สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กิจกรรมตามโครงการ “สร้างสัมพันธ์ คืนสังคม “ ครั้งที่ 1

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เรือนจำจังหวัดลำพูน เวลา 09.10 น. -#นายกำจร #เดชอุดม #ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดลำพูน #นำคณะออกจากเรือนจำจังหวัดลำพูนไปหน่วยพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงดอยยาว ต.ทากาศ อ.แม่ทา จ.ลำพูน (35 นาที)

เวลา 09.50 น. -นางสาวภิญญาพัชญ์ สันติจิราวัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดลำพูน (กล่าวต้อนรับ ณ หน่วยพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงดอยยาว)-นายยุทธเดช ขนาดกำจาย นายกเทศมนตรีตำบลทากาศเหนือ (กล่าวต้อนรับ)

เวลา 10.00 น. -นายกำจร เดชอุดม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดลำพูน มอบเสื้อกันหนาว จำนวน 500 ตัว ให้ นางสาวภิญญาพัชญ์ สันติจิราวัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดลำพูน และนายยุทธเดช ขนาดกำจาย นายกเทศมนตรีตำบลทากาศเหนือ -ถ่ายภาพรับมอบเสื้อกันหนาว

เวลา 10.20 น. -นายกำจร เดชอุดม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดลำพูน นำคณะออกเดินทางไปสำนักงานเขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ทา ต.ทาแม่ลอบ อ.แม่ทา จ.ลำพูน (40 นาที)

เวลา 11.00 น. -นางสาวภิญญาพัชญ์ สันติจิราวัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จังหวัดลำพูน (กล่าวต้อนรับ ณ สำนักงานเขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ทา) -นางรำพรรณ วงศ์จันทร์ต๊ะ หัวหน้าฝ่ายเขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงแม่ทา (แนะนำหน่วยงาน)

เวลา 11.10 น. -นายกำจร เดชอุดม ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดลำพูน มอบเสื้อกันหนาว จำนวน 500 ตัว ให้ นางสาวภิญญาพัชญ์ สันติจิราวัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาราษฎร บนพื้นที่สูงจังหวัดลำพูน
-ถ่ายภาพรับมอบเสื้อกันหนาว
เวลา 11.30 น. -เดินทางกลับเรือนจำจังหวัดลำพูน..

สมจิตรแสงบัลลังก์ทีมข่าวบกรายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จัดงาน “หอมกลิ่น ถิ่นน่าน Season 2” ธีม “สีสันน่านนคร”อ.วังผา จัดกิจกรรม Kick Off เคาะประตูบ้าน “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา ชาวน่าน“

น่าน จัดงาน “หอมกลิ่น ถิ่นน่าน Season 2” ธีม “สีสันน่านนคร” นำเสนอความสนุก ผ่านเทศกาลอาหารส่งท้ายฤดูหนาวเพื่อต้อนรับความสนุกของสีสันการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน

ที่ข่วงน้อย อ.เมืองน่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานน่าน ร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวน่าน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดน่าน ชมรมร้านอาหารจังหวัดน่าน ชมรมที่พักจังหวัดน่าน และภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวจังหวัดน่าน ทั้งภาครัฐและเอกชน

จัดอีเว้นท์ “หอมกลิ่น ถิ่นน่าน Season 2” โดยมีนางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมีนายโยธิน ทับทิมทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานน่าน ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยศาล ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม

ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดน่านในช่วงวันธรรมดาห้วงปลายฤดูหนาว (High Season) ที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน (Summer) ให้คึกคักผ่านการจัดกิจกรรมอีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับจากนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการที่มาร่วมจำหน่ายอาหารเป็นอย่างดี และ

ในปีนี้ทาง ททท.สำนักงานน่าน ได้กำหนดจัดงานดังกล่าวในระหว่างวันที่ 18 – 20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ข่วงน้อย อ.เมือง จ.น่าน ตั้งแต่เวลา 15.00 – 21.00 น. ซึ่งมาในธีม “สีสันน่านนคร” นำเสนอความสนุก ผ่านเทศกาลอาหารส่งท้ายฤดูหนาวเพื่อต้อนรับความสนุกของสีสันการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน

อ่านเพิ่มเติมในคอมเม้นต์/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน จัดกิจกรรม Kick Off ลุยเคาะประตูบ้าน รณรงค์ไม่เผาในพื้นที่การเกษตร “หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา ชาวน่าน“

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน นำโดย นายสุทัศน์ จินตเวชศาสตร์ นายอำเภอท่าวังผา นายสันติ มณีอ่อน เกษตรอำเภอท่าวังผา พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอท่าวังผา ภาคีเครือข่าย ผู้นำชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลจอมพระ อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

ลงพื้นที่รณรงค์สร้างการรับรู้การหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและพื้นที่โล่งแจ้ง ผ่านกิจกรรม Kick Off “เคาะประตูบ้าน หยุดเผา หยุดฝุ่น เพื่อคุณ เพื่อเรา ชาวน่าน” ณ บ้านนาฝ่า หมู่ที่ 2 บ้านใหม่ หมู่ที่ 3 บ้านนาเผือก หมู่ที่ 4 และบ้านสลี หมู่ที่ 6 ตำบลจอมพระ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน

เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผาในพื้นที่การเกษตร และกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงผลกระทบจากการเผา ซึ่งทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน การเผายังส่งผลทำให้สภาพดินเสื่อมโทรม พื้นที่เพาะปลูกขาดความอุดมสมบูรณ์ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ผลผลิตลดลง

นอกจากนี้ยังได้แนะนำแนวทางการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรแบบปลอดการเผาให้แก่เกษตรกร ภายใต้ 9 ทางเลือกจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร ได้แก่ การไถกลบทดแทนการเผา การผลิตปุ๋ยหมัก การนำเศษวัสดุมาทำอาหารเลี้ยงสัตว์ ผลิตพลังงานทดแทนเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่งหรืออัดก้อน ผลิตฟางอัดก้อนเพื่อจำหน่าย การใช้เป็นวัสดุคลุมดิน เป็นต้น/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จับสาววัยรุ่นสร้างตัว เปิดร้านตัดผมพ่วงค้าบุหรี่ไฟฟ้า มุกดาหาร

​เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์​ 2568​ พ.ต.ท.เจษฎากร ไชยศรีหา สว.สส. สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร และ ร.ต.อ.ธนากร ปาวะพรม สืบทราบว่า มีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ อ.นิคมคำสร้อย จึงได้รายงาน พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ โพธิ์จันทร์ ผกก.สภ.นิคมคำสร้อย และ พ.ต.ท.อนุพงศ์ ศรีสุข รอง ผกก.สส. ทราบ และ

ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อขออนุมัติหมายค้นเข้าทำการตรวจค้นบ้านเป้าหมาย โดยได้สนธิกำลังกับนายธีรวัฒน์ หมีคำ ปลัดอำเภอนิคมคำสร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าทำ การตรวจค้นบ้านเลขที่ 30 ม.11 ต.นิคมคำสร้อย อ.นิคมคำสร้อย

โดย ร.ต.ท.โยฤทธิ์ แสนสุข ได้แสดงตัวเป็นผู้มีชื่อตามหมายค้นให้นาง บุญทรง ปัททุม ผู้ครอบครองสถานที่ และเป็นมารดาของผู้ต้องหา และผู้ต้องหาทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้ แสดงหมายค้นพร้อมทั้งอ่านให้ฟัง และให้นางบุญทรง ตรวจดูอีกครั้งจนเป็นที่พอใจ ซึ่งนางบุญทรง ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นได้ด้วยความสมัครใจ

ผลการตรวจค้นที่บริเวณห้องร้านตัดผม พบพ็อตบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัวบรรจุยาได้จำนวน 125 ชิ้น และบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งจำนวน 191 ชิ้น ซุกซ่อนอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ ซึ่ง น.ส.กุลยารัตน์ ปัททุม อายุ 29 ปี ยอมรับว่าเป็นของตน โดยได้สั่งซื้อทาง ออนไลน์ จากเว็บไซด์ INFYGOD เพื่อนำมาแบ่งจำหน่ายให้กลุ่มผู้สูบในพื้นที่ เจ้าหน้าที่

จึงได้ตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหมดไว้เป็นของกลาง พร้อมกับแจ้งข้อหากับ น.ส.กุลยารัตน์ว่าได้กระทำผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วย พาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ ผ่านพิธีการศุลกากร

สอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าของกลางทั้งหมดเป็นของตนเองจริง จึง ได้นำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่ง พนักงานสอบสวน สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชาวหัวหิน เซ็ง! รูปปั้น “คนสู้ฉลาม” ประติมากรรมริมหาดมูลค่าเกือบ 4 แสนบาท ตั้งแค่ 2 สัปดาห์ ถูกมือดีทำลาย

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.68 จากที่ทางเทศบาลเมืองหัวหิน จ.ประจวบฯ ร่วมกับ มูลนิธิสว่างหัวหินธรรมสถาน นำรูปปูนปั้น “คนสู้ฉลาม” ขนาดความสูง 1.90 เมตร มูลค่า 359,000 บาท ที่ถอดแบบมาจากรูปปั้นคนสู้ฉลาม ประติมากรรมเก่าแก่สัญลักษณ์ในอดีตของหัวหินเกือบ 70 ปี ที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลาและนำกลับมาปั้นตั้งใหม่บนโขดหินริมทะเล

บริเวณศาลเจ้าแม่ทับทิมหัวหิน ทางลงชายหาดหัวหิน เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้ชาวหัวหินและนักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ได้ถ่ายภาพและเป็นจุดเชคอินให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ขณะที่เทศบาลเมืองหัวหินเตรียมแนวทางในการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณดังกล่าวให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาเยี่ยมชมธรรมชาติทะเลอันสวยงาม และได้ทราบเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองหัวหิน

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่า รูปปั้น “คนสู้ฉลาม” ที่ตั้งบริเวณชายหาดหัวหินดังกล่าว ถูกคนทำลายได้รับความเสียเสียหาย จึงไปตรวจสอบพบว่าที่บริเวณฟันฉลามทั้งบนและล่างถูกมือดีทุบหักหายไปทั้งแถบ กลายเป็นฉลามฟันหลอดูแล้วไม่สวยงาม และวาดสัญลักษณ์รูปตาไว้ที่บริเวณช่องปากฉลามแทน
จากการสอบถามชาวหัวหินหลายคนต่างให้ความเห็นว่าดูแล้วไม่สวยงาม อีกทั้ง

รูปปั้นดังกล่าวต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ชายหาดหัวหินเวลานักท่องเที่ยวมาเยือนได้ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกไม่น่าทำลาย สำหรับสัญลักษณ์รูปตาดังกล่าว ที่ผ่านมาหลายปีเห็นมีวาดไว้ทั่วตามที่สาธารณในเมืองหัวหิน ดูแล้วสกปรกตาไม่สมเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับเฉย เมื่อเกิดเรื่องนี้อยากให้ดำเนินการอย่างจริงจังเสียที.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ฝ่ายปกครอง บุกทลายร้านบังท็อป ขายน้ำกระท่อม กัญชา บุหรี่เถื่อน และ บุหรี่ไฟฟ้า บาท / ร่วมงานบุญข้าวจี่ มหัศจรรย์ของดีโพธิ์ศรีสุวรรณ 21-27 กพ.68


***เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 68 นายกันวลินทร์ เมืองแก้ว นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ ได้สั่งการให้ น.ส. อมร นามบุตร ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองศรีสะเกษ พร้อม นายศรายุธ สีละออง ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ อส.

ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่กองสาธารสุขเทศบาลเมืองศรีสะเกษ บุกตรวจค้นร้านบังท็อป ซึ่งเป็นร้านขายน้ำกระท่อม ยาแก้ไอ กัญชา บุหรี่เถื่อน บุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์การเสพ ให้กับกลุ่มวันรุ่นในตัวเมืองศรีสะเกษ เพื่อเป็นการป้องปรามการขายน้ำกระท่อมในพื้นที่ศรีสะเกษที่กำลังแพร่หลายในหลายพื้นที่ของจังหวัดศรีสะเกษ ทั้งใกล้สถานศึกษา และใกล้กับสถานที่ราชการ

***โดย ร้านบังท็อป เป็นร้านขายน้ำกระท่อม ยาแก้ไอ กัญชา บุหรี่เถื่อน บุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์การเสพ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นร้านใหญ่ในเขตตัวเมืองศรีสะเกษ ตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน มีหอพักของนักศึกษา มากมาย และตั้งห่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เพียง 500 เมตร

***นายเอ (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ตนเป็นเพียงคนเฝ้าร้านซึ่งเจ้าของร้านจะให้ค้าจ้างเป็นชั่วโมง ซึ่งตนจะได้ชั่วโมงละ 35 บาท โดยที่มาทำงานเฝ้าร้านนี้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ และไม่มีงานทำ พอมีคนมาชวนให้มาทำงานตนเลยมาทำงานเฝ้าร้านให้ ซึ่งไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นมันผิดกฎหมาย

***ขณะที่ นายบี (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นอีกคนที่เป็นมือต้มน้ำกระท่อม เปิดเผยว่า ตนมีหน้าที่ต้มน้ำท่อมให้กับทางร้านเพื่อเอาไปขายให้กับลูกค้าที่มาซื้อ โดยได้ค้าจ้างในการต้ม หม้อละ 80 บาท ซึ่งต้มหม้อหนึ่งทางร้านจะสามารถนำไปกรอดใส่ขวด 1.5 ลิตรได้ประมาณ 70-80 ขวด

และเอาไปขายขวดละ 45-50 บาท ซึ่งวันๆหนึ่งจะต้มน้ำกระท่อมให้กับทางร้านวันละ 7-10 หม้อ ส่วนน้ำกระท่อมที่ทางร้านขายจะมีอยู่ 7-8 รสชาติ เช่น ต้มแบบรสดั้งเดิม, รสองุ่น, รสแอปเปิ้ล, รสลิ้นจี่, รสบลูฮาวาย, รสแตงโม และรสแคนตาลูป โดยรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ รสดั้งเดิม และแต่ละรสชาติจะใส่ยาแก้ไอ้ ยาแก้แพ้ ลงไปด้วย

***นอกจากนี้ชุดจับกุมยังได้บุกไปทลายห้องพักแห่งหนึ่ง เลขที่ 111 ที่อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ซึ่งเช่าห้องเปิดเป็นโกดังเก็บทั้งยาแก้ไอ บุหรี่เถื่อน บุหรี่ไฟฟ้า โดยภายในห้องจะมีกล้องวงจรติดไว้เพื่อเอาไว้ดูความเคลื่อนไว้อีกด้วย โดยจาการสอบถามคนดูแลห้องเช่า เปิดเผยว่า มีใครก็ไม่รู้เปิดขอเช่าห้องไว้ในราคาห้องวละ 1,500 บาท ต่อเดือน ไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งมาขอเช่านานแล้ว ซึ่งตนก็ไม่ได้ไม่สนใจว่าห้องดังกล่าวจะมีคนมาพักหรือไม่ รู้แต่เพียงว่าห้องดังกล่าวจะมีคนมาเปิดเข้าออกอยู่เป็นประจำ

***ด้าน น้องๆนักศึกษา ที่เช่าอยู่ห้องข้างๆ เล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้ ตนเคยไปบอกเจ้าของหอพักแล้วว่าห้องข้างๆมีกลิ่งเหม็นคล้ายกลิ่นกัญชา แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งตนก็ไม่กล้าที่ไปบอกคนที่เข้าออกห้องนี้ เพราะแต่ละครั้งที่มีคนเข้าออกห้องนี้ก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น เลยต้องทนกลิ่นเหม็นแบบนี้มาตลอด

***ทั้งนี้การบุกจับกุมในครั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านร้องเรียนเข้ามากับทางอำเภอเมืองศรีสะเกษ จึงได้มีการตรวจสอบ และเข้าจับกุมในครั้งนี้ ซึ่งร้านบังท็อป ร้านนี้ถือจับกุมมาแล้ว 3 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แต่ละครั้งที่ถูกจับกุมก็จะถูกแค่ปรับ รอลงอาญา จึงทำให้เจ้าของร้านกล้าที่จะกลับมาขายอีกครั้ง นอกจากนี้บุหรี่เถื่อนที่จับกุมได้ สังเกตได้ว่าจะขนส่งมาโดยใช้ ไปรษณีย์ไทย เขต 9 ส่งมายังหอพักที่เข้าจับกุมดังกล่าว

***เบื้องต้นของกลางที่ตรวจยึดได้ มี น้ำกระท่อม, ยาแก้ไอ ยาแก้แพ้, บุหรี่ไฟฟ้า, บุหรี่เถื่อน, กัญชา และเงินสด 8,178 บาท มูลค่าของกลางกล่าว 1 แสนบาท เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะได้รวบรวมหลังฐานและขอกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองศรีสะเกษ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
//////////////////////////////////////
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

ชาวบ้านอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกันนึ่งข้าวเหนียว ติดแปะกับโครงไม้ไผ่ขนาดใหญ่ เพื่อทำเป็นข้าวจี่ยักข์ เตรียมย่างจริง สุกจริง กินได้จริง ร่วมงานบุญข้าวจี่ มหัศจรรย์ของดีโพธิ์ศรีสุวรรณ 21-27 กพ.68

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ วัดบ้านหนองม้า ตำบลหนองม้า อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวักศรีสะเกษ ชาวบ้าน ชาย – หญิง ผู้สูงวัย ผู้นำชุมชนหมู่บ้าน กำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต.หนองม้า ได้ออกมาร่วมกันทำข้าวจี่ยักข์ พร้อมกับการจัดตบแต่งรถที่บรรทุกข้าวยักข์ ข้าวจี่ใหญ่ ซึ่งเป็น 1 แห่งใน 5 จุด 5 ตำบล และ 1 เทศบาล ของอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ ที่ชาวบ้านกำลังร่วมแรง ร่วมใจรัก ออกมานึ่งข้าวเหนียวให้สุก นำมาติดเข้ากับโครงไม้ไผ่ที่ทำขึ้นขนาดขนาดใหญ่ เตรียมการในการที่จะนำมาย่าง หรือจี่ ข้าวจี่ยักษ์ เตรียมตบแต่งรถ ที่จะบรรทุกเข้าจี่ยักษ์ ร่วมขบวนนางรำ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม 1 อำเภอ 1 กิจกรรมสร้างสรรค์

ในงาน ประเพณีบุญเข้าจี่ มหัศจรรย์ ของดีโพธิ์ศรีสุวรรณ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ณ.หน้าที่ว่าการอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ โดยในวันเปิดงานวันแรก วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ทุกตำบลจะจัดขบวนแห่เข้าจี่ยักข์ และของดีประจำตำบลตนเอง พร้อมด้วยสาวสวยนางรำ จำนวน 60 ถึง 100 คนต่อขบวน ที่มีทั้งหมด 7 ขบวน เดินทางแห่ข้าวจี่ยักษ์ เข้าสู่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอ

ซึ่งได้มีการจัดนิทรรศการ ผลผลิตทางการเกษตร ผ้าไหมโพธิ์ศรีสุวรรณ สินค้าหัตถกรรม และอื่นๆ ที่เป็นของดี ที่สร้างรายได้ให้กับชาวอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จะได้นำมาแสดง นำมาออกร้าน มาจัดนิทรรศการ โชว์และจำหน่าย ให้แก่นักท่องเที่ยว ที่จะมาร่วมงาน ซึ่งงานบุญประเพณีเข้าจี่โพธิ์ศรีสุวรรณ ได้จัดมาเป็นประจำทุกปี ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีต่อเนื่องกันมาแล้ว
ซึ่งวันนี้ได้มี นายเทิดไท แสงผล นายอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ และนางขวัญตา คิดดี ปลัดอวุโส อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ

พร้อมด้วยนายก อบต.หนองม้า กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, ชาวบ้านส่วนหนึ่ง ที่ได้ร่วมกันออกมานึ่งข้าว เพื่อนำไปติดแปะกับโครงไม้ไผ่ ทำข้าวจี่ยักษ์ ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง กว่า 1 เมตร ความยาวราว 2.50 เมตร โดยหลังจากนี้เมื่อทำการติดแปะข้าวเหนียว ที่นึ่งสุกเสร็จแล้ว ให้รอบทำข้าวจี่ยักษ์เสร็จ จะได้ทำการก่อไฟถ่านไว้ด้านล่าง ใต้ก้อนข้าวจี่ยักข์ เพื่อย่าง หรือจี่ข้าวจี่ยักษ์นี้ ให้สุกเหมือนการทำข้าวจี่ปกติ ที่สามารถรับประทานได้เมื่อสุกแล้ว พร้อมจะนำไข่ไก่มาชุบ ทา ขณะย่างไปด้วย จะทำให้เข้าจี่ค่อยๆ สุก และจะส่งกลิ่นหอมเหมือนข้าวจี่ ที่จี่เป็นก้อนเล็กๆ ตามปกติเช่นกัน

โดย นายเทิดไท แสงผล นายอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ และนางขวัญตา คิดดี ปลัดอวุโส อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ พร้อมด้วยนายก อบต.หนองม้า กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านที่มาทำข้าวจี่ยักข์ร่วมกัน ได้ร่วมกันเปิดแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน ว่า งานประเพณีบุญข้าวจี่ มหัศจรรย์ ของดีโพธิ์ศรีสุวรรณ ในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ.สนามหน้าที่ว่าการอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ โดยในงานจะมีการจัดขบวนแห่ข้าวจี่ยักข์ เพื่อการทำบุญ เพราะหลังจากร่วมขบวนแห่เสร็จ จะนำข้าวจี่ไปถวายพระ ซึ่งจะมีทั้งข้าวจี่แบบธรรมดาปกติของชาวบ้านที่จะจี่ไปถวายพระคุณเจ้า และข้าวจี่ยักษ์ ที่ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะอำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ

จะมีงานบุญประเพณีข้าวจี่นี้ เป็นงานประจำปีของชาวบ้าน ชุมชน ทุกหมู่บ้าน ตำบล นอกจากนั้นในงานจะมีการ ออกร้าน นิทรรศการของชุมชน ตลาดนักโบราณ การแข่งขันการตำข้าวซ้อมมือ, การแข่งขันการทำข้าวจี่หรรษา, การปิดตาป้อนข้าวจี่ แต่งหน้าสวย, การแข่งขันตำส้มตำลีลาปลาร้าสุก, การประกวดธิดาข้าวจี่ ที่มีเงินรางวัล กว่า 1 แสนบาท, การประกวดไก่บ้านสวยงาม, การประกวดผลผลิต ทางการเกษตร, การแข่งขันชกมวยไทย ทั้งชาย – หญิง, การแล่น หรือ วิ่งเอาบุญ เที่ยววัดไตรสามัคคี เกาะนาค วังบาดาล เป็นต้น จึงอยากเรียนเชิญนักท่องเที่ยว ทุกท่าน ทั่วโลก มาเที่ยวงาน งานประเพณีบุญข้าวจี่ มหัศจรรย์ ของดีโพธิ์ศรีสุวรรณ ในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 27 กุมภาพันธ์ 2568 ทุกอย่างเที่ยวชมฟรี
////////////////////////////ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ขายทั้งวัน! ชาวบ้านแอบถ่ายคลิปขณะชายข้างบ้านไม่ทราบขายอะไรมีคนเดินเข้า-ออก แบบหลบๆซ่อนๆ มาซื้อทั้งวันทั้งคืนจนหมาเห่าตลอดทำให้ไม่ได้หลับไม่ได้นอน

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568​ ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากหญิงรายหนึ่งพร้อมคลิปชายข้างบ้านถือไม้วิ่งเข้ามาในบ้านที่เปิดร้านขายน้ำปั่นเพื่อที่จะทำร้ายหมา เพราะหมาเห่าบ่อยเกินไป

จนทำให้ชายข้างบ้านเกิดอาการไม่พอใจ โดยที่หมาเห่านั้น เธอได้เปิดเผยว่า เพราะมีคนมาหาชายคนข้างบ้านตลอดทั่งวัน โดยไม่รู้ว่าเข้ามาทำอะไรกัน อยากให้ผู้สื่อข่าวเป็นสื่อกลางนำคลิปนี้ เผยแพร่ให้ทางเจ้าหน้าที่ในจังหวัดมุกดาหารได้รับรู้ เพราะที่ผ่านมาได้มีการแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านแล้วแต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ บ้านสามขา หมู่ 9 ต.คำป่าหลาย อ.เมือง จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นที่ระบุว่าเป็นที่เกิดเหตุโดยระหว่างการเก็บภาพชายคนดังกล่าวที่ชาวบ้านเรียกว่านายเขียว ได้ไล่ผู้สื่อข่าวไม่ให้เก็บภาพบริเวณหน้าบ้านของตนเอง จากการสอบถามชาวบ้านบริเวณรอบๆ

ไม่มีใครกล้าให้สัมภาษณ์เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยเพราะที่ผ่านมาถูกจับแล้วก็ปล่อยมา ปล่อยมา ก็มาก่อกวนขายเช่นเดิม โดยในแต่ละวันจะมีเพื่อนของนายเขียวแวะมาบ้านเกือบทุกวันละได้มีการซื้อขายอะไรกันไม่รู้ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยาเสพติด

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ประสานไปยัง สภ. คำป่าหลายพร้อมกับส่งคลิปเพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการในของการสืบสวนและจัดการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวต่อไป #ลักลอบค้า #ตำบลคำป่าหลาย #จังหวัดมุกดาหาร
ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภูธร ภาค 3 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 1คน พร้อมสารไอซ์ 599 กิโลกรัม

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. ณ บก.สส.ภ.3 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมาพล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 1 คน พร้อมสารไอซ์จำนวน 599 กก. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาเป็นแนวทางในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างเป็นระบบ และขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวสู่การปฏิบัติทุกพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค ๓ โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓/ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รอง ผบช.ภ.๓ /รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.3พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติดพลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2

นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมานายมานพ แสงโสทร ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 3ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ กวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ โดยให้ร่วมกันบูรณาการด้านการข่าว การแลกเปลี่ยนข่าวสารรวมถึงการร่วมมือกันในการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามพื้นที่แนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน โดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3 พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงษ์ รอง.ผบก.สส.ภ.3 พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง.ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ทศพร เพียรปรุ ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๓ พ.ต.อ.พรเทพ ทุ้ยแป ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง พ.ต.อ.อิทธิพัทน์ ศรีมั่น ผกก.สภ.พระทองคำ, พ.ต.อ.ศิวภาคย์ พวงจันทร์ ผกก.สภ.บ้านปรางค์ สั่งการให้

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน นำโดย พ.ต.ท.คำพู พลอยผักแว่น รอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., ร.ต.อ.หญิง เพ็ญแข ชัยรัตน์กรกิจ/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง , เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระทองคำ ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านปรางค์ และได้ร่วมบูรณาการสนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ,เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ฯ,เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ข่าวยาเสพติดจังหวัดอุดรธานี ฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนภาค ๒ ,เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมสืบสวนจับกุมตัว
นายอภิชาติ หรือรัก พรรณศรี อายุ 41 ปี เลขประจำตัวประชาชน3460200166990 ที่อยู่ 146 ม.4 ต.สงเปลือย อ.นามน จว.กาฬสินธุ์
พร้อมของกลาง 1.สารไอซ์ น้ำหนักประมาณ 599 กิโลกรัม 2.โทรศัพท์ จำนวน 1 เครื่อง ตรวจยึดของกลาง -รถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน (ราคาประเมิน 300,000 บาท) โดยกล่าวหาว่า “จำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนชนิดเกล็ดหรือสารไอซ์)โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า

ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย” พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุม สืบสวนทราบว่ามีเครือข่ายยาเสพติดชาว สปป.ลาว จะทำการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน จว.บึงกาฬ ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่พื้นที่ภาคกลางตอนในขอ ประเทศไทย ผ่านพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 3 และภาค 4 โดยเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวใช้ รถยนต์กระบะ ในการขนลำเลียงยาเสพติด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 , กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว จนกระทั่ง พบว่ารถยนต์กระบะต้องสงสัย มีการเคลื่อนตัวออกมาจากพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจาก จว.บึงกาฬ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะลำเลียงนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนเข้าไปยังพื้นที่ภาคกลางตอนในของประเทศไทย และเชื่อว่าเครือข่ายยาเสพติด ดังกล่าวจะใช้เส้นทางที่เคยวิ่งลำเลียงยาเสพติดมาก่อนหน้านี้ จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนในการจับกุม โดยวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางใน การลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ โดยวางกำลังเฝ้าดู พร้อมทั้งสะกดรอยติดตาม และเพื่อให้ทราบถึงขบวนการเครือข่ายในการลำเลียงยาเสพติด และผู้สั่งการในการลำเลียงยาเสพติดจึงได้ขับรถยนต์ติดตาม และพบว่ารถยนต์กระบะดังกล่าวบรรทุกสิ่งของบริเวณท้ายกระบะบรรทุกโดยใช้ผ้าใบปกคลุมปิดบังสิ่งของไว้ โดยรถยนต์กระบะดังกล่าววิ่งมาจาก จว.บึงกาฬ จนกระทั่งมาถึง ต.สระพระ อ.พระทองคำ จว.นครราชสีมา ซึ่งเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวรู้ตัวว่ามีรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจขับขี่ติดตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมเห็นดังนั้น จึงสั่งให้กำลังที่ได้แบ่งหน้าที่กันแล้วเข้าทำการสกัดกั้นตรวจค้นจับกุมเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวที่บริเวณถนนสาธารณะตลาดพระทองคำ ม.1 ต.สระพระ อ.พระทองคำ จว.นครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจค้นรถยนต์กระบะคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบ นายอภิชาติ หรือรัก พรรณศรี เป็นผู้ขับขี่ จึงทำการตรวจค้นตัว และรถยนต์ ผลการตรวจค้นพบ ถุงพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ จำนวน 8 ห่อใหญ่ ด้านในห่อด้วยกระสอบสีขาว อยู่บริเวณกระบะบรรทุกของรถยนต์กระบะคันดังกล่าว และพบโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อOPPO สีม่วง-ขาว จำนวน 1 เครื่อง สอบถาม นายอภิชาติฯ ให้การรับว่า โทรศัพท์ดังกล่าว นายอภิชาติ ฯ เป็นผู้ใช้งาน

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมจึงนำตัวนายอภิชาต ฯ พร้อมของกลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวนายอภิชาติ ฯ พร้อมของกลาง มายัง กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 และได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 3 เพื่อตรวจเก็บพยานหลักฐาน จากนั้นได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อทราบถึงขบวนการและเครือข่ายยาเสพติด สอบถามนายอภิชาติ ฯ รับว่าตนเองได้รับการว่าจ้างจากนายเปี๊ยก ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง โดยติดต่อผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ โดยให้นายเปี๊ยก ให้ตนเองขับรถยนต์กระบะไปรอรับยาเสพติดที่บริเวณ อ.บุ่งคล้า จว.บึงกาฬ จากนั้นให้จอดรถทิ้งไว้จะมีคนนำรถของตนไป ให้ตนเองรออยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็มีโทรศัพทแจ้งให้ตนเองไปเอารถกลับมา ต่อจากนั้น จึงได้มีการเชิญตนเองเข้ากลุ่มแอพพลิเคชั่นไลน์ และมีการแชร์โลเคชั่นตลอดเส้นทาง ซึ่งตนเองจะใช้เส้นทางตามโลเคชั่นที่ส่งมาในกลุ่มไลน์ จนกระทั่งมาถึงบริเวณแยกไฟแดง อ.พระทองคำ จว.นครราชสีมา จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับได้ที่บริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขยายผลทราบว่า เครือข่ายลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว คือ เครือข่าย “มังกรบิน” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบสวนติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าเพชรบุรี ชวนเที่ยวงาน “พระนครคีรี-เมืองเพชร ครั้งที่ 38” ตระการตากับพลุหลากสีบนยอดเขาวัง

เมื่อวันที่ 12 ก.พ.68 ที่บริเวณอุทยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระนครคีรี) อ.เมือง จ.เพชรบุรี ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ ผู้ว่าราชการ จ.เพชรบุรี เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานพระนครคีรี–เมืองเพชร ครั้งที่ 38 ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่องาน “วิมานฟ้าพระนครคีรี อัญมณีแห่งสยาม” พร้อมด้วย จ่าสิบเอก ประภาส อินทนู รองนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบุรี นายพันธุ์ธัช หิรัญจิรวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเพชรบุรี ร่วมแถลงข่าว โดยมี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเพชรบุรี หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการ YEC หอการค้าจังหวัดเพชรบุรี ผู้ประกอบการท่องเที่ยว หน่วยงานต่างๆ ในชุดไทยอย่างสวยงามร่วมรับฟัง

ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ กล่าวว่า งาน “พระนครคีรี–เมืองเพชร” เป็นงานประจำปีของจังหวัดเพชรบุรี ที่จัดติดต่อกันมาอย่างยาวนานซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 38 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 ก.พ. – 2 มี.ค.68 ณ บริเวณพระนครคีรี(เขาวัง) บริเวณอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ และบริเวณโดยรอบ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 9

และเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ต่อ จ.เพชรบุรี ตลอดจนเพื่อสืบสานศิลปะวัฒนธรรม กระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในจังหวัดเพชรบุรี โดยจะมีพิธีเปิดในวันศุกร์ที่ 21 ก.พ.68 เวลา 17.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าอุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมี นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมชมขบวนแห่เทิดพระเกียรติ และขบวนแห่ศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวที่สวยงามหลากหลายจากทุกภาคส่วน

สำหรับกิจกรรมในปีนี้ มีการสาธิตงานสกุลช่างเมืองเพชร 14 งานช่าง ทั้งงานปูนปั้น งานจำหลักหนังใหญ่ งานฉลุยฝังลายไม้มูก งานแกะสลักไม้ งานตอกกระดาษ งานประดับกระจก งานเขียนลายรดน้ำ งานแทงหยวก ฯลฯ นิทรรศการจัดแสดงและสาธิตวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ 8 ชาติพันธุ์ กิจกรรม DIY งานหัตถกรรมพื้นบ้านหรือผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย(CPOT) นิทรรศการและสาธิตงานศิลปะร่วมสมัย การแสดงศิลปะวัฒนธรรมการแสดงพื้นบ้านที่เวทีโรงโขนบนเขาวัง การแสดงเทิดพระเกียรติ พิพิธภัณฑ์ชีวิตเสียงสะท้อนแห่งความทรงจำ “ร่วมย้อนจิรกาล…สู่วิมานพระนครคีรี” ทุกคืน ชมฟรี 200 ที่นั่งต่อวันเท่านั้น พร้อมทั้งได้ตื่นตาตื่นใจกับกิจกรรมสาธิต ภายใต้แนวคิด “เพชรบุรีเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของ UNESCO (Phetchaburi City of Gastronomy)”

มีทั้งอาหารชาติพันธุ์ อาหารพื้นบ้าน – พื้นถิ่น ของชุมชน 8 อำเภอ อาหารเชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมอื่นๆ พร้อมทั้งตระการตากับการประดับไฟสีและไฟย้อมแสงโบราณสถานบนพระนครคีรี มีการจุดพลุหลากสีอย่างสวยงามทุกคืน มากกว่า 3,000 ลูก ภายใต้มาตรการป้องกันผลกระทบจากการจุดพลุบนพระนครคีรี

ตามมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษนอกจากอิ่มอร่อยกับอาหารหลากหลายเมนู และได้สัมผัสบรรยากาศแห่งความสุขทุกรสชาติทั่วบริเวณบนพระนครคีรีหรือเขาวัง และรอบอุทยานฯ ร.4 แล้ว ยังได้มาร่วมทำบุญกับสำนักงานกาชาดจังหวัดเพชรบุรี สลากกาชาดใบละ 100 บาท ลุ้นรางวัลใหญ่มากมาย และอย่าพลาด มากดชัตเตอร์ เช็คอิน ชมไฟสีสัน แสง สี เสียง ชมความอลังการจากการจุดพลุ ทุกค่ำคืน พร้อมทั้งเลือกซื้อสินค้า OTOP ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารแปรรูป และกิจกรรมมากมายจากทุกภาคส่วน

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี ได้ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเพชรบุรี ชมรมถ่ายภาพจังหวัดเพชรบุรี จัดนิทรรศการภาพถ่าย และนิทรรศการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน Sustainable Tourism และพิเศษสุดกับกิจกรรม Studio ถ่ายภาพกับชุดไทยในคอนเซปต์ “แต่งไทยสไตล์พริบพรี” และจัดทำจุดเช็คอินถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาร่วมงาน

โดยเน้นทัศนียภาพของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์เป็นแบ็คกราวน์ รวมไปถึงการจัดหาร้านชุดไทยในพื้นที่เพชรบุรีมาร่วมกิจกรรมให้เช่าชุดไทยในราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมชมงานได้มีประสบการณ์แต่งไทยสไตล์พริบพรี เที่ยวงานพระนครคีรียามค่ำคืนอีกด้วย จึงขอเชิญชวนประชาชนชาวเพชรบุรีและนักท่องเที่ยว มาเที่ยวงานพระนครคีรี -เมืองเพชร ครั้งที่ 38 “วิมานฟ้าพระนครคีรี อัญมณีแห่งสยาม”ได้ตามวันดังกล่าว.


สลด! สาวทับสะแกผูกคอดับใต้ต้นมะม่วง เหตุเครียดติดหนี้ปั่นสล็อตออนไลน์        วันที่ 13  ก.พ. 2568 พ.ต.ท. สุชาติ รุ่งเรือง รอง ผกก. สส. สภ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์รับแจ้งว่า มีเหตุคนผูกคอตายใต้ต้นมะม่วง หมู่ 2 ต.นาหูกวาง  จึงเดินทางไปที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบศพ น.ส.ณัฐพร ยอดอิน อายุ 22 ปี ที่อยู่ 22/3 หมู่ที่ 10 ต.นาหูกวาง  ในที่เกิดเหตุมีนายสุกิจ เผ่าพัฒน์ สามีแจ้งว่าผู้ตายเครียดจากการเล่นการพนันสล็อตอนไลน์ในโทรศัพท์มือถือ  ทราบว่ามีการยืมเงินผู้อื่นมาเล่น โดยออกจากบ้านตั้งแต่เวลาประมาณ 12:00 ของวันนี้ แต่พบผู้เสียชีวิตประมาณ 17:15 น. สอบถาม นายจตุรงณ์ ยอดอิน บิดาและ นายสุกิจฯ สามี ไม่ติดใจใจสาเหตุการเสียชีวิต จากนั้นได้ร่วมกับแพทย์โรงพยาบาลทับสะแกทำการชันสูตรพลิกศพ ไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายหรือบาดแผลแต่อย่างใด จึงมอบร่างให้ญาติไปดำเนินการตามประเพณี  สำหรับปัญหาจากการปั่นสล็อตออนไลน์ พบว่าที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตแล้วหลายรายจากหลายท้องที่จากการผูกคอตาย เนื่องจากมีความเครียดเรื่องหนี้สิน บางรายนำเงิน 10,000 บาทที่ได้รับโอนจากรัฐบาลไปเติมเงินเพื่อเล่นการพนันออนไลน์จนหมดภายในวันเดียว
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชื่นมื่น!! คู่รัก15 คู่ จดทะเบียนสมรสสร้างตำนานรักบนหินสามวาฬ มีคู๋สมรส LGBTQ 2 คู่

วันที่ 14 ก.พ.68 ที่บริเวณภูสิงห์หินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับ อำเภอเมืองบึงกาฬ เทศบาลตำบลโคกก่อง สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ อุทยานป่าภูสิงห์หินสามวาฬจังหวัดบึงกาฬ ท้องถิ่นจังหวัดบึงกาฬ ประชาสัมพันธ์จังหวัดบึงกาฬ โดยมี นายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายสมหวัง อารีย์เอื้อ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ นายวรพันธ์ ชำนิยันต์ ปลัดจังหวัดบึงกาฬ

นายบัวพันธ์ วงศ์จันทร์ นายกเทศมนตรีโคกก่อง นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ นายกริชชัย ศิลปะรายะ ท้องถิ่นจังหวัดบึงกาฬ นายประชุม จตุเทน ประชาสัมพันธ์จังหวัดบึงกาฬ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ประชาชน มาร่วมนำขบวนบ่าวสาว เข้าสู่พิธีจดทะเบียน ซึ่งมีนายธีระพล ขุนพาลเพิง นายอำเภอเมืองบึงกาฬ มาเป็นนายทะเบียนผู้ลงนามในใบสำคัญการสมรสของคู่บ่าวสาว

กิจกรรมจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรักวันวาเลนไทน์เพื่อส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวอุทยานภูสิงห์หินสามวาฬให้เป็นที่รู้จักและมาเที่ยวชม มากขึ้นและส่งเสริมกระแสการท่องเที่ยวจากเทศกาลวันแห่งความรัก ให้คู่รักหรือคู่สมรสที่มีวัตถุประสงค์ได้มาจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก “14 ก.พ.วันวาเลนไทน์” โดยมีคอนเซบป์ส่งเสริมให้ครอบครัวมีความอบอุ่นมั่นคงดังครอบครัวของปลาวาฬทั้ง 3 พ่อแม่ลูก และอยู่กันรักมั่นคงดังหินสามวาฬ โดยมีคู่รัก 15 คู่ มาจดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์

ผู้ว่า จุมพฏ กล่าวอีกว่า จังหวัดบึงกาฬ มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง ดังนั้น การจัดงานในครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬ ให้เป็นที่รู้จักแก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติได้มาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดบึงกาฬ มากขึ้น อีกทั้งร่วมแสดงความยินดีแก่คู่สมรส

ที่มาจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ การจดทะเบียนสมรสนับเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีแก่สถาบันครอบครัว อันเป็นรากฐานที่มั่นคง และสำคัญของสังคมไทย คู่สมรสที่มาร่วมจดทะเบียนสมรสในวันนี้ ซึ่งเป็นวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดียิ่ง เป็นการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างความรัก สร้างฐานะให้เป็นปีกแผ่นมั่นคง

ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองบึงกาฬ ได้ตระหนักถึงการส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้มีความมั่นคงและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของบุคคลในครอบครัวอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นการให้บริการประชาชนทางการลงทะเบียนจึงได้จัดโครงการจดทะเบียนสมรสในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ “รักดั่งขุนเขา ของเราสองคน”

วัตถุประสงค์ของการจัดงานเพื่อส่งเสริมสถาบันครอบครัว พร้อมส่งเสริมสนับสนุนการให้ความสำคัญในวันแห่งความรัก และเพื่อเป็นการส่งเสริมประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในพื้นที่ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรม “วิ่งขึ้นภู ดูหินสามวาฬ” ชวนนักวิ่ง นักท่องเที่ยวมาร่วมกิจกรรมในวันที่แสนจะพิเศษ บรรยากาศภายในงานนอกจากจะอบอวลไปด้วยความรักของหนุ่มสาวแล้ว ยังครื้นเครงไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเหล่านักวิ่งทั้งหลาย ทำให้ในวันนี้ออกมาอบอุ่นและสมบูรณ์แบบมากที่สุด
ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล //บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชาวบ้านร่วม 100 คน ลุกขับไล่ เจ้าอาวาสองค์ใหม่ ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง และดูแลวัด

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 15 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านทุ่งเคล็ด หมู่ที่ 3 ตำบลนาหูกวาง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากกรณีมี คำสั่งเจ้าอาวาสวัดบ้านทุ่งเคล็ด ที่ ๐๐๕/๒๕๖๘ เรื่อง อนุญาต ให้พระประสิทธิ์ สัญจร เข้าอยู่วัดบ้านทุ่งเคล็ด

โดยมีบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการ
ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ในมาตรา ๓๘ ในกรณีที่ไม่มีเจ้าอาวาสหรือเจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ใด้ ให้แต่งตั้ง ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ให้ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส มีอำนาจและหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส

จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๘ (๑)(๓) ห้ามบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งมิได้รับอนุญาตของเจ้าอาวาสเข้าไปอาศัยในวัด จึงให้ พระประสิทธิ์ สัญจร เข้ามาอยู่วัดบ้านทุ่งคล็ด และดูแลจัดการวัดบ้านทุ่งคล็ด ทั้งนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสั่ง ณ วันที่ …๑๕…. เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
ลงชื่อ (พระครูสังฆรักษ์ สำราญ อภิชาโต) ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ้านทุ่งเคล็ด รองเจ้าคณะอำเภอทับสะแก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ขณะที่พระประสิทธิ์ สัญจร ได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจดูแลวัดบ้านทุ่งเคล็ด พร้อมถือหนังสือสั่งการไป แต่เมื่อชาวบ้านเห็นดังกล่าว จึงได้เข้าไปสอบถามว่ามาทำไม มาทำอะไร จึงมีเสียงปะทะคารมกระทบกระทั่งกับชาวบ้าน จนชาวบ้านได้เข้าไปห้อมล้อมขับไล่ให้ออกไปจากวัด โดยมี พ.ต.ท.สุทิน ทัดรัตน์ สว.สส.สภ.ทับสะแก พร้อมชุดสืบสวน ฝ่ายป้องกันและปราบปราบ เข้าควบคุมสถานการณ์ป้องกันเหตุ

น.ส.อมรทิพย์ ภู่ระย้า ( คนเสื้อดำ ) ให้การว่า ตนเองได้เดินเข้าไปสอบถามพระประสิทธิ์ ว่ามาทำไม และมาทำอะไร เพราะชาวบ้านเขาไม่ต้อนรับเจ้าอาวาสองค์ใหม่ จึงบอกให้นิมนต์กลับ แต่เกิดมีปะทะคารมกัน จนชาวบ้านลุกฮีอตะโกนขับไล่ (ตามคลิป)

นอกจากนี้ชาวบ้านยังรวมตัวกันถือป้ายแสดงข้อความเชิงสัญลักษณ์ในการแสดงออก “ด้วยความเคารพศรัทธา พวกเราชาวบ้านขอเห็นพ้องร่วมกันในการแสดงความประสงค์ที่จะขอคัดค้านคำสั่งถอดถอนพระอาทิตย์ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านทุ่งเคล็ด และขอโต้แย้งคัดค้านคำสั่งแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาสรูปใหม่เนื่องจากไม่สามารถเข้าร่วมกับชาวบ้านในชุมชนได้ขอความเป็นธรรมและสนับสนุนให้พระอาทิตย์กลับเข้ามาเป็นเจ้าเอาวาสเช่นเดิม โดยชาวบ้านจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาปกป้องเช่นเดิม

////////////

ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง