมอบนโยบายในการร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568 โดยใช้สหวิทยาเขตเป็นฐานและเครือข่ายนิเทศ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ตั้งเป้า “ปีทองแห่งคุณภาพ
คู่คุณธรรม” สร้างค่านิยมให้ สพม.น่าน เป็น “องค์กรแห่งคุณภาพคู่คุณภาพ ขับเคลื่อนนวัตกรรม สู่อนาคตที่ยั่งยืน” จัดการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยกระบวนการ SPARK “เชิงลุก” (LOOK) Model

S = SWOT (Look Over) มองให้ทั่วให้รอบด้านทุกมิติ
P = PLAN & PREVIEW (Look Ahead) มองไปข้างหน้า วางแผนอนาคต
A = ACTION & ACTIVE (Look Into) ลงมือปฏิบัติเชิงรุกอย่างรอบคอบ
R = REVIEW & MONITORING (Look Back) ทบทวน ปรับปรุง กำกับ ติดตาม
K = Knowledge Management (Look Up to) จัดการความรู้เพื่อพัฒนาต่อยอด ชื่นชม ยกย่อง พร้อมมอบ 5 นโยบายภายใต้ธรรมาภิบาล เพื่อให้โรงเรียน “น่าดู น่าอยู่ น่าเรียน” เป็นบ้านแห่งความสุขของครูและนักเรียน
ตามนโยบาย เรียนดี มีความสุข

  1. นโยบายด้านความปลอดภัย (Safety) ที่มี “3 เสาหลัก” ปลอดภัยทุกมิติ คือ ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน ด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติการจัดทำแผนเผชิญเหตุ และ ด้านการศึกษา ลดความเสี่ยง และการรับรู้ปรับตัวจากภัยพิบัติ พร้อมเดินหน้าสถานศึกษาปลอดภัย ด้วยหลัก 3 ป “ป้องกัน” คือ การวางแผน จัดโครงสร้างการบริหารประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน “ปลูกฝัง” คือ พัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติสมรรถนะด้านความปลอดภัยให้แก่ นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา และ “ปราบปราม” คือ ดำเนินการจัดการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู และดำเนินการ
    ตามขั้นตอนของกฎหมาย
  2. นโยบายด้านคุณธรรม (Morality) พัฒนาคุณธรรม ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนด้วยหลัก
    “พุทธธรรม” เพื่อให้เป็นคนดี มีความสุข เช่น อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 พรหมวิหาร 4 ไตรสิกขา อริยสัจ 4 สัปปุริสธรรม 7 และกัลยาณมิตร 7 เป็นต้น
  3. นโยบายด้านคุณภาพ (Quality) พัฒนานักเรียนทั้งในด้านวิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิตและองค์กรคุณภาพ พัฒนานวัตกรรม สร้างคนดี มีความสุข
  4. นโยบายด้านโอกาส (Opportunity) ส่งเสริมการเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime), เฟ้นหาและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา (Thailand Zero Dropout), การดูแลช่วยเหลือนักเรียน การแนะแนวการเรียนและเป้าหมายชีวิต และนักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn)
  5. นโยบายด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) การบริหารจัดการโดยใช้พื้นที่ (สหวิทยาเขต) เป็นฐาน, การนำเทคโนโลยีดิจิทัล
    มาใช้ในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนการสอน, พัฒนาคุณภาพข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา,
    เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารองค์กรและผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
    “ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจ เป็นนโยบายรวมทั้งจุดเน้นที่ตั้งใจจะนำมามอบให้ผู้อำนวยการสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับทราบและจะได้เตรียมการเพื่อร่วมกันดำเนินการขับเคลื่อนยกระดับการศึกษาของ สพม.น่าน
    ให้กลายเป็นองค์กรแห่งคุณภาพคู่คุณธรรม ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม สู่อนาคตที่ยั่งยืน” นางนัฑวิภรณ์ กล่าวปิดท้าย /บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

จัดประเมินสภาพการปฏิบัติงานและการออกเก็บข้อมูลเชิงลึกของครูผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2568 ณ โรงเรียนไตรประชาวิทยา อำเภอปัว

วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. คณะอนุกรรมการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2568 จังหวัดน่าน ณ โรงเรียนไตรประชาวิทยา อำเภอปัว โดยมีดร.สุวรินทร์ เพ็ญธัญญการ รองศึกษาธิการจังหวัดน่าน เป็นประธานประเมิน และเก็บข้อมูลเชิงลึก
ในครั้งนี้มีบุคคล และหน่วยงานเสนอรายชื่อครู ผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี 2568

โดยเป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ ครูผู้มีคุณูปการต่อการศึกษา จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย นายศุภนิตย์ สิทธิชัย โรงเรียนวรนคร (ลูกศิษย์เสนอชื่อ) นางวิมลรัตน์ ทักษิณ โรงเรียนไตรเขตประชาวิทยา (หน่วยงานเสนอชื่อ) นางวาสนา นันทเสน โรงเรียนสมาคมพยาบาลไทย (หน่วยงานเสนอ) และนางสาวมัญชรี ศรีเวียงฟ้า โรงเรียนตาลชุมพิทยาคม (หน่วยงานเสนอชื่อ) เพื่อเข้ารับการคัดเลือกผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ระดับจังหวัดต่อไป โดยคณะอนุกรรมการฯ มีกำหนดการออกประเมินสภาพการปฏิบัติงานและการออกเก็บข้อมูลเชิงลึกของครูผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2568 จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2567

วันนี้เป็นการลงพื้นที่ประเมินสภาพการปฏิบัติงานและการออกเก็บข้อมูลเชิงลึกของครูผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกครูผู้สมควรได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 6 ของนางวิมลรัตน์ ทักษิณ ซึ่งมีลูกศิษย์ คณะครู ผู้ปกครองเข้าร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกแก่คณะอนุกรรมการเป็นจำนวนมาก

สำหรับ นางวิมลรัตน์ ทักษิณ ครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไตรประชาวิทยา ปฏิบัติการสอนมาเป็นเวลา 15 ปี ในรายวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ เป็นครูผู้ได้รับการยกย่องจากทั้งลูกศิษย์ คณะครู และผู้ปกครอง ทั้งด้านเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตลูกศิษย์ และด้านผู้มีคุณูปการต่อการศึกษา มีความมานะพยายามในการดูแลลูกศิษย์ทั้งในชั้นเรียน และนอกชั้นเรียน นอกจากนี้ครูวิมลรัตน์ ยังได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย อาทิ ได้รับรางวัลหนึ่งแสนครูดี ประจำปี 2557 สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้รับรางวัลเสมา ป.ป.ส. ประเภทผลงานดีเด่น ระดับเพชร โครงการสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข ปีการศึกษา 2565 กระทรวงศึกษาธิการ

ได้รับรางวัลเสมา ป.ป.ส. ประเภทผลงานดีเด่น รักษามาตรฐานระดับเพชรปีที่ 1 โครงการสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข ปีการศึกษา 2566 กระทรวงศึกษาธิการ รางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ระดับชาติ รางวัลเหรียญทอง ครูผู้สอนยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษา ผู้ปฏิบัติงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนระดับประถมศึกษา ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน โครงการประกวดหน่วยงานและผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ครั้งที่ 11 ประจำปีการศึกษา 2564

รางวัลทรงคุณค่า สพฐ. (OBEC AWARDS) ระดับภาคเหนือ รางวัลเหรียญทอง ครูผู้สอนยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษา กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนโครงการประกวดหน่วยงานและผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ครั้งที่ 12 ประจำปีการศึกษา 2565-2566 เป็นต้น/ข่าว/กัมปนาท พอจิต/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กรมอุทยานฯ สร้างกรงพักเพิ่ม 2 กรงใหญ่ แก้ปัญหาลิงล้นเมืองเพชรฯ- ประจวบฯ/ตม.เพชรบุรี จัดหางานตรวจแรงงานต่างด้าวในพื้นที่

เมื่อวันที่ 4 พ.ย.67 ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ประธานเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี นายชาตรี วชิระเผด็จศึก ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเพชรบุรี นายสมเจตน์ จันทนา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี

นายแมนชาติ บัวทอง ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำที่ 3 เพชรบุรี สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 7 เดินทางลงพื้นที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยทราย อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานการก่อสร้างกรงพักพิงลิง หลังที่ 2 และ 3 ที่สามารถรองรับลิงในพื้นที่ จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบฯ ได้ ในวงเงินงบประมาณ 5,700,000 บาท ที่มีโครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน ร่มรื่น โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างถังกักเก็บน้ำ ขนาด 1 ล้านลิตร

ที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมืองเพชรบุรี ดร.ยุทธพล กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ที่ช่วยผลักดันโครงการนี้ฯ วันนี้ได้ลงพื้นที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยทราย เพื่อติดตามการดำเนินงานตาม

โครงการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมืองเพชรบุรี ซึ่งจากการมาดูโครงการในวันนี้ ต้องขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ได้เห็นความสำคัญการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมือง พร้อมยังได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำ ดำเนินการวางท่อส่งน้ำและจัดสร้างถังกักเก็บน้ำ ขนาด 1 ล้านลิตร เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของสัตว์ป่า รวมไปถึงลิงแสมที่เคลื่อนย้ายมาจากจังหวัดเพชรบุรี และการดำเนินการก่อสร้างกรงพักพิงลิงเพิ่มเติมของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

สำหรับการลงพื้นที่ในวันนี้ ก็เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างกรงพักพิงลิงอีกสองกรงในโครงการแก้ไขปัญหาลิงล้นเมือง พร้อมติดตามความเป็นอยู่ของลิงที่ย้ายมาจากเขาวัง ซึ่งมีประชาชนให้ความสนใจและสอบถามมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งลิงทุกตัวมีสุขภาพดี แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการนำร่องและประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก.


ตม.เพชรบุรีนำทีมบูรณาการร่วมกับจัดหางานตรวจแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ
วันพุธที่ 6 พ.ย.67 ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเพชรบุรีนำโดย พ.ต.ท.หรรถพร
เสวะกะ สว.ตม.จว.เพชรบุรี พร้อมชุดสืบสวน บูรณา การร่วมกับ จัดหางาน จว.เพชรบุรี ตรวจสอบแคมป์ที่พักแรงงานต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ ต.ต้นมะม่วง อ.เมือง จ.เพชรบุรี

ผลการปฏิบัติตรวจสอบพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 6 ราย กัมพูชา 3 ราย มีเอกสารการเดินทางและอยู่ในราชอาณาจักรถูกต้องตามกฎหมายแต่นายจ้างยังได้แจ้งที่พักอาศัยของคนต่าวด้าวตามาตรา 38ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงดำเนินการจับกุมและเปรียบเทียบปรับพร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

พร้อมทำความเข้าใจ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง -พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว-และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้ตรงตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัดต่อไป
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ​ด่านศุลกากรมุกดาหารแพ้อุทธรณ์ คณะกรรมการวินิจฉัยฯ สั่งให้เปิดเผยข้อมูลการนำเข้าหิน กรวด ทราย จาก สปป.ลาว​ แก่ ‘สุเทียน’

ร้อยตำรวจตรี สุเทียน ทองโสม ประธานชมรมรักษ์มุกดาหาร เปิดเผยว่า คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาเศรษฐกิจและการคลัง ได้มีคำวินิจฉัยเรื่อง อุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของด่านศุลกากรมุกดาหาร เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายและพิกัดแผนที่การดูดหิน กรวด ทราย ซึ่งตนเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ โดยมีด่านศุลกากรมุกดาหารเป็นหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือถึงด่านศุลกากรมุกดาหาร ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผู้ประกอบการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ทำสัญญาซื้อขายหิน กรวด ทราย กับผู้ประกอบการขออนุญาตนำเข้านอกทางอนุมัติในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร แต่ด่านศุลกากรมุกดาหาร ได้ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยให้เหตุผลว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการและเป็นข้อมูลการประกอบธุรกิจการค้าในนิติสัมพันธ์ของเอกชน จึงไม่สามารถ จัดส่งข้อมูลให้กับผู้อุทธรณ์ตามที่ร้องขอได้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ เป็นเหตุให้ตนได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของด่านศุลกากรมุกดาหาร ดังกล่าวต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งต่อมาคณะกรรมการฯ ได้รับคำขออุทธรณ์ไว้วินิจฉัย โดยมีด่านศุลกากรมุกดาหารคัดค้านว่า ข้อมูลผู้ประกอบการของ สปป.ลาวและพิกัดรูปแผนที่ของแปลงสัมปทาน ดูดทรายนั้นเป็นสิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ถือว่าเป็น “ข้อมูลข่าวสาร” และเป็นข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับเอกชนที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ คือ ด่านศุลกากรมุกดาหาร จึงถือว่าเป็น “ข้อมูลข่าวสารของราชการ” และข้อมูลข่าวสารของราชการดังกล่าว ไม่ใช่ข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่หน่วยงานของรัฐต้องส่งพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนทราบ และไม่ใช่ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ข้อมูลที่ร้องขอเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการที่ผู้ประกอบการยื่นต่อด่านฯ เพื่อใช้ประกอบการปฏิบัติพิธีการศุลกากรในการนำเข้าทรายตามปกติเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลข่าวสาร ที่ผู้ประกอบการประสงค์จะให้ด่านฯ นำไปเปิดเผยได้ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ร้องขอของผู้ประกอบการ สปป.ลาว จะเป็นข้อมูลเฉพาะบุคคลซึ่งเป็นผู้ขายทราย จึงถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นข้อมูล ที่เกี่ยวพันกับคู่สัญญาที่มีนิติสัมพันธ์กันระหว่างเอกชนที่เป็นคู่สัญญาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นใดเป็นข้อมูลที่ไม่รู้กันโดยทั่วไป เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และเกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้า จึงเป็นความลับทางการค้า ไม่ใช่ข้อมูลทั่วไปที่สามารถแสดงหรือเปิดเผยต่อสาธารณชนได้

ต่อมา คณะกรรมการวินิจฉัยฯ ได้พิจารณาคำอุทธรณ์ คำชี้แจงด้วยวาจาของผู้อุทธรณ์ รวมทั้งคำชี้แจงและเหตุผลในการปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของด่านศุลกากรมุกดาหาร และเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในใบยั่งยืนซึ่งมีรายละเอียด ชื่อบริษัท ผู้ขาย ข้อกฎหมาย พื้นที่และเนื้อที่ที่ใช้ในการดูด หิน กรวด และทรายใน สปป.ลาว กำหนดระยะเวลาในการดูด หิน กรวด และทรายในพื้นที่ สปป.ลาว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับ ผู้ประกอบการจาก สปป.ลาว แต่อย่างใด สำหรับประเด็นที่ด่านศุลกากรมุกดาหารอ้างว่า ข้อมูลสัญญาซื้อขายและข้อมูลใบยั่งยืนมีลักษณะเป็นความลับทางการค้านั้น เห็นว่ารายละเอียดของสัญญาซื้อขายหิน กรวด ทราย และ ข้อมูลใบยั่งยืนของผู้ประกอบการ สปป.ลาว ที่ทำสัญญาซื้อขายกับ ผู้ประกอบการไทย ประกอบด้วยชื่อบริษัทผู้ขาย ข้อกฎหมาย พื้นที่และเนื้อที่ที่ใช้ในการดูดหิน กรวด และทรายใน สปป.ลาว กำหนดระยะเวลาในการดูดหิน กรวด และทรายในพื้นที่ สปป. ลาว ซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวมิใช่ข้อมูลทางการค้าเกี่ยวกับสูตร รูปแบบงาน ที่ได้รวบรวมหรือประกอบขึ้น โปรแกรม วิธีการ เทคนิค หรือกรรมวิธี อันจะถือได้ว่าเป็นข้อมูลความลับทางการค้าแต่อย่างใด จึงมิใช่ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย หรือข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ให้มาโดยไม่ประสงค์ให้ทางราชการนำไปเปิดเผยต่อผู้อื่น ข้ออ้างที่ว่าข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นความลับทางการค้าจึงไม่อาจรับฟังได้

ประกอบกับ ผู้อุทธรณ์เป็นประธานชมรมรักษ์มุกดาหาร และหัวหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์สาขาพรรคเสรีรวมไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต ๑ จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งได้รับเรื่องการร้องเรียนร้องทุกข์จากชาวบ้าน ข้าราชการ ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อใช้ในการปกป้อง ผลกระทบต่อชุมชนชาวประมง เส้นทางคมนาคม และสิ่งแวดล้อมในจังหวัดมุกดาหาร และ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้อันจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของด่านศุลกากรมุกดาหาร ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้อง ประกอบการแล้ว เห็นว่าข้อมูลสัญญาซื้อขาย หินกรวด ทราย ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการ ของ สปป.ลาว เปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้

ฉะนั้น อาศัยอำนาจตาม มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 คณะกรรมการวินิจฉัยฯ จึงวินิจฉัยให้ด่านศุลกากรมุกดาหารเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสัญญา ซื้อขาย หิน กรวด ทราย ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการของ สปป.ลาว จำนวน 11 สัญญา และใบยั่งยืนที่ใช้ประกอบการยื่นคำขออนุญาตนำเข้านอกทางอนุมัติ จำนวน 5 ฉบับ พร้อมทั้งให้สำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องแก่ผู้อุทธรณ์ “ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวข้างต้นจะนำไปเป็นพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของท่าทรายที่ลักลอบดูดกรวดและทรายในแม่น้ำโขง และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐที่ไม่โปร่งใสปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อประมวลจริยธรรม ต่อไป” ร้อยตำรวจตรี สุเทียนกล่าว

ศูนย์ข่าวมุกดาหาร

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ ​โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /”ฮันนี่ ณภัค” คว้ามงกุฎจักรวาล MRS.CLASSIC UNIVERSE 2024 และ Best National costume


MRS.CLASSIC UNIVERSE2024 ที่ประเทศบัลกาเรีย โดยมีการตัดสินในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 19.00 น. ตามเวลาที่ประเทศบัลกาเรีย ซึ่งจะตรงกับประเทศไทยในเวลา 24.00 น. ที่ผ่านมา งานนี้ตัวแทนสาวไทยอย่าง ฮันนี่-ณภัค มุทธาเสถียร Mrs. Grand International2022 และ Mrs. Universe Thailand2023 ก็คว้าจักรวาลมาได้สำเร็จ!!! โดยซิวตำแหน่งอันดับ 1 คว้ามงกุฎ MRS.CLASSIC UNIVERSE2024 สมดังจิตปรารถนาที่เธอทุ่มเทกว่า 3 เดือนเพื่อเตรียมตัวเข้าประกวดเวทีใหญ่ระดับโลก!! ยังจึ้งไม่พอ!!! เธอยังคว้าตำแหน่ง Best National costume หรือ ชุดประจำชาติ เป็นตำแหน่งแรก เพราะชุดที่เธอสวมใส่นั้น สวยสง่า ออร่าพุ่ง จนกรรมการต้องมอบตำแหน่งให้


“ตอนแรกที่ได้รับตำแหน่ง Best National costume ก่อน ก็เซอร์ไพร้สมาก เพราะทุกประเทศก็จัดใหญ่ เล่นใหญ่กันทุกคน พอประกาศชื่อ Thailand ก็ยังไม่ออก ประมาณว่า ชัวร์มั้ย ประเทศฉันใช่มั้ย พอเค้าประกาศซ้ำอีกที OK ชื่อประเทศเรา ฮันนี่ก็เดินออกไป ตอนนั้นแบบตื่นเต้นมาก ว้าววว….เลย”
ช่วงถึงคิวไฮไลท์ของงาน สาวฮันนี่ก็ยังตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร เพราะสาวๆ กว่า 28 ประเทศ แต่ละคนก็สวยจับจิต จับใจ แต่พอได้ยินเสียง Thailand Thailand เท่านั้นแหละ!!!


“คิดว่าฝันไปเลยค่ะ ตกใจมาก คือกองประกวดเค้าประกาศตรงนั้นเลย ไม่มีจับมือใดๆ คนที่ได้เริ่มออกไปหน้าเวที ข้างหลังคือนางงามแต่ละประเทศรอด้วยความใจจดใจจ่อว่า ประเทศของตนหรือเปล่า ฮันนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ พอพิธีกรประกาศ The Winner Mrs. Classic Universe2024 is is is…………Thailand!!! ฮันนี่แบบ เหมือนตัวเองกำลังฝัน จริงๆ นางงามข้างหน้าก็ตะโกนเรียก Thailand Thailand ฮันนี่ ก็รีบเดินออกไป คือในใจคิด เราจริงๆ ใช่มั้ย พอมงกุฎอยู่บนหัว ก็ใช่เราแล้ว ดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่เหนื่อยมา 3 เดือน หายเหนื่อยแล้ว ถึงจักรวาลแล้วค่า”


หลังจบการประกวด สาวฮันนี่ยังต้องอยู่ต่อเพื่อปฏิบัติภารกิจนางงาม โดยจะกลับเมืองไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม เธอวางแผนไว้ว่า กลับเมืองไทยคราวนี้จะเดินสายขอบคุณคนไทย และสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนในการประกวดครั้งนี้ของเธอ!!!


“ฮันนี่ต้องกราบขอบพระคุณทุกกำลังใจจากคนไทยทุกคนที่ให้การสนับสนุนฮันนี่ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม มีแฟนๆ inbox มาใน facebook ให้กำลังใจกันเยอะมาก ต้องขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ รวมทั้งพี่ๆ สื่อมวลชนที่ลงข่าวให้ฮันนี่มาโดยตลอด ที่สำคัญฮันนี้จะกลับมาตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ เพราะการเรียนในระดับปริญญาเอก (คณะนวัตกรรมการเกษตร หลักสูตรการจัดการและการพัฒนาทรัพยากร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่) ก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ได้รับความเมตตาจากคณะอาจารย์ และเพื่อนๆ ในห้อง ช่วยซัพพอร์ต และดูแลฮันนี่อย่างเป็นอย่างดี ฮันนี่ก็ตั้งใจว่าถ้าเรียนจบ ป.เอก แล้ว ก็จะเอาความรู้ที่ได้ไปให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติให้มากที่สุด เพราะฮันนี่ก็ถึงฝั่งฝันในการเป็นนางงามแล้ว

ด้านการศึกษา ฮันนี่ ก็อยากเรียนจบด็อกเตอร์ เพื่อให้คนในครอบครัวภูมิใจในตัวฮันนี่ด้วยค่ะ”สวยทั้งภายนอก และภายใน แถมมีมายด์เซ็ทที่เยี่ยมยอด ขอแสดงความยินดีกับ ฮันนี่ ณภัค Mrs. Classic Universe2024 สมคำร่ำลือที่ว่า สาวไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ!!!

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง