สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ เยี่ยมชมโรงงานน้ำตาลพิมายและชื่นชมโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 3-5 กรกฎาคม 2568 บริษัท อุตสาหกรรมโคราชจำกัด (โรงงานน้ำตาลพิมาย) โดยคุณประเสริฐ เสถียรถิระกุล ประธานกรรมการ และคุณมงคล เสถียรถิระกุล กรรมการผู้จัดการ มอบหมายให้ นายสมบูรณ์ จาตุรชาต ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาอ้อย

พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานโรงงานน้ำตาลพิมาย ให้การต้อนรับคณะผู้เยี่ยมชมโรงงานน้ำตาลพิมาย ชาวหมู่บ้านหนองปล่อง ,หนองหัวลาว,หนองตาเสาร์,โคกขาม,สำโรง,ดอนหวาย,หนองใหญ่,ตาเหล็ง อีกหลายหมู่บ้าน จาก อ.ชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้เดินทางมาเยี่ยมชมการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการพัฒนาสังคมของโรงงานน้ำตาลพิมาย

 ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ คณะผู้เยี่ยมชมโรงงานน้ำตาลพิมาย ได้รับฟังการบรรยายเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเสีย การควบคุมคุณภาพอากาศ การจัดการของเสีย และการนำทรัพยากรเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ (Zero Waste) โดยเฉพาะการใช้กากอ้อยและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นพลังงานทดแทน  นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมพื้นที่จริง เช่น การจัดการมลพิษทางอากาศที่ระบายออกจากปล่องหม้อไอน้ำ  พื้นที่จัดเก็บกองกากอ้อย  การจัดการผันน้ำของโรงงาน  และชมการพัฒนาชุมชนรอบโรงงานน้ำตาลพิมาย  คณะผู้เยี่ยมชมโรงงานน้ำตาลพิมาย  ได้แสดงความชื่นชมต่อความมุ่งมั่นของโรงงานน้ำตาลพิมาย ในการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  อันจะส่งผลดีต่อชุมชนและระบบนิเวศโดยรอบในระยะยาว
หลังจากได้รับทราบข้อมูลและลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมในจุดต่าง ๆ  คณะผู้เยี่ยมชมโรงงานฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าโรงงานมีการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้  และให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทั้งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การได้รับความไว้วางใจจากผู้เยี่ยมชมครั้งนี้ ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญให้โรงงานน้ำตาลพิมาย  มุ่งมั่นพัฒนาระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับแนวทางของการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นต่อชุมชนและสังคมโดยรอบอย่างมั่น

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ต้อนรับคาราวาน “แวะ ชิม ช้อป ชม” ชมแหล่งท่องเที่ยวตามลำน้ำโขง สัมผัสวัฒนธรรม ดูวิถีชีวิต ชุมชนริมโขงตลอดเส้นทาง 5 จังหวัดริมโขง

วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.30 น. ที่ ดารานาคี (กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านสะง้อ) ต.หอคำ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ นายสมหวัง อารีย์เอื้อ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ

นายธนิต รามัญวงศ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดบึงกาฬ นายอนุชิต บุญชม ผอ.สวท.บึงกาฬ ผู้แทนพัฒนาชุมชนจังหวัดบึงกาฬ ผู้บริหารเทศบาลตำบลหอคำ นายสหรัถ พิศาลเศรษฐพงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดบึงกาฬ ผู้แทนประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบึงกาฬ และสมาชิกกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านสะง้อ ให้การต้อนรับ

โครงการคาราวานรถยนต์ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามเส้นทาง “แวะ ชิม ช็อป ชม” แหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมชุมชนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อขับเคลื่อนรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) และประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและระดับอาเซียน

กิจกรรมดังกล่าวกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 6 กรกฎาคม 2568 บนเส้นทางเชื่อมโยง 5 จังหวัดริมโขง ได้แก่ เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ทั้งจากต้นทุนธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในเขตลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เกิดราย

ได้หมุนเวียนตลอดทั้งปี เพื่อยกระดับกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานทุนวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในเขตลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเชื่อมโยงกับแนวคิด Soft Power ซึ่งมีนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ ไทย จีน เวียดนาม และ สปป.ลาว เครือข่ายชุมชนท่องเที่ยว จากพื้นที่ 5 จังหวัดในเขตลุ่มแม่น้ำโขง ร่วมเดินทางกับคณะคาราวานในครั้งนี้

สำหรับ “ดารานาคี” สินค้าผ้าคุณภาพดีที่บึงกาฬ ผ้าหมักโคลนแม่น้ำโขง ย้อมสีจากเปลือกไม้ “กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านสะง้อ” ตั้งอยู่เลขที่ เลขที่ 91 หมู่ที่ 2 บ้านสะง้อ ตำบลหอคำ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเป็นงานผ้าขาวม้าทอมือที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากเปลือกไม้ที่มีในชุมชน แล้วนำไปหมักโคลนแม่น้ำโขงช่วยทำให้ผ้านุ่ม สีเข้มสวย มีความทนทาน กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านสะง้อ

มีแม่สมพรทำหน้าที่ประธานกลุ่ม มีสมาชิกประจำจำนวน 35 คน กับสมาชิกเครือข่ายอีกเป็นจำนวนมากทั่วบึงกาฬ ถ้านับจำนวนทั้งหมดประมาณ 70 กว่ากี่ กลุ่มนี้รวบรวมสาวโรงงานตัดเย็บผ้าที่มีประสบการณ์มายาวนานในโรงงานใหญ่หลายแห่งมาร่วมงานเพื่อต้องการยกระดับการตัดเย็บผ้าให้เป็นมืออาชีพได้มาตรฐาน จนได้รับรางวัลด้านการออกแบบจากกรมพัฒนาชุมชน อีกทั้งยังได้รับมาตรฐาน 5 ดาวทางด้านคุณภาพเนื้อผ้าประจำจังหวัดบึงกาฬ

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล/บึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดตลาดด่านสิงขรคึกคัก ชาวไทย-เมียนมา นำสินค้ามาวางขายกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน 2 ประเทศ

เมื่อวันที่ 4 ก.ค.68 บรรยากาศการเปิดตลาดการค้าด่านสิงขร วันแรก ที่บริเวณจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร บ้านไร่เครา ต.คลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบฯ เริ่มคึกคัก มีบรรดาผู้ค้าทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาพากันนำสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตร สินค้าพื้นถิ่นมาวางจำหน่าย โดยครั้งนี้เป็นการนำร่องเปิดตลาด 10 วัน

ตั้งแต่วันที่ 4-13 ก.ค.68 จากนั้นจะมีการเปิดตลาดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ผ่านช่องทางด่านสิงขร อีกครั้ง หลังจากทางเมียนมาได้มีการปิดด่านมูด่อง อ.ตะนาวศรี จ.มะริด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับช่องทางสิงขรไปนานตั้งแต่ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเนื่องมาถึงการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในฝั่งเมียนมา

โดยผ่อนปรนให้เฉพาะการขนส่งสินค้าข้ามแดนเท่านั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์ฝั่ง จ.มะริด เป็นปกติจึงมีการกลับมาเปิดด่านให้บุคคลสามารถเดินทางข้ามแดนระหว่างกันไดนายวิษณุลักษณ์ คุ้มเดช และ นางสาวอุไร อีคฮูท ประชาชนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ด่านสิงขร กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นด่านสิงขรกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากที่เงียบเหงาไปนานตั้งแต่ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดตลาด

ผู้ค้าอาจจะยังไม่มาก ประกอบกับนักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้มากนัก เชื่อว่าถ้าเป็นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ บรรยากาศน่าจะคึกคักมากกว่านี้ โดย จ.ประจวบฯ มีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง มาที่นี่แล้วก็สามารถที่จะเดินทางต่อไปเที่ยวที่อื่นได้อีก ส่วนตัวชอบที่ชาวเมียนมามักจะนำต้นไม้แปลก ๆ มาวางขาย อยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาที่ด่านสิงขรกันมาก ๆ เพื่อให้มีความคึกคัก มีการจับจ่ายใช้สอยอุดหนุนสินค้าของชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนทั้ง 2 ประเทศ ด่านตรงนี้มีความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล และหากเป็นไปได้ก็อยากจะเดินทางข้ามไปท่องเที่ยวที่ฝั่งเมียนมาเช่นกัน

ทั้งนี้ ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีคำสั่งที่ 1/2568 เรื่องการกำหนดมาตรการในการใช้ช่องทางผ่านแดน ณ จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบฯ ในช่วงวันที่ 4-13 ก.ค.68 โดยอนุญาตให้บุคคลสัญชาติเมียนมา สามารถเดินทางเข้ามาในฝั่งไทยได้ตั้งแต่เวลา 06.30 น.และต้องเดินทางกลับภายในเวลา 18.30 น. โดยใช้หนังสือรับรองบุคคล บัตรผ่านแดนและบัตรผ่านแดนชั่วคราว และอนุญาตให้เข้าถึงเฉพาะบริเวณพื้นที่บ้านไร่เครา ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เท่านั้น

โดยให้ที่ทำการปกครอง อ.เมืองประจวบฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งจุดตรวจจุดสกัดเพื่อป้องกันการหลบหนีออกนอกพื้นที่และตรวจสอบสิ่งของผิดกฎหมายลักลอบนำเข้า จัดรถรับส่งบุคคลและสินค้า เพื่อบริการประชาชนทั้ง 2 ประเทศ และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยตลอดระยะเวลาจัดกิจกรรม ขณะเดียวกัน บุคคลสัญชาติไทยสามารถเดินทางออกไปยังสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ ตั้งแต่เวลา 06.30 น.ด้วยการใช้บัตรผ่านแดนและบัตรผ่านแดนชั่วคราว และต้องเดินทางกลับภายในเวลา 18.30 น. เช่นกัน.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / รองผู้ว่าจ.ลพบุรี ร่วมงานโครงการ “ถนนสายวัฒนธรรม ปันน้ำใจสู่ผู้ยากไร้” อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 06.30 น. ณ บริเวณหน้าอาคารที่ว่าการอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี นายปรัชญา เปปะตัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ประชาสัมพันธ์จังหวัดลพบุรี วัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลพบุรี หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดลพบุรี ร่วมงาน “ถนนสายวัฒนธรรม ปันน้ำใจสู่ผู้ยากไร้”

ทั้งนี้มี นายเจตน์พงศ์ โชคสวัสดิ์วรกุล นายอำเภอโคกสำโรง ผู้จัดทำโครงการฯ นางสาวนงลักษณ์ อยู่พุ่ม ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอโคกสำโรง นายนรินทร์ คลังผา สส.จังหวัดลพบุรี เขต4 พ.ต.อ. จาตุรนต์ อนุรักษ์บัณฑิต ผกก. สภ. โคกสำโรง พ. ต. อ. มาโนช จันเที่ยง ผกก. สภ. เพนียด นางสาวพรพรรณ ศรีเมือง

(คีรีตา รีสอร์ท แอนด์ คาเฟ่) ต.วังเพลิง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการอำเภอ, หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ, กิ่งกาชาดอำเภอ , ผู้บริหารสถานศึกษา , ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น , คณะกรรมการตรวจสอบการติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต. ตร.) สภ. โคกสำโรง. กต.ตร.สภ.เพนียด, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน,องค์กรภาคเอกชน, สถานประกอบการ และประชาชนอำเภอโคกสำโรงทุกท่านร่วมงานฯ

ด้วยโครงการ“ถนนสายวัฒนธรรม ปันน้ำใจสู่ผู้ยากไร้” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในวันนี้ อำเภอโคกสำโรง ร่วมกับคณะสงฆ์อำเภอโคกสำโรง จัดทำโครงการ “ถนนสายวัฒนธรรม ปันน้ำใจสู่ผู้ยากไร้” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ

เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 73 พรรษา 28 กรกฎาคม 2568 ตลอดจนเพื่อบูรณาการ ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่เกิดความรักสามัคคีเป็นการขับเคลื่อน และสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชุมชน อีกทั้งเป็นพลังเสริมการทำงานตามแนวพระราชดำริ หลัก “บวร” และ “บรม”

การจัดทำโครงการ ฯ ครั้งนี้ ประกอบไปด้วย กิจกรรมทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อนำไปมอบให้แก่ครัวเรือนเปราะบางในพื้นที่อำเภอโคกสำโรง 13 ตำบล 173 หมู่บ้านโดยทั้งนี้มีกิจกรรมจัดแสดงและสาธิตวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่น

จากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 13 ตำบล และกิจกรรมประกวดแข่งขันผัดไทยลีลา จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 14 แห่ง แบ่งเป็นชุดละ 5 ทีม แต่ละประเภท โดยได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กิ่งกาชาดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรภาคเอกชน

สถานประกอบการ และภาคประชาชน นำสิ่งของข้าวสารอาหารแห้ง มาร่วมทำบุญตักบาตรซึ่งอำเภอโคกสำโรงจักได้รวบรวมสิ่งของที่ได้จากกิจกรรมในวัน

นี้จัดเป็นถุงยังชีพไปมอบให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้ยากไร้ และผู้พิการในพื้นที่ 13 ตำบล 137 หมู่บ้านอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนครัวเรือนเปราะบางในพื้นที่อำเภอโคกสำโรง ต่อไป

สนอง แท่นสูงเนิน
ผอ. ศูนย์ข่าวฯ ประจำจังหวัดลพบุรี และอนุกรรมการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัดลพบุรี ภาพ/ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดกิจกรรมพัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1 – 3)

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น.ที่ผ่านมา ณ โรงแรม ดิ อิมเพรส น่าน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง กิจกรรมหลัก พัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้ได้มาตรฐานสากล โดยมี นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน กล่าวรายงานการจัดฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1-3) พร้อมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและผู้นำเที่ยว รวมจำนวน 150 คน

เข้าร่วมกิจกรรม จังหวัดน่าน ได้มอบหมายให้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวน่าน สู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง กิจกรรมหลักการพัฒนาแรงานและผู้ประกอบการ ยกระดับ

มาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการได้มาตรฐานสากล กิจกรรมย่อยฝึกอบรมมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยว (รุ่นที่ 1-3) เพื่อเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์ที่ที่ดีด้านการท่องเที่ยว เสริมสร้างศักยภาพมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวในพื้นที่จังหวัดน่าน ให้สามารถอธิบายเล่าประวัติความเป็นมา ถ่ายทอดองค์ความรู้และอัตลักษณ์ของเมืองน่าน ให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง และให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปรับใช้ในการบริการนักท่องเที่ยวต่อไป

โดยการพัฒนาศักยภาพของมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวในจังหวัดน่าน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีคุณค่าอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วม โดยอาศัยแนวทิตหลัก ได้แก่ การต่อยอดอดีต ปรับปัจจุบัน และสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต โดยแบ่งผู้เข้าร่วมอบรมออกเป็น 3 รุ่น รุ่นละ 50 คน ได้แก่ รุ่นที่ 1 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชามัคคุเทศก์เฉพาะภูมิภาค

(ภาคเหนือ) รุ่นที่ 2 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชามัคคุเทศก์เฉพาะจังหวัดน่าน และรุ่นที่ 3 หลักสูตรการฝึกอบรมผู้นำเที่ยว (Tour Leader Training) พร้อมการจัดเสวนาในหัวข้อ “Next Step ก้าวสู่การเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับการท่องเที่ยวน่านสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูง” ในประเด็นการพัฒนาแรงงานและผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว สินค้า และบริการให้ได้มาตรฐานสากล ด้านมัคคุเทศก์และผู้นำเที่ยวอีกด้วยโดยในวันที่ 3 กรกฏาคม2568 ทางผู้จัดงานได้นำผู้เข้าอบรมและะสื่อมวลชนจังหวัดน่านศึกษาดูงานจุดที่ ที่ 1

ณ วัดพระธาตุช่อแฮ เป็นปูชนีสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่มืองแพร่มานานแต่โบราณ และเป็นพระ ธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีชาล เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองแพร่ และเป็นพระธาตุ ประจำปีขาล ตามตำนานระบุว่า สร้างเมื่อ พ.ศ. 1879-1881 สมัยพระมหาธรรมราชาธิ ราช (ลิไท) มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ก่ออิฐโบกปูนหุ้มด้วยแผ่น ทองเหลือง ลงรักปิดทองเป็นศิลปะเชียงแสน และเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระ บรมสารีริกธาตุส่วนของพระศอกข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน หลวงพ่อช่อแฮ พระประธานศิลปะล้านนาผสมผสานเชียงแสนกับสุโขทัย ส่วนของวิหาร ศิลปะล้านนาประยุกต์ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธโลกนารถบพิตร พระปางนาคปรก

รวมทั้ง มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และยังมีพระเจ้าไม้สัก ที่แกะสลักจากไม้สักทอง เป็นศิลปะ สมัยล้านนา พระเจ้านอน สร้างแบบก่ออิฐถือปูนและลงรักปิดทอง เป็นศิลปะแบบเมียนมา ธรรมาสน์โบราณ เป็นธรรมาสน์ไม้สักที่แกะสลักลวดลายแบบไทยผสมล้านนาพร้อมลงรักปิด ทอง ใกล้กันเป็นที่ตั้งกรุอัฐิครูบาศรีวิชัย จุดที่ 2 ณ คุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ คุ้มเจ้าบ้านวงศ์บุรี เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังชิงหลังคามุงด้วยไม้ เรียกว่า “ไม้แป้นเกล็ด” ไม่มีหน้าจั่วเป็นแบบหลังคาเรือนปั้นหยา มีมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมาด้านหน้า ของตัวอาคาร หลังคามุขมีรูปทรงสามเหลี่ยม ทั้งปั้นลมและชายคาน้ำรอบตัวอาคารประดับ

ด้วยไม้แกะฉลุสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นฝีช่างชาวจีนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ภายใต้ตัว อาคารซึ่งสูงจากพื้นดินประมาณ 2 เมตร มีห้องสำหรับเก็บข้าวของเงินทองและทรัพย์สมบัติ จำนวน 3 ห้อง ห้องกลางเป็นห้องทึบ ส่วนอีก 2 ห้อง ปีกซ้ายและปีกขวา มีช่องสำหรับใส่ เงิน ซึ่งห้องใต้ดินสำหรับเก็บสมบัตินี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคุกที่คุมขังนักโทษ ส่วนเครื่องจอง จำนักโทษที่จัดแสดงในห้องเพิ่งนำเข้ามาจัดแสดงเมื่อเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ จุดที่ 3 ณ วัดจอมสวรรค์ เป็นวัดไทยใหญ่ สร้างแบบสถาปัตยกรรมหม่า ด้วยความศรัทธาของชาวเงี้ยวที่มี
ถิ่นฐานอยู่ในเมียนมาและเดินทางเข้ามาค้าขายที่เมืองแพร่ ต่อมาได้รับการบูรณะจากชาวไทใหญ่

จึงเป็นวัดไทใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมแบบเมียนมา ภายในวัดมีเรือนไม้สักหลังเดียว ซึ่งเป็นทั้งอุโบสถ วิหาร และกุฏิ มีลักษณะหลังคาช้อนลดหลั่นเป็นชั้น ตกแต่งด้วยลวยฉลุภายในแสดงให้ให้เห็น ฝีมือการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เพดานและเสาฉลุไม้ ประดับกระจกสีแบบโบราณ ในวัดประดิษ ฐานหลวงพ่อสาน เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากไม้ไผ่สานลงรักปิดทอง พระพุทธรูปงาช้าง เป็นศิลปะ
แบบเมียนมา คัมภีร์งาช้าง หรือคัมภีร์ปาติโมกข์ ที่นำงาช้างมาบดแล้วอัดเป็นแผ่นบาง ๆ เขียนลง รักแดงจารึกเป็นอักษรเมียนมา และยังมีบุษบกที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ประดิษฐานพระพุทธรูป หินอ่อน จุดที่ 4 กิจกรรมการท่องที่ยวโดยชุมชนบ้านทุ้งโฮ้ง ต้นแบบของการนำเที่ยวและกิจกรรมสาธิตโดย ผู้เข้าร่วมได้ทำกิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตอัตลักษณ์ของุชมชน เช่น การย้อมผ้าหม้อห้อม เวลา (บ้านป้าเหงี่ยม) เป็นวิถีชุมชนชาวไทยพวนที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตและจำหน่ายผ้าหม้อห้อม โดย มีประวัติความเป็นมาจากการอพยพของชาวไทพวนจากเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง สปป.ลาว) เข้า มาตั้งถิ่นฐานในเมืองแพร่ งานนี้ขอชื่นชมนางสาวนพรัตน์ ศตรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่านพร้อมทีมงาน ผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้ ชื่นชมคณะอาจารย์ทีมวิทยากรทุกๆท่าน ชื่นชมคณะทำงาน ผู้ประสานทุกๆท่าน และทีมไกค์น่าน ที่จัดงานได้อย่างไม่มีที่ติ/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน/วิสุทธิ์ ศรีเมือง/ร.ต.อ.สถิตย์ ศรีประสม รายงาน

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / แตกตื่น! คนงานวางบ่วงดักหนู แต่ได้เสือดาวกลางสวนริมโขง มุกดาหาร​

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 นายอดุลย์ ศิริมันต์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองมุกดาหาร เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งว่าคนงานภายในพื้นที่

บ้านสวนปารี อินทผลัมริมโขง บ้านนาเวียงแก ตำบลนาสีนวน อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร พบสัตว์ป่าติดกับดักหนูที่วางไว้เพื่อป้องกันพืชผลและลูกไก่ที่ถูกกัดกินบ่อยครั้ง

โดยเมื่อเวลาประมาณ 07.30 น.ของวันนี้ คนงานในสวนเดินตรวจรอบสวนแล้วพบสัตว์ขนาดใหญ่คล้ายแมวป่าถูกบ่วงรัดอยู่ ด้วยความตกใจจึงถ่ายภาพส่งให้ผู้จัดการตรวจสอบ ก่อนจะได้รับคำยืนยันว่าเป็น “เสือดาว” ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

ภายหลังจากทราบเรื่อง นายอดุลย์ จึงได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าดำเนินการพร้อมกับประสานไปยังนายสถิตย์ พิสัยสวัสดิ์ หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่ามุกดาหาร (CITES)

เพื่อให้เข้าดำเนินการช่วยเหลือดูแลเสือตัวดังกล่าว และตรวจสอบว่าเป็นเสือดาวที่มาจากป่าธรรมชาติหรือเป็นสัตว์ป่าที่เอกชนเลี้ยงไว้แล้วหลุดออกมา หรือไม่อย่างไร

เสือดาวริมโขง #นาเวียงแก #นาสีนวน #มุกดาหาร #สัตว์ป่าคุ้มครอง #บ่วงดักหนู #ข่าวสัตว์ป่า #ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย #เทศบาลเมืองมุกดาหาร #CITESมุกดาหาร #ด่านตรวจสัตว์ป่ามุกดาหาร #สวนปารีอินทผลัม​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ส.อ.ท. จับมือ อย. ผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวัตกรรมระดับภูมิภาค

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานแถลงข่าว “ดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม” โดยได้รับเกียรติจากนายโฆษิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเปิดงาน และนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ส.อ.ท. พร้อมนายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมแถลง เพื่อชี้แจงดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม รวมทั้งหารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคาร OSSC ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา การจัดงานแถลงข่าว “ดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม” ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ ส.อ.ท. โดยหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนและส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศไทย และแก้ไขปัญหาอุปสรรคจากกฎหมาย กฎระเบียบที่มีต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งหารือแนวทาง

การส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ อันนำไปสู่การส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัย พัฒนา และการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม ผ่านกลไกความร่วมมือ 3 ด้าน คือ การส่งเสริมนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ การสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการจัดทำดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ

นายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ที่พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล่านี้ ผ่าน 7 นโยบายด้านเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 6.9 แสนล้านบาทในปี 2568 ส่งผลต่อการเพิ่ม GDP ของประเทศ โดยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีนวัตกรรม มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จะช่วยเสริมพลังการขับเคลื่อนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพได้เป็นอย่างดี

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า ส.อ.ท. ได้จัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประกอบด้วย 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สมุนไพร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสุขภาพของอาเซียน ผ่านการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตั้งแต่การพัฒนาด้านวัตถุดิบจนถึงผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2568 การผลิตและการส่งออกของสินค้าในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม จะเติบโตประมาณ 10% ตามการสนับสนุนและยกระดับสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) และมีปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความต้องการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การแข่งขันในระดับภูมิภาค และข้อจำกัดด้านเงินทุน

นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวเสริมว่า อย.พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบาย Medical Hub ของรัฐบาล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม โดยร่วมมือกับ ส.อ.ท. ผ่านกลไกต่างๆ เช่น คณะทำงาน คณะอนุกรรมการ และโครงการ Sandbox โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรและสินค้ามูลค่าสูง รวมทั้งผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการวิจัย พัฒนา และผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม

ปัจจุบัน อย. ขับเคลื่อนความร่วมมือใน 3 ด้านหลัก คือ

  1. สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ด้วยการจัดตั้ง One Stop Service และยกระดับผู้ประกอบการให้พร้อมขึ้นทะเบียน
  2. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โดยส่งเสริมการใช้สถานที่ผลิตร่วมสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  3. สร้างความเชื่อมั่น ผ่านกลไกรับฟังข้อเสนอแนะและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ อย. ยังได้จัดตั้ง “กองเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพ” เพื่อพัฒนาดัชนีวัดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมสุขภาพ และเตรียมนำ Big Data และ AI มาจัดการข้อมูล พร้อมพัฒนาระบบ Track and Trace และฉลากดิจิทัล (Digital Labeling) เพื่อเพิ่มความโปร่งใส เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“อย. เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และก้าวสู่การเป็น Medical Hub อย่างแท้จริง” นายแพทย์สุรโชค กล่าวทิ้งท้าย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / มทบ.44 เปิดบ้านทหารใหม่ (Open House) ผลัดที่ 1 รุ่นปี 2568 ที่ชุมพร

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923154 วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 พล.ต.สมคิด ชูเผือก ผบ.มทบ.44 ให้เกียรติมาเป็นประธาน ในพิธีการจัดกิจกรรมเปิดบ้านทหาร

ใหม่ Open House รุ่นปีพุทธศักราช 2568 ผลัดที่ 1 ของมณฑลทหารบกที่ 44 ร่วมกับ รองเสนาธิการ นายทหาร ข้าราชการ ทหารกองประจำการ และญาติของทหารกองประจำการทุกท่าน

หัวหน้ากองยุทธการ มณฑลทหารบกที่ 44 กล่าวรายงานการจัดกิจกรรม การเปิดบ้านทหารใหม่ (Open House) ผลัดที่ 1 รุ่นปี 2568 พอสังเขปดังนี้ ตามที่มณฑลทหารบกที่ 44 ได้รับทหารกองเกินเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1 ประจำปีพุทธศักราช 2568 และเข้ารับการฝึกหลักสูตรทหารใหม่ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568

จนถึงปัจจุบันนั้น กองทัพบก มีนโยบายให้หน่วย เปิดค่ายต้อนรับผู้ปกครอง เพื่อให้สามารถเข้าเยี่ยมบุตรหลานได้ในวันอาทิตย์ ตั้งแต่สัปดาห์แรก ตลอดระยะ

เวลาของหลักสูตรการฝึก ได้เห็นถึงสถานที่การฝึก และได้ทำความรู้จักผู้บังคับหน่วยทหาร บุคลากรทุกระดับชั้น รวมไปถึงความเป็นอยู่ของบุตรหลาน ก่อให้เกิด ความสบายใจ คลายความวิตกกังวล

ทั้งนี้ กองทัพบกได้กำหนดให้หน่วยฝึกทหารใหม่ทุกหน่วย จัดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ ในวันเสร็จสิ้นการฝึกก่อนมีการ ปล่อยลาพักกลับบ้าน ให้ผู้ปกครอง ได้มีโอกาสรับทราบ

การเปลี่ยนแปลง ของบุตรหลานในระหว่างที่เข้ามารับราชการ เป็นทหารกองประจำการ โดยได้จัดการแสดงของทหารใหม่ ให้ผู้ปกครองและญาติได้รับชมจำนวน 3 ชุด ดังนี้ การแสดงศิลปะต่อสู้ป้องกันตัว มวยไทย การแสดงชุด ดาบปลายปืน การแสดงชุด ยิงปืนฉับพลัน

วัตถุประสงค์ การจัดกิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่ของหน่วยมณฑลทหารบกที่ 44 ในวันนี้ 4 เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับทหารใหม่ ในโอกาสผ่านการฝึก โดยมีผู้ปกครองร่วมเป็นสักขีพยานแห่งความภาคภูมิใจ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ปกครอง

ทหารใหม่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมหน่วยทหาร เพื่อเสริมสร้างสายใยความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วย กับครอบครัวทหารใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์ การสมัครเป็นทหารกองประจำการในผลัดต่อๆ ไป

พล.ต.สมคิด ชูเผือก เปิดเผยว่า ในนามของข้าราชการมณฑลทหารบกที่ 44 รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ญาติของทหารใหม่ รุ่นปี พุทธศักราช 2568 ผลัดที่ 1 ได้เดินทางมาร่วมกิจกรรมการเปิดบ้านทหารใหม่ ในวันเสร็จสิ้น การฝึก กิจกรรมใน

ครั้งนี้เป็นนโยบายของกองทัพบก เพื่อให้ครอบครัวมีโอกาสร่วมแสดงความยินดี เยี่ยมชมหน่วยทหาร ได้รับรู้ถึงภารกิจ และบทบาทหน้าที่ของทหาร ความเป็นอยู่ในการฝึกทหารใหม่ ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครอบครัวกับหน่วยทหาร

ผมขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พระบารมีแห่งองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้โปรด ดลบันดาลพระราชทานพร ให้ผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่าน และทหารใหม่ ทุกนาย มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีจิตใจที่มั่นคง และปลอดภัยจากภยันตราย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / แฟลช เอ็กซ์เพรส เปิด “ศูนย์การเรียนรู้เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษา”

ณ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเค็ม อำเภอวังน้ำเขียว บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด โดยนางสาว ปรินทร์ทิพย์ อิสริยเมธา ผู้ช่วยรองกรรมการผู้อำนวยการสื่อสารองค์กร และรัฐกิจสัมพันธ์ กลุ่มธุรกิจแฟลช เป็นผู้แทนบริษัทฯเปิด “ศูนย์การเรียนรู้แฟลช เอ็กซ์เพรส

เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษา” ณ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเค็ม ตำบลอุดมทรัพย์ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา การเปิดศูนย์การเรียนรู้เพื่อการศึกษาดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ “คุณคมสันต์ ลี” ผู้ก่อตั้งบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ที่ต้องการสร้างโอกาสทางการศึกษา และลดความไม่เท่าเทียมด้านการศึกษาให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษา

เพราะเชื่อว่าการศึกษาคือจุดเริ่มต้นของโอกาสที่ดีในชีวิต และเป็นต้นทุนในการสร้างอนาคตและพัฒนาประเทศ โดยแฟลช เอ็กซ์เพรส เข้าไปช่วยพัฒนา และจัดทำศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ที่ประกอบไปด้วยการปรับปรุงอาคารเรียน และสร้างห้องการเรียนรู้แห่งใหม่

พร้อมมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนบ้านห้วยน้ำเค็ม อันเป็นการต่อยอดทางการศึกษานอกห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถสืบค้นข้อมูลความรู้เพิ่มเติมผ่านสื่อต่างๆที่ต้องการได้ด้วยตนเอง

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ฝ่ายป้องกัน ทม.มุกดาหาร เข้าระงับเหตุ หลังพบชายเร่ร่อนถือมีดยาวในสวนสุขภาพ / ​ชาวบ้านเดือด! “ต้อม ศรีไท” เสพยาขโมยของ ขี่มอเตอร์ไซค์หนี

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 นายอดุลย์ ศิริมันต์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองมุกดาหาร ได้รับแจ้งจากประชาชนที่มาออกกำลังกายใน สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ กาญจนาภิเษก หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สวนสุขภาพ” ว่ามีชายเร่ร่อนถือมีดยาวเดินไปมาในพื้นที่สวน สร้างความหวาดกลัวและกังวลใจต่อความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันฯ และเทศกิจ เทศบาลเมืองมุกดาหาร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบทันที พบชายคนดังกล่าวถือมีดด้ามยาวอยู่จริง จึงเข้าขอความร่วมมือให้วางอาวุธ พร้อมชี้แจงว่า สวนสุขภาพเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนและออกกำลังกาย ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นที่พักอาศัยหรือถืออาวุธเดินไปมา

จากนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร มารับตัวชายเร่ร่อนไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปมุกดาหาร #สวนสุขภาพ #เทศกิจ #ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย #เทศบาลเมืองมุกดาหาร #แจ้งเหตุทันใจ #เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุ #ปลอดภัยไว้ก่อน #ความปลอดภัยของประชาชน​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

​ชาวบ้านเดือด! “ต้อม ศรีไท” เสพยาขโมยของ ขี่มอเตอร์ไซค์หนี เจ้าของบ้านคว้ามีดพร้าไล่ ชาวบ้านวอนแจ้งความอย่าปล่อยผ่าน!

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ชาวบ้านบ้านหนองแอก หมู่ 5 ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร สุดทน! โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมภาพจากกล้องวงจรปิด ระบุมีชายคนหนึ่งชื่อ “นายศรีไท” หรือ “ต้อม” อายุ 35 ปี เข้ามาที่บ้านแล้วขอยืมรถจักรยานยนต์ แต่เจ้าของไม่ยอมให้ ก่อนชายคนดังกล่าวจะขี่รถหนีไปหน้าตาเฉย ทำให้เจ้าของบ้านต้องคว้ามีดพร้าด้ามยาววิ่งไล่ตาม กระทั่งเจ้าตัวทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนีไป

จากการลงพื้นที่ของผู้สื่อข่าว ทราบจากชาวบ้านและเจ้าของบ้านว่า นายศรีไท หรือ ต้อม มีประวัติเสพยาบ้ามานาน เคยขโมยของ ขโมยขี้ยาง ข่มขู่ญาติพี่น้องหลายราย ชาวบ้านส่วนใหญ่หวาดกลัว จึงไม่กล้าแจ้งความ ทำให้เจ้าตัวยิ่งได้ใจและก่อเหตุซ้ำ

นายเหวี่ยง อุทาวงษ์ ผู้ใหญ่บ้านหนองแอก เผยว่า ปวดหัวกับพฤติกรรมของชายคนนี้มานาน ชาวบ้านเดือดร้อน ไม่มีใครกล้าดำเนินคดี เพราะกลัวจะถูกทำร้าย ตอนนี้อยากวิงวอนให้ผู้เสียหายทุกคนรวมตัวกันเข้าแจ้งความ จะได้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปกว่านี้

ใครเคยถูกข่มขู่หรือขโมยของ อย่าเงียบอีกต่อไป แจ้งความเลย! เพื่อความปลอดภัยของทั้งชุมชน
ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง