สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “แม่ทัพกุ้ง” ลงพื้นที่มุกดาหาร มอบพระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร ลั่น “ไม่กลัวคุณไสยหมอผีเขมร” – ชาวบ้านแห่ต้อนรับอบอุ่น มอบแจ่วแมงแคง ดอกกุหลาบแดง เป็นกำลังใจ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 มิถุนายน 2568 พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมคณะ เดินทางไปยังวัดศรีบุญเรือง เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร เพื่อ

ถวาย “พระพุทธปฏิมา ปางสะดุ้งมาร” สมัยอู่ทอง แด่พระราชรัตนโมลี เจ้าคณะจังหวัดมุกดาหาร ประธานฝ่ายสงฆ์ เพื่อนำประดิษฐานภายในอุโบสถของวัด

ในพิธีดังกล่าวมี นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร, พลตำรวจตรีไพโรจน์ ไทยพุทรา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ข้าราชการระดับจังหวัด และประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธีด้วย

ขณะเดินทางถึงประตูวัด พลโท บุญสิน ได้ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ท่ามกลางชาวบ้านที่มารอต้อนรับแน่นขนัด หลายคนผูกผ้าขาวม้าตามประเพณีอีสาน มอบ

ดอกกุหลาบ และ “แจ่วแมงแคง” อาหารพื้นบ้านยอดนิยม พร้อมขอถ่ายรูปและเซลฟี่อย่างคึกคัก โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ยังพูดคุยทักทายกับชาวบ้านด้วยภาษาอีสานอย่างเป็นกันเอง สร้างความประทับใจแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก

ภายหลังพิธี แม่ทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงาน พร้อมตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับกระแสข่าวว่ามีหมอผีจากฝั่งกัมพูชาร่ายมนต์ใส่

ตน โดยกล่าวว่า “ผมไม่กลัวหรอกครับ ไม่มีคุณไสยหรือมนต์ดำใดจะทำลายคุณงามความดีที่เรายึดถือได้ ความดีของเราต่างหากที่คุ้มครองเรา”

พลโทบุญสินพาดกลาง #แม่ทัพภาคที่2 #กองทัพภาคที่2 #วัดศรีบุญเรือง #มุกดาหาร #แม่ทัพภาคอีสาน #ข่าววันนี้

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / นายกฯ เปิดประชุมนานาชาติหน่วยยามชายฝั่งอาเซียน 2025 เน้นย้ำความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย มั่นคง และมั่งคั่ง ทางทะเลในอาเซียน

วันที่ 25 มิ.ย.68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีและกล่าวเปิดการประชุมนานาชาติหน่วยยามชายฝั่งอาเซียน (ASEAN Coast Guard Forum 2025: ACF 2025) ซึ่งศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ที่โรงแรมฮิลตัน พัทยา จังหวัดชลบุรี

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศผู้สังเกตการณ์ และพันธมิตรสำคัญที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้สู่เมืองพัทยา และแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในพิธีเปิดเวทีความร่วมมืออันสำคัญของภูมิภาค ซึ่งเป็นเวทีที่หน่วยรักษาความปลอดภัยชายฝั่ง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศสมาชิกอาเซียน ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนมุมมอง และเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อยกระดับความมั่นคงทางทะเลร่วมกัน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสำคัญของความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาค เนื่องจากท้องทะเลไม่เพียงเป็นเส้นทางการค้าสำคัญและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ประเทศสมาชิกต้องร่วมกันปกป้องจากภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น อาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบ การค้ายาเสพติด การประมงผิดกฎหมาย และการค้ามนุษย์

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมผู้ร่วมจัดงานที่ทุ่มเทดำเนินการประชุมจนสำเร็จ โดยเฉพาะการเปิดเวทีให้หน่วยงานทางทะเลจากประเทศอาเซียน ผู้สังเกตการณ์ และพันธมิตรสำคัญ อาทิ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความร่วมมืออย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังรู้สึกยินดีที่ผู้เข้าร่วมจะได้ร่วมกิจกรรมหลากหลาย ซึ่งออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างกรอบความร่วมมือและปฏิบัติการระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ตลอดจนมีส่วนช่วยสนับสนุนเป้าหมายระยะยาว ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีกล่าวปิดท้ายด้วยการอวยพรให้การประชุมครั้งนี้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน ภายใต้แนวคิดหลักของปีนี้คือ “ส่งเสริมความปลอดภัย มั่นคง มั่งคั่ง ทางทะเลในอาเซียน” (Fostering Maritime Safety, Security, and Prosperity in ASEAN) ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดการประชุม นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการการฝึก และรับฟังการบรรยายสถานการณ์การฝึกของศูนย์ปฏิบัติการ ศรชล. พร้อมรับชมการฝึกซ้อมการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล (Search And Rescue: SAR)

อนึ่ง การประชุม ASEAN Coast Guard Forum เป็นการประชุมหน่วยยามฝั่งในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศในอาเซียน มีผู้แทนหน่วยรักษาความปลอดภัยชายฝั่งและหน่วยบังคับใช้กฎหมายทางทะเลจากประเทศสมาชิกและประเทศสังเกตการณ์อาเซียนเข้าร่วม รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนการจัดการประชุมฯ รวมผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ทั้งหมดประมาณ 50 คนโดยในปีนี้ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACF 2025 ตามมติที่ประชุม ACF 2023 ซึ่งอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2566 โดยฟิลิปปินส์ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACF 2024 เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดตัวห้างหุ้นส่วนจำกัด พหุธน บุรีรัมย์ เอเจนซี่ (BRF) ศูนย์รวมพลังนักธุรกิจเครือข่ายสายเลือดใหม่

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด จุดไฟแห่งความสำเร็จลุกโชนขึ้นอีกครั้งกลางเมืองบุรีรัมย์ เปิดตัวห้างหุ้นส่วนจำกัด พหุธน บุรีรัมย์ เอเจนซี่ (BRF) ศูนย์รวมพลังนักธุรกิจเครือข่ายสายเลือดใหม่ ภายใต้การนำของสองผู้นำรุ่นใหม่มากความสามารถ RCM ภุชงค์ สุดสวาท และ SE สาวิตรี สะอาดล้วน ที่ร่วมกันผลักดัน BRF ให้กลายเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเครือข่ายธุรกิจ  ซูเลียนแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

บรรยากาศภายในงาน Grand Opening สุดยิ่งใหญ่ ซึ่งจัดขึ้น ณ ใจกลางอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยได้รับเกียรติสูงสุดจาก ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง พันธมิตรทางธุรกิจ สมาชิก และแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่เวทีแห่งแรงบันดาลใจ ที่ได้ 3 สุดยอดวิทยากรระดับแนวหน้า RCD ปราโมทย์ คงชัยRCD วิมุกดา ภูทับทิม และ RCD ไพบูลย์ เมืองอุดม มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และกลยุทธ์เด็ดที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิตและธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมปลุกพลังในตัวผู้ร่วมงานให้กล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด และเดินหน้าสู่ความฝันด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยพลังบวก

งานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปิดบ้าน BRF เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “วิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของซูเลียน” ที่มุ่งมั่นสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สร้างรายได้อย่างมั่นคง และมอบโอกาสให้กับผู้คนในภูมิภาคนี้ได้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า “ภาคอีสาน” พร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจซูเลียนในระดับประเทศ

ก่อนจบงานยังมีเซอร์ไพรส์สุดพิเศษกับกิจกรรม “จับแจกรางวัลอั่งเปาเงินสด” ที่สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความสุข และพลังใจให้กับสมาชิกทุกคนได้กลับบ้านไปพร้อมแรงบันดาลใจเต็มพิกัด!

BRF ไม่ใช่แค่ศูนย์ธุรกิจ แต่คือศูนย์กลางความฝันที่จับต้องได้ และก้าวต่อไปของความสำเร็จที่เริ่มต้นจากใจกลางบุรีรัมย์!

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สภ.ห้วยยาง โครงการตำบลยั่งยืนเพื่อแก้ใขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ปีงบประมาณ 2568

วันที่ 25 มิ.ย. 2568 ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.นครินทร์
สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.ภาคภูมิ โห้ใย รอง ผบก.ภ.จว.ประจวบ ฯ พ.ต.อ.วีระพัฒน์ เกตุษา ผกก.สก. ห้วยยาง อำเภอห้บสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

มอบหมายให้ พ.ต.ท.สหธัญ กำบิลดีลิราช รอง ผกก.ป สภ.ห้วยยาง ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษฎา เหนี่ยวพึ่ง สวป.สภ.ห้วยยาง ตำรวจชดปฏิบัติการตำบลยั่งยืนฯ

นายกิตติรัตน์ ส้มแป้น ปลัดฝ่ายทะเบียนอำเภอทับสะแก นายบุญช่วย โพธิ์ทอง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 บ้านไรใน นายทิวา สุขอวบอ่อง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 บ้านแสงทอง

ต่าบลแสงอรุณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุข ( อสม.)คณะกรรมการคุ้ม และ น.ส.ธาราพันธ์ มีแก้ว พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

ได้ร่วมดำเนินการกิจกรรมบำบัดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน จำนวนผู้กล้า/ผู้บำบัด ในโครงการจำนวน 34 คน รายละเอียด ดังนี้ 1.การตรวจปัสสาวะหาสาเสพติด ในผู้กล้า/ผู้บำบัด

2.ร่วมกิจกรรมอาสาพัฒนาและนิทรรศการบำบัด โดยร่วมปลูกป่าด้วยการยิงเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ความเข้าใจ รักหวงแหน และปกปักรักษา ในทร้พยากรธรรมซาติ อันมีค่าของชาติ และมีความสมัครสมานสามัคคี ในทีมในหมู่คณะ

3.อบรมให้ความรู้/ตักเตือน/เน้นย้ำ ให้ประพฤติตนในการ ลด/ละ/เล็ก ยาเสพติด เมื่อได้เข้าสู่โครงการนี้แล้วให้ได้มีผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด และ ปลุกเร้า/ฝึก

จิตใจ ให้จิตใจมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ในการต่อสู้กับยาเสพติด ด้วยตัวของตนเองอย่างเข้มแข็งต่อไป ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง ตำบลห้วยยาง อำเภอทับสะแก

//////////////////
ข่าว ณัฐธภพ พันสาย
จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

อำเภอทับสะแก เปิด “ยุทธการเมืองสามอ่าวล้างบางยาเสพติด”อำเภอทับสะแกจับผู้ต้องหา 5 ราย ดำเนินคดี 1 ราย อีก 4 ราย สู่กระบวนการบำบัด

วันที่ 25 มิ.ย.68 ตามแนวทางขับเคลื่อนกรมการปกครอง ประจำปี 2568 ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ภายใต้ “ยุทธการเมืองสามอ่าวล้างบางยาเสพติด”อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้การอำนวยการของ นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ /ผอ.ศอ.ปส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ สั่งการให้นายสิทธิพร คงหอม นายอำเภอทับสะแก ผอ.ศป.ปส.อ.ทับสะแก

มอบหมายให้ นายทนงศักดิ์ รุ่งรัศมี ปลัดอาวุโสอำเภอทับสะแก นายฉัตรชัย ค้างาม ปลัดฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วยสมาชิก อส.อ.ทับสะแกที่ 6 ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ ม.5 ต.ทับสะแก จากการตรวจสอบได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจำนวน 5 ราย และมีการสมัครใจยินยอมเข้าสู่กระบวนการบำบัด รพ.ทับสะแก จำนวน 4 ราย และดำเนินคดี จำนวน 1 รายซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกจับกุม ดังนี้

  1. จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) โดยการจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย 2. เป็นผู้ขับขี่รถยนต์เสพยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย 3. เสพยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 6 เม็ด โดยได้บันทึกการจับกุมส่งพนักงานสอบสวนสภ.ทับสะแก เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    //////////////////////////
    ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคนที่มุกดาหาร หลังลื่นล้มมีแผลถลอก ก่อนมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่จังหวัดมุกดาหารได้ตรวจพบผู้ป่วยชายรายหนึ่งที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงบริเวณแขนขวา ที่โรงพยาบาลในอำเภอเมืองมุกดาหาร โดยแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นการติดเชื้อ “เนโครไทซิง ฟาซิไอไทติส” (Necrotizing Fasciitis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แบคทีเรียกินเนื้อคน”

จากการสอบถามประวัติพบว่า ผู้ป่วยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองมุกดาหาร ก่อนหน้านี้ได้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม ทำให้มีบาดแผลถลอกเล็กน้อยที่บริเวณแขนและข้อศอกขวา หลังจากนั้นไม่นานเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ มีอาการหายใจติดขัดจึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

ต่อมา ทีมแพทย์ได้ตรวจสอบบาดแผลบริเวณแขนขวาอย่างละเอียด และพบว่ามีอาการอักเสบรุนแรง ลักษณะเนื้อเยื่อเริ่มเน่าเปื่อย และตั้งข้อสงสัยว่าอาจติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อคน

ขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์โรงพยาบาลในอำเภอเมืองมุกดาหาร โดยได้รับการรักษาและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโรคแบคทีเรียกินเนื้อคน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะเชื้อแบคทีเรียจะทำลายเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป

นพ.พงศ์พิพัฒน์​ คุณะชัย​ ประจำ​ร.​พ.มุกดาหาร​ กล่าวว่าเคสนี้เป็นคนไข้ผมเองครับ​ แผลติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อ ชื่อ Streptococcus pyogenase ที่แขน ลุกลามอย่างรวดเร็ว มีภาวะชอค
ระบบการทำงานของอวัยวะล้มเหลว ต้องให้ยากระตุ้นความดันเลือด และใส่ท่อช่วยหายใจ

หลังผ่าตัดเนื้อตายและให้ยาปฏิชีวนะ อาการก็ดีขี้นตามลำดับ .. วันนี้ ผู้ป่วยได้กลับบ้านแล้วครับ ช่วงฤดูทำนาพบได้บ่อย ต้องระวังด้วยครับ​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / มูลนิธิกาญจนบารมี จัดโครงการคัดกรองมะเร็งนรีเวชในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส เฉลิมพระเกียรติฯ

มูลนิธิกาญจนบารมี จัดหน่วยคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ และโครงการคัดกรองมะเร็งนรีเวชในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส เฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อค้นหาผู้ป่วย ให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม และมะเร็งรีเวช

***เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 68 ที่สนามหน้าองค์การบริหารส่วนตำบลคำเนียม ตำบลคำเนียม อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ นายทวีศักดิ์ ทรงอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานเปิดโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหา

มงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 67 ซึ่งโครงการดังกล่าว มูลนิธิกาญจนบารมี ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลคำเนียม จัดขึ้นเพื่อค้นหาคัดกรองผู้ป่วย ให้ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเล็งเต้านม และมะเล็งนรีเวช สร้างความตระหนักการคัดกรองตรวจเต้านมด้วยตนเอง และให้ประชาชนที่มี อายุ 40 ปี ขึ้นไป ได้รับการตรวจเต้านมจากบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้สามารถพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยมี นายนพนันท์ บุญคล้าย นายอำเภอกันทรารมย์ พร้อม หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

;

***นายวิจิตร บัวจูม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคำเนียม เปิดเผยว่า มะเร็งเต้านม และมะเร็งนรีเวช เป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง มักเกิดกับผู้หญิงทีมอายุ 40 ปี ขึ้นไป หรือ ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม แต่ทั้งนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การดีมสุรา การรับประทานอาหารไขมันสูง

และขาดการออกกําลังกาย ก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งโรคมะเร็งเต้านมสามารถป้องกันได้ ด้วยการออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที ประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป ไม่บริโภคอาหารไขมันสูง นอกจากนีผู้หญิงทุกคนควรที่จะฝึกคล้าเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ

***โดยองค์การบริหารส่วนตําบลคําเนียม เล็งเห็นความสําคัญของการคัดกรอง การตรวจเต้านมด้วยตนเอง จึงได้จัดกิจกรรมคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ ในสตรีกลุ่มเสียงและด้อยโอกาส เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งโครงการจัดขึ้น ระหว่าง วันที่ 25-26 มิถุนายน 2568 โดยมีประชาชนน เพศหญิงเข้ารับบริการ จำนวน 670 คน
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “อำเภอปากคาดคัพ” ฟุตบอลมวลชนกระชับมิตร พร้อมชิงชัย28-29มิถุนายนนี้

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดโครงการแข่งขันฟุตบอลมวลชนกระชับความสัมพันธ์ในท้องถิ่น “อําเภอปากคาดคัพ” เปิดสนามสนามแรก ร่วมฉลองงาน fruit festival

ด้วยรายการแข่งขันฟุตบอล ” อําเภอปากคาดคัพ” โดยมีนายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอปากคาด เป็นประธานการประชุมผู้จัดการทีมฟุตบอล ที่ส่งทีมเข้าร่วม

การแข่งขันฟุตบอล ” อําเภอปากคาดคัพ ” พร้อมเป็นสักขีพยาน การจับฉลากแบ่งสายการแข่งขัน ซึ่งจะจัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2568 ซึ่งเพื่อ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา เพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจชุมชน

นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ จึงขับเคลื่อนนโยบายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ โดยการบูรณาการกิจกรรมโครงการให้สอดคล้องสอดรับ กับ ชุมชนท้องถิ่น โดยได้รับความร่วมมือสนับสนุนการประสานงานการจัดกิจกรรมการแข่งขันฟุตบอล “อําเภอปากคาดคัพ”

เป็นอย่างดี จากนายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอปากคาด และคาดว่าพี่น้องประชาชนที่อําเภอปากคาด และใกล้เคียง ที่มาเที่ยวงาน เทศกาล ปากคาด “fruit festival” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายน 2568 ก็สามารถร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล “อําเภอปากคาดคัพ” ได้สนุกสนานเช่นกัน

สำหรับทีมฟุตบอลที่เข้าร่วมการแข่งมี 2 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นประชาชน จำนวน 8 ทีม ทีมปากคาดพิทยาคม ทีมปกครองอำเภอปากคาด ทีมมาดามเบญxสุดหล่อซอย10 ทีมพลังใบ ทีมบ้านไข่ ทีมหนองยองxดามสโต ทีมตับแต่ง และทีมหนองยองพิทยาคมฯ รุ่นVIP ทีมVIPรัตนวาปี ทีมVIPปากยิ้มยูไนเต็ด ทีมVIPโซ่พิสัย และทีมVIPปากคาด

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล/บึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ด.ช.วัย 15 ถูกเตะสลบคาโรงเรียน ครอบครัวจี้เรียกร้องความเป็นธรรม ยันไม่เคยขอโทษ /สามี ยิงภรรยาเข้ากกหู ทะลุ ท้ายทอย 1 นัด ดื่มเหล้า เสพยา ถกเถียงกัน เกิดหึงหวง

จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “เฉลิมชาติ โคตรธิสาร” ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ภายในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี โดยในคลิปจะเห็นนักเรียนชายที่สวมเสื้อแขนสั้นสีแดง เตะเข้าที่ใบหน้าของนักเรียนชายอีกคนที่สวมชุดนักเรียน จนสลบคาที่ ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะช่วยดึงร่างของเด็กที่ถูกทำร้ายขึ้นมา พร้อมโพสต์ข้อความว่า
“หลานชายถูกเตะหลับคากลางอากาศ ช่วยหน่อยนะครับ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ช่วยแนะนำด้วยครับ เด็กอายุ 13 ปี คู่อริเป็นลูกทหาร เหตุเกิดที่ จ.อุบลฯ”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บ้านหนองหว้า ตำบลหนองหว้า อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อพูดคุยกับครอบครัวของเด็กชาย ก (เด็กชายวายุ โสดากุล อายุ 15 ปี) เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว โดยเด็กชายวายุได้โชว์บาดแผลตามร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหลัง ข้อศอก และริมฝีปากที่ยังคงแดงอยู่ ซึ่งสามารถเห็นบาดแผลได้ชัดเจน แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 1 เดือนแล้วด.ช.วายุ เปิดเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 โดยเริ่มจากการที่รุ่นน้องมาตบหัวตน ตนจึงตบหัวกลับในวันนั้น วันถัดมารุ่นน้องได้เรียกตนไปพูดคุยที่บริเวณหลังพระใหญ่ ตนจึงไปคนเดียว โดยเข้าใจว่าอาจจะไปเล่นตะกร้อ เพราะรุ่นน้องได้พาเพื่อนในห้องอีก 2 คนมาด้วย ไม่คิดว่าจะถูกทำร้าย หลังจากนั้นจึงถูกทำร้ายร่างกายจนรู้สึกเหมือนหมดสติ จำเหตุการณ์ไม่ได้ และมารู้สึกตัวอีกครั้งประมาณ 2 ทุ่ม พบว่าตนเองปากแตก เจ็บท้ายทอย มีรอยช้ำบริเวณท้ายทอย ศอกทั้งสองข้าง และแผ่นหลัง


หลังเกิดเหตุ ตนและฝ่ายคู่กรณียังไม่ได้มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด แต่เห็นว่าคู่กรณีโพสต์โน้ตในอินสตาแกรมว่า“เงินก็ให้ไปแล้ว ยังเอาคลิปไปลงอีก”ซึ่งตนไม่ทราบว่าอีกฝ่ายพูดถึงเงินจำนวนใด เพราะไม่ได้รับเงินเยียวยาแต่อย่างใด ทั้งที่พ่อของอีกฝ่ายได้พูดคุยทางโทรศัพท์ว่าจะโอนเงินค่าเยียวยาจำนวน 10,000 บาท ให้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการนัดเจรจาใด ๆด.ช.วายุ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังเกิดเหตุฝ่ายคู่กรณีก็ไม่ได้มาขอโทษ และตนยังคงรู้สึกโกรธกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยหลังจากเหตุการณ์ตนได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ และโรงพยาบาลเบญจลักษ์ ซึ่งแพทย์ระบุว่ามีอาการฟกช้ำตามร่างกายและเจ็บบริเวณท้ายทอย

ด้านนายสุรพล โสดากุล อายุ 44 ปี บิดาของ ด.ช.วายุ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ติดต่อผู้ปกครองของคู่กรณีก่อนเพื่อพูดคุย แต่ในตอนแรกอีกฝ่ายไม่ยอมเข้ามาไกล่เกลี่ย อ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดน จึงขอรอหมายเรียกหรือหมายศาลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต่อมาผู้ปกครองของคู่กรณีได้ติดต่อกลับมาว่า หากกลับมาจากชายแดนเมื่อใด จะขอเปิดใจพูดคุยอีกครั้งนายสุรพลกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่ได้รับการขอโทษใด ๆ จากทั้งฝ่ายนักเรียนคู่กรณีหรือผู้ปกครอง และทางโรงเรียนก็เพียงแจ้งว่าจะดำเนินการกับผู้ที่ปล่อยคลิปวิดีโอเท่านั้น ไม่มีการติดต่อหรือดูแลเยียวยานักเรียนผู้เสียหายแต่อย่างใด โดยหลังจากเหตุการณ์ ด.ช.วายุ ยังไม่ได้กลับไปเรียน และตนมีแผนจะย้ายบุตรมาเรียนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ แทน เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยของลูกชาย

ทั้งนี้ ครอบครัวของ ด.ช.วายุ ได้แจ้งความไว้ที่ สถานีตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันถัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนพุทธเมตตาวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยทางคู่กรณีได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้/////

ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สามี 32 ปี อยู่อาศัยกับภรรยา วัย 19 ปี ขณะนั่งดื่มเหล้าขาว เสพยา ถกเถียงกัน เกิดหึงหวง เปิดกล่องปืนสั้น 9 มม.ยิงเข้ากกหู ทะลุ ท้ายทอย 1 นัด ก่อนโทรบอกน้าสาว ให้มาช่วยเมีย ร้องไห้กอดร่างอยู่ ตร.รุดสอบหาปืน

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 เวลา 11.45 น. เจ้าหน้าที่ สภ.เบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันที่บ้านเสียว หมู่ 12 ตำบลเสียว อำเภอเบญจลักษ์ จึงรุดออกไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ 134 บ้านเสียว ในที่เกิดเหตุในบ้านปูน ห้องโล่ง ประตูกระจกแบบเปิดออกสองข้าง ภาพที่ปรากฎด้านในห้อง พบร่องรอยการต่อสู้ พบคราบรอยเลือดกระจายอยู่เต็มพื้นปูน พบกล่องปืน 1 กล่อง พบลูกกระสุนปืน 9 มม.จำนวนหนึ่ง ราว 11 นัด ที่ห่อไว้ในถุงพลาสติก พบขวดเหล้าขาว 1 ขวด พบซองห่อยาบ้า ที่ยังมียาบ้าอยู่ 2 เม็ด และปล่อยว่าง 1 ช่อง สอบเบื้องต้น มีผู้ที่ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส กำลังส่ง รพ.เบ็ญจลักษ์ ทราบชื่อ นางสาว ภัคนันท์ ปัทราช หรือ อุ้ม อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลท่าคล้อ อำเภอเบ็ญจลักษ์ ได้มาอาศัยอยู่กับสามี ราว 3 เดือนเศษ

ที่บ้านเลขที่ 134 บ้านเสียว หมู่ที่ 12 ตำบลท่าคล้อ ในฐานะสามีภรรยากัน กับ นายคมสัน ทองสุ หรือ บรีส อายุ 32 ปี มาอยู่ด้วยกัน 3 เดือนเศษ ขณะที่อุ้ม มีลูกติด 1 คน อายุ 4 ขวบเศษ โดยเบื้องต้น นายบรีส เป็นผู้ก่อเหตุยิงภรรยาตนเอง 1 นัด กระสุนเข้าที่ท้ายทอย ทะลุโหนกแก้ม อาการสาหัส 50/50 ถูกส่งต่อเข้า รพ.เบ็ญจลักษ์ และส่งต่อไปที่ รพ.ศรีสะเกษ โดยมีพ่อแม่ตามไปดูแลด้วย อาการหนัก 50/50 ยังไม่ได้สติ ขณะที่ในที่เกิดเหตุยังไม่พบอาวุธปืน โดยเจ้าหน้าที่ได้พยายามหารอบบ้านแล้ว ปรากฏว่ายังไม่พบ ซึ่งหลังนายบรีส ได้สติ จะได้สอบถามอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ควบคุมตัว นายบรีส ไว้ที่เตียงไม้ไผ่หน้าบ้าน และพยายามสอบถามหาสาเหตุ โดยนายบรีส ยังอยู่ในอาการที่มึนเมา แต่ไม่ทราบว่าเมายาบ้า หรือ เมาเหล้าขาว ได้เล่าแบบเมาๆ ว่า ตนรับว่าตนเป็นคนยิงมีย แต่ตนรักเมียตนมาก ที่ยิงตนไม่รู้สึกตัว เพราะตนเมา ตนไม่เคยทำร้ายเมีย และรับว่า เมื่อวานเย็นเสพยา ไป 1 เม็ด แต่ก่อนเกิดเหตุนั่งดื่มเหล้า คุยกันอยู่กับเมีย จากนั้นตนก็ไม่รู้เลยว่า ยิงเมียตนตอนไหน

นาง พัชนี ผิวนวล อายุ 31 ปี ( เสื้อสีเนื้อ ) น้าของอุ้ม เล่าว่า น้องสาวตน ได้มาอยู่อาศัยกับนายบรีส 3 – 4 เดือนแล้ว ในฐานะสามีภรรยา แต่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียนกัน โดยน้องสาวตนมีลูกติด 1 คน อยู่ระดับอนุบาล 2 แต่ให้อาศัยอยู่กับตายายเลี้ยง อยู่บ้านเก่า ที่บ้านหนองยาง หมู่ที่ 7 ตำบลท่าคล้อ อำเภอเบ็ญจลักษ์ ที่รู้เพราะนายบรีส โทรบอกว่า ให้มาช่วยภรรยาตนด้วย เพราะภรรยาเขาถูกยิง แค่นั้นก็วางวาย ตนก็ให้สามีตนขับรถมาจากบ้านเหล่ายอด มาดู ก็พบเห็น นายบรีส กำลังล้างเลือดออกจากแขน จากตัว เพราะเขากอดเมียเขา หลังเขายิงเมีย ก่อนเจ้าหน้าที่ รพ.เบ็ญจลักษ์ จะมาถึง และนำตัวภรรยาส่ง รพ.

ขณะที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จาก ภูธรจังหวัดศรีสะเกษ เข้าตรวจสอบเขม่าดินปืนในมือ ในร่างกายของนายบรีส และเก็บหลักฐานในที่เกิด ซึ่ง พันตำรวจเอก เกื้อประยูร หลักบุญ สารวัตรสอยสวนเวร สภ.เบ็ญจลักษ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ตั้งข้อหากับนายบรีส คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พกพาอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน มาในที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีใบอนุญาต รอการสอบสวนอีกครั้ง
////////////////////////////
ภาพ/ข’าววนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประธานหอการค้าศรีสะเกษ เปิดเผยถึงผลกระทบหลังจากปิดด่านชายแดนช่องสะงำจ. ศรีสะเกษ

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความตรึงเครียดระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ร่วมถึงสถานการณ์การที่ประกาศล่าสุดให้มีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งหมด ร่วมถึง ด่านถาวรช่องสะงำ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ภาพรวมตั้งแต่ก่อนปิดด่าน และหลังปิดด่าน ตอนนี้สถานการณ์ไม่ต่างกัน เบื้องต้นเราได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการที่ในพื้นที่ด้านชายแดน อัพเดทสถานการณ์ปัญหาในทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าการค้าด้านชายแดนซบเซา เงียบเงา ก่อนหน้าทางผู้ประกอบมีการปรับตัวมาแล้วรอบหนึ่ง ช่วงปรับเวลา ปรับวันเปิด-ปิด ด่าน แต่มีประกาศปิดด่านล่าสุดรอบนี้ก็ไม่ผิดกับการที่คาดไว้ เพราะผู้ประกอบการเตรียมการ เตรียมการรับมือ ไว้แล้วว่าอาจจะมีการปิดด่านลง แต่ทางภาคธุรกิจทางเราก็อยากให้มีการชัดเจนในเรื่องต่างๆ เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้มีการวางแผนอนาคตในการรับมือได้ทัน

***ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวต่อไปอีกว่า เบื้องต้นด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ เป็นด่านที่ไม่ได้มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เท่ากับด่านปอยเปต หรือ ด่านทางสะแก้ว ซึ่งด่านช่องสะงำของเราส่วนมากจะเป็นด่านที่ค้าขายเครื่องอุปโภค บริโภคให้กับทางกัมพูชาอาทิเช่นเครื่องดื่มมาม่าของแห้งต่างๆ ส่วนทางฝั่งกัมพูชาก็จะเป็นการส่งออกสินค้าทางการเกษตรกรมายังประเทศไทย เช่น มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าทุกวันนี้ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งสินค้าไปขายที่ฝั่งกัมพูชาได้ ก็ต้องปรับตัวหันมาขายสินค้าภายในประเทศแทนมากขึ้น แต่ส่วนตัวเชื่อว่าการปิดด่านในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไทยที่ได้รับผลกระทบ แต่เป็นประเทศกัมพูชาที่ได้ผลกระทบเช่นกัน และมากกว่าประเทศไทยแน่นอน โดยเฉพาะการส่งออก (มันสำปะหลัง) จากประเทศกัมพูชามายังประเทศไทย ซึ่งถ้าปิดด่านถาวรก็จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับการส่งออกมันสำปะหลังจะทำให้มันสำปะหลังตกค้างในประเทศกัมพูชาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าหากจะส่งไปขายยังประเทศอื่นก็คงยากเพราะไม่ได้วางแผนหรือติดต่อการค้าไว้ก่อน

***ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนมูลค่าเศรษฐกิจการค้าชายแดน การซื้อขาย ภาพรวมตอนนี้ถ้ามีการปิดด่าน ปิดการค้าเลย ตลอด 1 เดือน เราจะเสียเงินประมาณ 100 ล้านบาท ไป แต่ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่เราไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับ อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นปัญหาทาการเมือง ทำให้ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนไปด้วย ซึ่งทางผู้ประกอบการทุกคนอยู่ข้างรัฐบาล อยู่ข้างทหาร กันหมด ซึ่งทุกคนต่างมุ่งหวังว่าประเทศไทยจะได้รับความเป็นธรรม และมาตรการต่างที่ทำออกมาทางผู้ประกอบการเราเข้าใจ

***ในส่วนปัญหาด้านการท่องเที่ยว และยอดการจองโรงแรม ในช่วงนี้ จากที่ได้คุยกับผู้ประกอบการโรงแรมในจังหวัดศรีสะเกษ ช่วงนี้ได้รับผลกระทบด้านจิตวิทยาเพียงเท่านั้น เพราะว่ายังมีนักท่องเที่ยวบ้างรายคิดว่าพื้นที่ชายแดนมันเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้น แต่จากการได้พูดคุยกับผู้ประกอบการโรงแรมส่วนหนึ่งก็ได้ยินมาว่ามีการยกเลิกการจองห้องพักบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไร เพียงแต่ว่าพอมันเกิดบรรยากาศการตึงเครียดในพื้นที่ บรรยากาศการท่องเที่ยว บรรยากาศการอยากจับจ่ายซื้อใช้ส่อยของคนในประเทศมันเลยลดลงด้วย

***ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ฝากถึงรัฐบาลไทย และกองทัพว่า อยากให้รัฐบาลมีเอกภาพกับทางกองทัพ และให้รัฐบาล และกองทัพ ออกมาตรการออกมาให้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน ถ้าจะเข้มงวดก็ให้เข้มงวดไปเลย ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราทะเลาะกันเอง ทำให้ภาพที่ออกไปทำให้ประเทศไทยเราเสียเปรียบ นอกจากนี้ยังอยากจะฝากถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการจากทางรัฐบาลด้วย ถึงผลกระทบจากปัญหาชายแดน ว่าจะมีโครงการไหนบ้างที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น หาตลาดใหม่ให้กับผู้ประกอบการที่ส่งออกไม่ได้ หรือ โครงการสินเชื่อต่างๆเพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงิน ในช่วงที่ผู้ประกอบการขาดกระแสเงินสดในช่วงนี้ด้วย
ภาพ/ข’า ววนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พัทยาปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เพิ่มความสมดุลทางธรรมชาติชายหาดจอมเทียน ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

วันที่ 24 มิ.ย.68 นายกฤษณะ บุญสวัสดิ์ รองนายกเมืองพัทยา เป็นประธานในกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ร่วมกับกรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งระยอง และกลุ่มประมงพื้นบ้านหาดจอมเทียน โดยมี นายปรีชา ค้าขาย ที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา ดร.พิทยา ภิรมย์อ้น ผู้ช่วยเลขานุการ

นายกเมืองพัทยา นายไพรวัลย์ อารมณ์ชื่น รองประธานสภาเมืองพัทยา พร้อมสมาชิกสภาเมืองพัทยา และผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งระยอง ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านหาดจอมเทียน ประธานชุมชนชัยพฤกษ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักท่องเที่ยว เข้าร่วมกิจกรรม ที่บริเวณกลุ่มประมงพื้นบ้านหาดจอมเทียน เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

นายกฤษณะ บุญสวัสดิ์ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า เป็นความร่วมมือระหว่างเมืองพัทยา กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งระยอง และกลุ่มประมงพื้นบ้านหาดจอมเทียน จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์อนุบาลสัตว์น้ำ ประกอบด้วยกุ้งแชบ๊วย จำนวน 100,000 ตัว และหอย

หวาน จำนวน 1,000 ตัว เพื่อเป็นการอนุรักษ์และเพิ่มพันธุ์สัตว์น้ำ โดยเฉพาะหอยหวานนั้นเพาะพันธุ์ได้ยากกว่าสัตว์น้ำอื่นๆ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่ต้องควบคุม เช่น คุณภาพน้ำทะเล ความสะอาดของน้ำ ซึ่งคุณภาพน้ำทะเลที่มีความเค็มไม่คงที่ และการเกิดปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบูมอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและอัตราการรอดของหอย 

ซึ่งในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่จะร่วมกันนั่งเรือเล็กของกลุ่มประมงพื้นบ้านหาดจอมเทียนนำไปปล่อยที่แนวปะการังกลางทะเล ทั้งนี้เมืองพัทยานอกจากจะมีการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีเรื่องของอาหารซีฟู้ดด้วย ดังนั้นเรื่องของการอนุบาลสัตว์น้ำก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนัก เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำให้มีปริมาณมากขึ้น และรักษาความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนต่อไป

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง