สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เทศบาลตำบลสามง่าม ประชุมสภาสามัญ สมัยที่ 2 พร้อมแถลงนโยบาย

การประชุมแถลงนโยบาย ของนายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม ต่อสภาเทศบาลตำบลสามง่าม (การประชุมสภาสมัยสามัญ สมัยที่ 2 ประจำปีพ.ศ. 2568 )

สภาเทศบาลตำบลสามง่าม จัดการประชุมสภาเทศบาล สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ประจำปีพ.ศ.2568 ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลสามง่าม ชั้น 3

โดยมี นายจิราวัฒน์ ปึงสุขสมบูรณ์ ประธานสภาเทศบาล สมาชิกสภาเทศบาล พร้อมด้วย นายสมรัก มีใจดี นายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม คณะผู้บริหาร ผศ.ดร.

อภิชา พรเจริญกิจกุล รองนายกเทศมนตรี นายสกุล บุญขจาย ที่ปรึกษานายกฯ และหัวหน้าส่วนราชการ เข้าร่วมประชุม

โดยพร้อมเพียงกัน เพื่อพิจารณาและขออนุมัติในญัตติ การแถลงนโยบายของนายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม

โดยในที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาลงมติตามญัตติที่เสนอในวาระต่างๆ โดยยึด

หลักเพื่อให้เกิดประดยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในท้องถิ่นเป็นสำคัญ
สมคิด พรมมี ผู้สื่อข่าว นครปฐม

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปค.เมืองมุกดาหาร ตรวจเข้มสถานบันเทิง ตามมาตรการจัดระเบียบสังคม – ยาเสพติด! /นรข.มุกดาหาร โชว์ผลงานจับเรือขนหมูเถื่อนขณะลักลอบข้ามโขงส่งลาว ยึด 11 ตัว

เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายชายสิทธิ์ สุวรรณโชติ นายอำเภอเมืองมุกดาหาร มอบหมายให้ นางสาวธัญญารัตน์ เหล่าบุตรศรี และนายเจริญ ครองยุติ ปลัดอำเภอ

พร้อมด้วยสมาชิก อส.อ.เมืองมุกดาหาร ที่ 2 บูรณาการร่วมกับ นายจิรวัฒน์ ใจสำราญ ผู้บังคับกองร้อย อส.จังหวัดมุกดาหาร สมาชิก อส.จังหวัดมุกดาหาร ที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร, กอ.รมน.จังหวัดมุกดาหาร และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ออกตรวจตราสถานบริการและพื้นที่เสี่ยงในเขตเมือง

การตรวจครั้งนี้ครอบคลุมสถานประกอบการชื่อดังในพื้นที่ ได้แก่ ตะวันแดงมุกดาหาร, โฟล์คพระนครมุกดาหาร, นิยมเล่า 90s รวมถึงบริเวณถนนมุกสุวรรณรักษ์ (วงแหวนรอบใน) เพื่อป้องกันการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติสถานบริการ และป้องกันปัญหายาเสพติดในสถานบริการตามนโยบายของรัฐบาล

การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการจัดระเบียบสังคมและเสริมสร้างความปลอดภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่องฝ่ายปกครองอำเภอเมืองมุกดาหาร #ตรวจสถานบันเทิง #ต่อต้านยาเสพติด #อสเมืองมุกดาหาร #ตะวันแดงมุกดาหาร #โฟล์คพระนคร #นิยมเล่า90s #มุกดาหาร #ข่าวภูมิภาค #ข่าวด่วนมุกดาหาร​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

นรข.มุกดาหาร โชว์ผลงานจับเรือขนหมูเถื่อนขณะลักลอบข้ามโขงส่งลาว ยึด 11 ตัว

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 นาวาโท รุ่งเรือง มาสุทธิ หัวหน้าสถานีเรือมุกดาหาร ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ร่วมกับฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ ออกลาดตระเวนบริเวณบ้านหว้านน้อย ต.หว้านใหญ่ อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร กระทั่งเวลา 05.30 น.

ตรวจพบเรือเหล็กติดเครื่องยนต์ลำหนึ่ง ล่องมาจากฝั่ง สปป.ลาว เข้าจอดริมตลิ่งแม่น้ำโขง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบพบชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน กำลังลำเลียงกรงเหล็กบรรจุสุกรมีชีวิต 7 กรง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัว กลุ่มชายดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้วิ่งหลบหนีไปเข้าทางแนวป่าริมแม่น้ำโขง

จากการตรวจสอบพบสุกรมีชีวิตรวม 11 ตัว (สุกรดำ 9 ตัว สุกรขาว 2 ตัว) บรรจุในกรงเหล็ก 7 กรง เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางพร้อมกับเรือเหล็กติดเครื่องยนต์ 1 ลำ และประสานงานกับ ด่านศุลกากรมุกดาหาร และ ด่านกักกันสัตว์มุกดาหาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สถานีเรือมุกดาหาร #นรข #ขนสุกรเถื่อน #ลักลอบข้ามโขง #ความมั่นคงชายแดน #ข่าวด่วนมุกดาหาร #หมูเถื่อน #แม่น้ำโขง #ชายแดนไทยลาว

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ประกอบการรถโดยสาร 2 ชั้น แถลงการณ์จุดยืนอารยะขัดขืน หลังขนส่งสั่งห้ามวิ่งรถในจุดเสี่ยง

*วันนี้วันที่ 16 มิถุนายน 68 ทางกลุ่มผู้ประกอบการโดยสาร 2 ชั้น ไทย ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคอีสาน จำนวนรถ 150 กว่าคัน ได้นำรถมารวมตัวกันที่เส้นทางหลางหมายเลข 304 กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี – วังน้ำเขียว จ. นครราชสีมา บริเวณจุดพักรถทางหลวง ในพื้นที่ ม.4 ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ได้รวมตัวแสดงจุดยืนแสดงพลังคัดค้านใน 7 เส้นทางเสี่ยง จัดกิจกรรม “อารยะขัดขืน” ได้มีการแถลงการณ์แสดงจุดยืนอารยะขัดขืนตามที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ได้ออกคำสั่งห้ามเดินรถโดยสารสองชั้น 7 เส้นทางที่ถูกจัดว่าเป็น “เส้นทางเสี่ยง” โดยไม่มีหลักฐานทางวิศวกรรมหรือข้อมูลวิจัยที่มีมาตรฐานใดมารองรับ คำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบการทั่วประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสิทธิในการประกอบอาชีพโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญ

*จากการประชุมวิสามัญเร่งด่วนของสมาคมฯ มีมติร่วมกันว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาของกระทรวงคมนาคมจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ตอบโจทย์ที่แท้จริง และกลับเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในด้านต้นทุนการปรับปรุงรถและเงื่อนไขที่ขาดความชัดเจน สมาคมฯ เห็นว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุในเส้นทางที่ถูกอ้างว่าเสี่ยง มิได้เกิดจากตัวรถโดยสารสองชั้น แต่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ควบคุมรถ การมุ่งเป้าห้ามเฉพาะตัวรถจึงเป็นแนวทางที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงจุด การยกระดับมาตรฐานคนขับและการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ จึงเป็นวิธีที่ถูกต้องและยั่งยืนกว่าการสั่งห้ามทั้งระบบ

*นอกจากนี้จากการลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกันของหน่วยงาน 4 ฝ่าย ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง สภาวิศวกร และสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารสองชั้นไทย (สปส.) ณ จังหวัดตรัง พบว่า เส้นทางที่ถูกรัฐประกาศห้ามเดินรถ ไม่เข้าเกณฑ์ตามที่กระทรวงคมนาคมกำหนดไว้เอง กล่าวคือ ไม่มีช่วงความชันต่อเนื่องที่มากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ และยาวติดต่อกัน 5 กิโลเมตร ข้อเท็จจริงนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายในเชิงกระบวนการ หากแต่ยังไม่เป็นไปตามเกณฑ์ทางเทคนิคที่กระทรวงตั้งขึ้นเอง จึงไม่มีความชอบธรรมทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในการห้ามรถโดยสารสองชั้นเดินรถในเส้นทางดังกล่าว

*และเมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา นายก สมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารสองชั้นไทย (สปส) ดร.สุริยะ แกล้วทนงค์ ได้เข้ายื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ทบทวนคำสั่งใหม่ของคณะกรรมการกรมการขนส่งทางบกกลาง เกี่ยวกับมาตรการกำหนดเส้นทางวิ่งรถโดยสารสองชั้น(ไม่ประจำทาง) ใน 7 เส้นทางเสี่ยง ที่ประกาศออกมาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ้งทางกลุ่มผปก.รถสองชั้นทั่วไทย มองว่าการออกคำสั่งมาไม่เป็นธรรม และ ผปก.ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจำนวนมาก

*ดังนั้นสมาคมฯจึงมีมติให้ดำเนินการ “#อารยะขัดขืน” โดยเปิดเดินรถในเส้นทางที่ถูกรัฐประกาศห้าม พร้อมบรรทุกผู้โดยสารตามปกติ ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อแสดงให้เห็นว่า รถโดยสารสองชั้นสามารถเดินรถได้อย่างปลอดภัย หากมีการควบคุมและกำกับดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ สมาคมฯ จะเริ่มดำเนินการยกระดับการอารยะขัดขืนอย่างเป็นทางการ โดยให้ สมาชิกสามัญทั่วประเทศเริ่มเดินรถในเส้นทางที่ถูกห้ามพร้อมกัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้รับข้อยุติที่เป็นธรรม และมีเหตุผลทางวิชาการรองรับ

มาตรการความปลอดภัยระหว่างการเดินรถผ่านเส้นทางที่ถูกรัฐจำกัดมีดังนี้

  1. จำกัดความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเส้นทางเสี่ยง
  2. ใช้เกียร์ต่ำตลอดทางลาดชัน ห้ามเปลี่ยนเกียร์
  3. ขออนุญาตสมาคมล่วงหน้าก่อนวิ่งเส้นทางเสี่ยง
  4. เอกสารของรถต้องครบถ้วน ได้แก่ ภาษี, พ.ร.บ., ประกันภัย, GPS, ทะเบียนรถ และทะเบียนประกอบการ
  5. อุปกรณ์ความปลอดภัยต้องครบถ้วน ได้แก่ ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจก และเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง
  6. ติดตั้งกล้องหน้ารถ (Dash Cam) เพื่อบันทึกภาพและเสียงตลอดการเดินทาง
  7. แจ้งให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ คาดเข็มขัดนิรภัย และงดเปิดเพลงในช่วงเสี่ยง
  8. หากเกิดเหตุผิดปกติ เช่น อุบัติเหตุหรือถูกรถอื่นเฉี่ยวชน ให้บันทึกวิดีโอและส่งข้อมูลให้ศูนย์สมาคมทันที
  9. เข้าจุดตรวจหรือ Check Point (ถ้ามี) และรูดบัตรพนักงานขับรถก่อนเข้าสู่ช่วงเสี่ยง
  10. รถต้องพร้อมให้ตรวจสอบ และอาจถูกสุ่มตรวจโดยกรรมการสมาคม
  11. หากฝ่าฝืนข้อใดแล้วเกิดอุบัติเหตุ ให้ถือเป็นความผิดส่วนบุคคล สมาคมจะไม่รับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญา

*การดำเนินการของสมาคมในครั้งนี้ไม่ใช่การท้าทาอำนาจรัฐ แต่เป็นการยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกอบอาชีพ และการคัดค้านคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม โดยสงบ สันติ และมีเหตุผล สมาคมฯ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยุติการใช้อำนาจโดยปราศจากข้อมูลทางเทคนิคที่โปร่งใส และเปิดเวทีให้มีการพิจารณาทบทวนคำสั่งดังกล่าวโดยเร่งด่วน โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมในกระบวนการอย่างเท่าเทียม ด้วยจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมและความปลอดภัยของผู้โดยสาร สมาคมฯ จะดำเนินการด้วยความมีสติ และไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรรม

*สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กรมการขนส่งทางบกต้อง มาตรการการป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 03.20 น. เกิดอุบัติเหตุ รถบัสคณะดูงานจากเทศบาลพรเจริญ จ.บึงกาฬ พลิกคว่ำบริเวณถนนสาย 304 ทางลงเขาศาลปู่โทน ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 17ราย และบาดเจ็บกว่า30ราย ต่อมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 68 รถบัสนำเที่ยวปรับอากาศ 2 ชั้น เสียหลักชนท้าย รถบรรทุกพ่วงตู้คอนเทนเนอร์ บริเวณทางลงเขาศาลปู่โทน จนเกิดไฟลุกไหม้ ตรวจสอบพบมีผู้เสียชีวิตจำนวน 6 ราย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก

*ทางคมนาคมได้กำหนด 7 เส้นทางเสี่ยงห้ามรถโดยสาร 2 ชั้น ใช้ ซึ่งเบื้องต้นจะกำหนด 7 จุดเสี่ยง คือ 1. จังหวัดปราจีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 304 สี่แยกกบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว 2. จังหวัดพัทลุง ทางหลวงหมายเลข 4 เขาพับผ้า-พัทลุง 3. จังหวัดแพร่ ทางหลวงหมายเลข 103 แม่ยางฮ่อ – แม่ตีบ 4. จังหวัดเชียงใหม่ ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-ดอยนางแก้ว 5. จังหวัดเลย ทางหลวงหมายเลข 2013 บ่อโพธิ์-โคกงาม 6. จังหวัดเพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 2331 โจ๊ะโหวะ – อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 7. จังหวัดน่าน ทางหลวงหมายเลข 1256 ปัว-อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

*โดยกรมการขนส่งทางบกจะตรวจสอบผ่านระบบจีพีเอส เมื่อพบรถโดยสารไม่ประจำทางฝ่าฝืนเข้าเส้นทางดังกล่าว จะดำเนินการออกหนังสือเรียกตัว แจ้งการกระทำผิด กับผู้ประกอบการและพนักงานขับรถ ซึ่งมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5 หมื่นบาท*ช่วงเวลา 12.00 น.ได้มีการตัดริบบิ้นเปิดพิธี และปล่อยแถวขบวนรถบัสวิ่งขึ้นเขาปักธงชัยพร้อมกัน และได้ขับรถบัสลงมาช่วงบริเวณถนน 304 จุดเขาศาลโทน ซึ่งเป็นจุดที่เกิดโศกนาฏกรรมรถบัส 2 ชั้นเสียหลักลงข้างทางจนมีผู้เสียชีวิต 18 ราย และอุบัติเหตุอื่นๆมาแล้ว เพื่อทดสอบสมรรถภาพการขึ้นลงเขารถบัส

*ทางด้าน ดร.สุริยะ แกล้วทนงค์ นายก สมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารสองขั้น
ไทย (สปส) กล่าวว่า วันนี้เป็นการชุมนุมครั้งที่ 2 ของเราเป็นการยกระดับขึ้นมาอีกขั้น ครั้งที่ 1 เราไปที่ จ. ตรัง วันนี้เรามาชุมนุมที่ จ. ปราจีนบุรี วันนี้เป็นพิธีเปิดอารยะขัดขืน กิจกรรมในวันนี้มาแสดงพลังเสียงว่าพวกเรามีความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หลังจากนี้เราจะโชว์ให้ประชาชนเห็นว่ารถของเราสามารถขึ้นเขาลงเขาในทางชันได้ ที่ผ่านมาเราโดนมองภาพลบทั้งที่รถของเรามีสถิติเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุดของรถ 2 ชั้น ทางเราได้มีการฟ้องศาลปกครองซึ่งทางเรากำลังขอการคุ้มครองชั่วคราวอยู่ อยากฝากไปถึงกระทรวงและกรมเราต้องการเรียกร้องสิ่งที่พวกเราต้องการ ตอนนี้พวกเราลำบากกันมากรถก็ไม่ได้ผ่อน อยากให้มีการพิจารณาใหม่ ทางเรามีความยินดีให้ความร่วมมือในด้านความปลอดภัย เพราะระยะเวลา 15 ปี พวกเราให้ความร่วมมือมาโดยตลอด โปรดเห็นใจพวกเราด้วยเรามาเรียกร้องโดยสันติ

*ทางด้านนายวิทวัส ดุลพินิจพัฒนา อุปนายกสมาคม 1 กล่าว่านิยามคำว่าอารยะขัดขืน คือเราต้องการความเป็นธรรม เนื่องจากกฏเกณท์ต่างๆ ที่ได้ออกมามันส่งผลกระทบทั้งทางด้านการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัททัวร์ รถ 2 ชั้นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักในสิ่งที่ท่านกำลังแก้ปัญหาอยู่ อยากให้ภาครัฐมองเห็นความสัมพันธ์ของประชาชนมันเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง เราจะทำโดยสันติวิธีเพื่อให้เข้ามาเจรจาพูดคุยกับเรา ให้แก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเพื่อลดผลกระทบความเดือดร้อนทั้งระบบไม่ใช่แค่รถบัส 2 ชั้น อย่างเดียว

*จากการสอบถาม ทางด้านนายวิพงษ์ศักดิ์ มงคลบุตร อุปนายกนายกสมาคม 2 ได้กล่าวว่าทางกลุ่มผู้ประกอบการโดยสมาคมได้มีการต่อสู้โดยมีการทำเป็นขั้นเป็นตอน ทำงานเป็นระบบโดยมีการเข้าไปเจรจากับทางกระทรวงและทางกรม เพื่อที่จะขอเปิดเส้นทางการเดินรถทั้ง 7 เส้นทางเสี่ยง โดยได้มีการยื่นขอเสนอมาตรการให้กับทางกรมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรและไม่กระทบกับภาคการท่องเที่ยว และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทั่วประเทศ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปเจรจาและยื่นข้อเสนอให้กับทางกรมกลับไม่เป็นผล แต่ทางกระทรวงและกรมการขนส่งทางบกกลับไม่มีคำตอบให้กับทางผู้ประกอบการได้ ฉนั้นหลังจากวันนี้แนวทางการต่อสู้จะมีการยกระดับการชุมนุมใหญ่ รวมพลผู้ประกอบการทั่วประเทศ ไปชุมนุมที่หน้ากระทรวงคมนาคม และอยากจะฝากถึงเจ้ากระทรวงคมนาคม และอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ท่านยังมีเวลาอีก 1 อาทิตย์ในการที่จะยกเลิกข้อบังคับทั้ง 7 ข้อ ยังไม่ยกเลิกหรือไม่เห็นใจผู้ประกอบการในครั้งนี้ก็คงมีการยกขบวนไปชุมนุมที่หน้ากระทรวง

*จากการสอบถามนายพัชรากร ธนะถิรุยุธ อายุ 66 ปี เจ้าของรถไม้เอกเมืองแกลงทัวร์ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่จะขึ้นภาคอีสานและอีสานใต้ ตนต้องอ้อมไปทางตะโกเขตของตาพระยา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่อันตรายในตอนนี้ ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา จุดที่มีปัญหาในตรงนี้ตนใช้เส้นทางมาตลอดชีวิต ถ้าเราทำด้วยความระมัดระวังทำด้วยจรรยาบรรณของคนขับมันไม่มีอะไรเลย ใช้ความเร็วแค่ 20 30 สบายเบรคไม่ต้องเหยียบลงได้สบายถ้าไม่ประมาท ทุกปีจะต้องขึ้นภาคอีสานนำประชาชนไปทำบุญ ตอนนี้ขึ้นไม่ได้จะต้องอ้อมใช้ระยะทางและความเสี่ยง ช่องตะโกที่เขาบอกว่าปลอดภัยมันอันตรายมาก ทั้งรถใหญ่รถเล็กแย่งกันขึ้นมันมีแค่เลนซ้ายเลนขวา รถบัส 2 ชั้นมีความปลอดภัยถ้าเราไม่ประมาทมันอยู่ที่คนขับ ผู้ประกอบการมีการดูแลรถของตนเองเป็นอย่างดี จากการที่มีประกาศบังคับใช้กฎหมายในตรงนี้ทางผู้ประกอบการมีความอึดอัดมาก บังคับใช้โดยที่ไม่บอกและไม่กล่าวล่วงหน้า ไม่มีการทำประชาวิจารณ์ ไม่ทำความเข้าใจกับประชาชน อยู่ๆเมื่อวันที่ 11 เมษายน ห้าม ทั้งๆที่พวกตนได้รับงานไว้แล้ว ได้รับผลกระทบถูกบอกยกเลิกเป็นส่วนมาก และลูกค้าไม่มีความเชื่อมั่นเขากลัว เราได้ใช้เส้นทางนี้มาก 20 กว่าปี /////////

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / น่านเปิดบ้านต้อนรับคาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ

น่าน–วันที่ 15 มิถุนายน 2568 เวลา 18.30 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเทวราช จังหวัดน่าน ได้มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะ “คาราวานตามรอยตำนาน 17 จังหวัดภาคเหนือ” โดยมีนางวิไลวรรณ บุดาสา รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานในการกล่าวต้อนรับและเป็นตัวแทนจากนายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ภายในงานมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมอย่างคับคั่ง อาทิ นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, หัวหน้าส่วนราชการ, นายสาธิต บุญทอง นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวน่าน, คณะคาราวาน และสื่อมวลชนจากหลายพื้นที่

นางวิไลวรรณ กล่าวต้อนรับด้วยความยินดี พร้อมแนะนำจังหวัดน่านว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีเสน่ห์จากธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเรียบง่าย โดยเฉพาะในช่วง Green Season ซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติที่เขียวชอุ่มและงดงามทั้งนี้ จังหวัดน่านยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเมืองสร้างสรรค์ เมืองเก่าที่มีชีวิต สู่การเป็นเมืองมรดกโลก และยังได้รับรางวัลด้านการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ เช่น Green Destination Gold Award 2024 และ Best Tourism Village 2024


รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่านได้กล่าวปิดท้ายด้วยความหวังว่าผู้ร่วมคาราวานจะได้รับความประทับใจจากการเดินทางครั้งนี้ และจะกลับมาเยือนเมืองน่านอีกในอนาคต บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง สะท้อนถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีของชาวน่านในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศคณะนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจังหวัดน่าน

ครั้งนี้ได้มาที่วัดภูมินทร์ซึ่งเป็นตำนานของปู่ม่านย่าม่านกระซิบรักบันลือโลก ทุกคนมาจะต้องามถ่ายรูปกับภาพของปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก พร้อมกับนั่งรถรางชมเมืองยามค่ำคืนที่มีสีสันยามค่ำคืนที่สวยงามและเยี่ยมชมสินค้า OTOP โรงงานผลิตเครื่องเงินดอยซิลเวอร์ที่อำเภอปัว ที่เป็นโรงงานผลิตเครื่องเงินที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดน่านเป็นศูนย์เรียนรู้การผลิตเครื่องเงินและเป็นสินค้าส่งออกต่างประเทศสร้างรายได้อีกด้วย/ข่าว/พ.อ.พยอม บุญทร/ บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / กมธ.ทหารฯ วุฒิสภา กระทุ้งรัฐบาลเปิดอภิปรายทั่วไปถกปัญหาไทย-กัมพูชา ลั่นไม่ยอมเสียดินแดนในศาลโลกครั้งที่ 3 / “วิ่งกันให้วุ่น! หนุ่มใหญ่ทิ้งรถ โกยแนบ

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่ห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (ฝั่ง สว.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา นำโดยพลเอกสวัสดิ์ ทัศนา ประธาน กมธ. พร้อมด้วยพลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ร่วมกันแถลงข่าวกรณี สว.ออกแถลงการณ์เรื่อง “ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา” โดยสรุปว่า จากเหตุการณ์กระทบกระทั่งบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ซึ่ง กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ประณามการกระทำที่ขาดความจริงใจ ไร้ความเป็นมิตรเยี่ยงประเทศเพื่อนบ้านพึงมีต่อกันของฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ไปแล้วนั้น เมื่อวันที่ 9 และ 10 มิ.ย. 2568 กมธ.

ได้เดินทางเข้าพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้เห็นภูมิประเทศจริงและรับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และได้ใช้โอกาสนี้พบปะเยี่ยมเยียนเพื่อแสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่พิพาท รวมทั้งกำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติตามแนวชายแดนด้วยความเข้มแข็ง

ตร.ทล. ชุมพร “วิ่งกันให้วุ่น! หนุ่มใหญ่ทิ้งรถ โกยแนบ วิ่งหนีไม่ คิดชีวิต ตร.ทล.ชุมพรโชว์ไหวพริบ ขี่รถคนร้ำยไล่ล่า

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ว่าที่ พ.ต.ท.กล้า สมบัติพิบูลย์ สว.ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล. ได้ สั่งการให้ ตำรวจทางหลวง ส.ทล. กก. บก.ทล.(ชุมพร)ตรวจสอบพื้นที่รับผิดชอบ นำโดย ร.ต.อ.วิมล แก้วชู รอง สว.(ป.) ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล. ด.ต.กิตติชัย ช่วยเกิด ผบ.หมู่ ส.ทล.4 กก.2 บก.ทล. ส.ต.อ.มาตุภูมิ รัตนคช ผบ.หมู่ ส.ทล.4 กก.2 บกออกตรวจพื้นที่ภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบ พบ ชายต้องสงสัย ขับขี่ รถจักรยานยนต์ แซงรถตำรวจทางด้านซ้ายด้วยความเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสังเกตเห็น แสดงอาการ พิรุธ จึงเรียกให้จอดและขอทำการตรวจค้นตัว และแล้วก็เจอ

ถุงซิปลักษณะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นยาบ้า ถูกซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้ายของชายคนดังกล่าวชายต้อง สงสัยกลับกระโจนวิ่งหนีจากจุดเกิดเหตุอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้บนถนน แล้ววิ่งหนีไป คาดจะลง ข้างทางมุ่งหน้าสู่ป่าใกล้เคียง ด้วยไหวพริบและสัญชาตญาณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายหนึ่งรีบวิ่งไล่ติดตาม ในทันที ขณะที่อีกนายควบจักรยานยนต์ของคนร้ายเข้าไล่บี แบบประชิด งานนี้ ไม่ใช่แค่วิ่ง แต่คือการไล่ล่า ทุลักทุเล ตำรวจเหนื่อย คนร้ายก็หอบ วิ่งกันเหงื่อโชกกลางดึกแม้ผู้ต้องหาพยายามวิ่งเข้าป่าหลบหนี

แต่ตำรวจ ทางหลวงชุมพรก็ไม่ละความพยายาม ไล่ตามอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งสามารถรวบตัวไว้ได้ในที่สุดห่างจากจุดที่ พบตัวหลบหนีไปไกลกว่า 1 กิโลเมตร ปฏิบัติการครั้งนี้ จับกุมตัว 1.นายจีระศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ชาว ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร ของกลาง 1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ชนิดเม็ด ลักษณะกลมแบน ประทับอักษร WY สีส้ม จำนวน 452 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน ชนิดกดปิด-ดึงเปิด 2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ชนิดเม็ด ลักษณะกลมแบน ประทับอักษร WY สีเขียว จำนวน 4 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกสีน้ำเงิน ชนิดกดปิด-ดึงเปิด 3.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อเรียลมี สีทอง 1 เครื่อง

จากสอบถามผู้ต้องหาเล่าว่าตนเองติดต่อซื้อยาเสพติดผ่านแอพพลิเคชั่น Facebook เมื่อช่วงคำของวันที่ 15มิ.ย.68 ในราคา 6,000 บาทและได้นัดหมายวางยาบ้าบริเวณหลักกิโลเมตรก่อนถึงสี่ แยกปฐมพรและตนเองได้เสพยาเสพติดมาแล้วจำนวน4เม็ด

เจ้าหน้าที่ ตร.ทล.ชุมพรจึงได้ จัดทำบันทึกการจับกุมและได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ ฐานความผิด “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ,เป็นผู้ขับขี่รถและเสพยาเสพติดให้โทษประประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยไม่ได้รับ อนุญาตและเป็นผู้ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดพิธีมอบนโยบายและกล่าวมอบโอวาทเพื่อให้กำลังใจแก่นักกีฬาก่อนไปแข่งขันกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 17 ประจำปี 2568 “โคราชเกมส์”

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬโดย นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ

มีนางแว่นฟ้า ทองศรี นายกองค์การบริหารจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายและกล่าวมอบโอวาทเพื่อให้กำลังใจแก่นักกีฬาก่อนไปแข่งขันกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 17 ประจำปี 2568 “โคราชเกมส์”

ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2568 โดยจัดการแข่งขัน ณ จังหวัดนครราชสีมา ทั้งนี้สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ โดยนายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ มอบหมายให้ นางกชพรรณ วิชิตธนบดี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ พร้อมเจ้าหน้าที่เข้าร่วมส่งกำลังใจแก่นักกีฬา

จังหวัดบึงกาฬส่งตัวแทนนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 8 ชนิดกีฬา ได้แก่ กรีฑา กอล์ฟ แบดมินตัน วู้ดบอล หมากรุกไทย เปตอง ประกวดคาราโอเกะ และตะกร้อวงเตะทน นักกีฬาตัวแทนจังหวัดบึงกาฬเข้าร่วมแข่งขัน ทั้งหมด 57 คน แบ่งเป็น นักกีฬา 48 คน เจ้าหน้าที่ทีม 9 คน

โดยมี สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ หอการค้าจังหวัดบึงกาฬ ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ชมรมกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุจังหวัดบึงกาฬ

ข่าว/ภาพ ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล จ.บึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดยุทธการป้องปรามการระบาดบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด ยกระดับสถานศึกษาปลอดภัย

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.68 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบฯ นายประทีป บริบูรณ์รัตน์ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ พร้อมด้วย พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ นางกันยมาส ชูจีน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 ร่วมพิธีเปิดความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วมนักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด จ.ประจวบฯ โดยมี ตำรวจ สภ.ทั้ง 16 สถานีในสังกัดกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบฯ ฝ่ายปกครอง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ และหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดฯ

ได้แก่ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 และเขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบฯ สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดฯ สถานศึกษาทุกแห่ง และภาคีเครือข่ายเข้าร่วม เพื่อบูรณาการการทำงานในการดูแลคุ้มครอง ช่วยเหลือ และเฝ้าระวังพฤติกรรมนักเรียนทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และยาเสพติด

รวมถึงการออกตรวจพื้นที่จุดเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ยกระดับการเฝ้าระวังเหตุและเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่นักเรียนเชิงรุก ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม สร้างความอุ่นใจให้กับผู้ปกครอง โดยมีการจัดทำแผนการออกตรวจร่วมเฝ้าระวังเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงตามที่ได้มีการประชุมวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันภัยจากบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติดทุกรูปแบบไม่ให้แพร่ระบาดเข้าสู่สถานศึกษา และป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และอนาคตของนักเรียน

พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีข้อสั่งการไปยัง สภ.ทั้ง 16 สถานี ให้กวดขันจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมามีผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าชื่นชม ปัจจุบันเรียกได้ว่าแทบจะหาไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องทางอื่น ๆ ที่เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ เช่น การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์

ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องเข้าถึงเด็กเพื่อให้ปัญหานี้หมดไป หากไม่รีบดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อเปิดปฏิบัติการตรวจร่วมให้เด็กและเยาวขนปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด นำไปสู่การยกระดับความปลอดภัยในสถานศึกษา.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / นายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม พร้อมคณะ นำพวงมาลัยสักการะ หลวงพ่อเต๋ คงทอง เพื่อเป็นสิริมงคล

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 09.09 น. เนื่องในโอกาส เข้ารับตำแหน่งวันแรก หลังจาก กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามง่าม นายสมรัก มีใจดี

นายกเทศมนตรีตำบลสามง่าม พร้อมด้วย นาย จิราวัฒน์ ปึงสุขสมบูรณ์ ประธานสภาเทศบาลสามง่ามพร้อม คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล นำพวงมาลัยมา

สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลสามง่าม และมณฑปหลวงพ่อเต๋ คงทอง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอดอนตูม เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันแรก
สมคิด พรมมี ผู้สื่อข่าว นครปฐม

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / น้ำป่าหลากตัดขาดถนนสายหยิงสนั่นคำชะอี! หนุ่มวัย 26 ก่อเหตุยิงรุ่นใหญ่วัย 37 ดับข้างวงเหล้า ก่อนซิ่งเวฟหลบหนี​/อุบัติเหตุสลด! หนุ่มขับรถพุ่งชนตอม่อสะพาน ไม่รอด/​สลด! พี่ชายใช้ปืนยิงน้องดับคาบ้าน ขอเงินแต่ได้น้อยไม่พอใจ

มุกดาหาร – เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 14 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านค้อ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ได้รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตที่บ้านหนองหญ้าปล้อง หมู่ที่ 4 ต.บ้านเหล่า อ.คำชะอี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน

ที่เกิดเหตุเป็นบริเวณหน้าบ้านเลขที่ 114 พบศพนายสถาพร ยืนยั่ง อายุ 37 ปี นอนเสียชีวิตในสภาพสวมเสื้อแขนยาวกางเกงขาสั้น มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเหนือคิ้วซ้าย 1 นัด นอกจากนี้พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 3 ปลอกตกอยู่ใกล้ศพ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายพร้อมเพื่อนรวม 3 คน นั่งดื่มสุรากันเพื่อฉลองการกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ให้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุคือนายมานะศักดิ์ คนขยัน อายุ 26 ปี หรือ “เต้า” ซึ่งบ้านอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 60 เมตร ได้เดินเข้ามาหากลุ่มผู้ตายแล้วตะโกนถามว่า “มึงมีปัญหาอะไรกับกู” จากนั้นใช้อาวุธปืนยิงลงดิน 1 นัด และยิงขึ้นฟ้าอีก 1 นัด ก่อนผู้ตายจะลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปหา นายเต้าจึงยิงใส่ผู้ตาย 1 นัด กระสุนเจาะเข้าบริเวณเหนือคิ้วซ้ายเสียชีวิตคาที่ ก่อนขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟหลบหนีไป

ภายหลังเกิดเหตุ ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับบิดาของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ลูกชายเคยมีประวัติเสพยาบ้า และมีพฤติกรรมเมาแล้วอาระวาด แต่ไม่เคยทำร้ายคนในครอบครัว ส่วนมากจะทุบของในบ้าน วันเกิดเหตุตนกำลังจะเข้านอนจนมีเพื่อนบ้านมาแจ้งว่าลูกชายยิงคนตาย เมื่อออกไปดูก็พบว่าเป็นความจริง จากนั้นลูกชายก็หลบหนีไป ไม่สามารถติดต่อได้ และอยากวอนให้ลูกชายเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่โดยเร็ว

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บ้านค้อ เปิดเผยว่า กำลังเร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งคาดว่าอาจยังหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนหากพบเบาะแสแจ้งได้ที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน

กดาหาร​ -​อุบัติเหตุสลด! หนุ่มขับรถพุ่งชนตอม่อสะพานทางเข้าโรงงานน้ำตาลสหเรือง กู้ภัยเร่งช่วยแต่ไม่รอด

เมื่อเวลา 03.40 น.วันที่ 16 มิถุนายน 2568 มูลนิธิการกุศลมุกดาหารได้รับแจ้งเหตุจากศูนย์นเรนทรว่า เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนสะพานบริเวณทางเข้าโรงน้ำตาลสหเรือง บนทางหลวงชนบทสาย มห.3019 ตำบลบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีผู้ได้รับบาดเจ็บติดภายในรถ 1 ราย

ทีมกู้ภัยเต็กก่ามุกดาหาร พร้อมรถอุปกรณ์ตัดถ่าง และชุดไฟส่องสว่าง จึงได้รุดไปยังพื้นที่เกิดเหตุโดยเร่งด่วน เมื่อไปถึง พบรถยนต์กระบะอีซูซุ D-max Hilander สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บง 4810 มุกดาหาร สภาพด้านหน้าพุ่งชนกับบริเวณตอม่อสะพานอย่างแรงจนด้านหน้าของรถยุบเข้ามาถึงห้องคนขับ

พบคนขับเป็นชายได้รับบาดเจ็บสาหัสติดอยู่ภายในห้องโดยสาร ทีมกู้ภัยจึงเร่งใช้อุปกรณ์ตัดถ่างช่วยเหลือนำตัวออกมาจากรถและนำส่งโรงพยาบาลมุกดาหาร โดยผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาอุบัติเหตุมุกดาหาร #รถชนสะพาน #กู้ภัยเต็กก่ามุกดาหาร #ทางหลวงชนบท3019 #ข่าวอุบัติเหตุ #ศูนย์นเรนทร #บางทรายใหญ่ #มุกดาหาร #ข่าววันนี้​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-

5259777​

มุกดาหาร​ -​สลด! พี่ชายใช้ปืนยิงน้องดับคาบ้าน หลังมาขอเงินแต่ได้น้อยไม่พอใจ ถือมีดพร้าบุกเข้ามาในบ้านเลย ถูกยิงสวน

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 สภ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ได้รับแจ้งเหตุยิงกันเสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 8 ตำบลหนองบัว อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร พนักงานสอบสวนเวรพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบผู้เสียชีวิตคือ นายสุรสิทธิ์ ไชยเพชร อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 185 หมู่ 2 ตำบลหนองบัว นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงภายในบ้าน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. จำนวน 4 นัด ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายนิกร ไชยเพชร อายุ 56 ปี พี่ชายของผู้ตาย และเป็นเจ้าของบ้านหลังเกิดเหตุ ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืน

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายนิกรให้การว่า นายสุรสิทธิ์เพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำมาได้เพียง 2 วัน ได้เข้ามาขอเงินภายในบ้านซึ่งตนก็ให้ไปแล้ว แต่ผู้ตายยังไม่พอใจ กลับออกไปแล้วถือมีดพร้าบุกเข้ามาอีกครั้ง ด้วยความตกใจจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวนายนิกร พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนของกลางไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

ข่าวอาชญากรรม #ยิงกันตาย #พี่ชายยิงน้องชาย #มุกดาหาร #ดงหลวง #เหตุสะเทือนขวัญ #ข่าววันนี้​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “ตม.สตูล ตรวจ การแจ้งที่พักอาศัย ต่างด้าวในพื้นที่”ตามนโยบาย สนง.ตำรวจแห่งชาติ / “ตม.สตูล กวดขันตรวจสอบป้องกันชาวบ้านแอบช่วยเหลือให้ที่พักคนต่างด้าวผิดกฎหมายมีโทษสูง”

“ตม.สตูล ตรวจประชาสัมพันธ์การแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวในพื้นที่”
ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 ให้ตรวจคนเข้าเมืองทุกจังหวัดออกตรวจสถานที่พักของคนต่างด้าว ประชาสัมพันธ์การแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบโดยตรวจเพื่อจัดทำข้อมูลไว้ใช้สำหรับการป้องกันและปราบปรามคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.68 พ.ต.อ.เจริญพงษ์ ขันติโล ผกก.ตม.จว.สตูล และ พ.ต.ท.ระลึก อินทรัศมี รอง ผกก.ตม.จว.สตูล ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนปราบปราม ตม.จว.สตูล นำโดย พ.ต.ท.ยงยุทธ เลิศปรีชาพงศ์ สว.ตม.จว.สตูล พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้ออกตรวจเป้าหมายแคมป์คนงานต่างด้าวในพื้นที่อำเภอละงู และควนกาหลง จังหวัดสตูล

ทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งพบแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาทำงานกรรมกรและพักอยู่ในแคมป์คนงานและบ้านเช่ารวมจำนวน 24 คน เจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางหรือเอกสารประจำตัวของคนต่างด้าวและใบอนุญาตทำงานปรากฏว่ามีเอกสารถูกต้อง แต่ตรวจพบว่ามีนายจ้างชาวไทย จำนวน 2 ราย ที่ไม่ได้มีการแจ้งที่พักอาศัยของคนต่างด้าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จำนวนรวม 7 คน จึงได้ทำการจับกุมดำเนินคดีนายจ้างชาวไทยทั้ง 2 ราย ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าบ้าน เจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหะสถาน หรือผู้จัดการโรงแรม รับคนต่างด้าว

ซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย ไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ที่บ้าน เคหะสถาน หรือโรงแรม นั้นตั้งอยู่ ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่คนต่างด้าวเข้าพักอาศัย” ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการเปรียบเทียบปรับรวมเป็นเงิน 11,200 บาท และได้ประชาสัมพันธ์แนะนำให้นายจ้างดำเนินการตามกฎหมายให้เรียบร้อย ซึ่งกฎหมายมาตราดังกล่าวมีความสำคัญในการควบคุมคนต่างด้าวให้ทราบถึงที่อยู่ของคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เจ้าบ้าน หรือผู้ที่รับคนต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดทราบ

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ โดยเฉพาะชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือกระทำผิดกฎหมาย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดในจังหวัดสตูล กรุณาแจ้งมายัง ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล เลขที่ 6 ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล 91000 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 074711080 (ฝ่ายสืบสวนปราบปราม) หรือที่สายด่วน 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

“ตม.สตูล กวดขันตรวจสอบป้องกันชาวบ้านแอบช่วยเหลือให้ที่พักคนต่างด้าวผิดกฎหมายมีโทษสูง”

ตามนโยบายของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 ให้ตรวจคนเข้าเมืองทุกจังหวัดระดมกวาดล้างอาชญากรรมและปราบปรามคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.เจริญพงษ์ ขันติโล ผกก.ตม.จว.สตูล และ พ.ต.ท.ระลึก อินทรัศมี รอง ผกก.ตม.จว.สตูล ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนปราบปราม ตม.จว.สตูล นำโดย พ.ต.ท.ยงยุทธ เลิศปรีชาพงศ์ สว.ตม.จว.สตูล พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.สตูล สืบสวนหาข่าวคนต่างด้าวผิดกฎหมาย วันที่ 16 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สตูล ร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.สตูล และ ชุด ชปข.ตชด.436 ได้สืบสวนจนทราบว่าที่บ้านหลังหนึ่งในบ้านควนสตอ อ.ควนโดน จ.สตูล

ได้มีชายชาวมาเลเซียพักอาศัยอยู่ซึ่งเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงได้เดินทางไปตรวจสอบและพบชายมาเลเซีย คือนายอาเหลียง อายุ 45 ปี สัญชาติมาเลเซีย พักอาศัยอยู่ โดยมีหญิงไทย คุณนา (นามสมมุติ) อายุ 46 ปี เป็นเจ้าของบ้านแจ้งว่าเป็นสามีภรรยากัน จึงได้ตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทางของคนต่างด้าวพบว่ามีหนังสือผ่านแดนที่ไม่มีตราประทับการเข้าเมืองอย่างถูกต้องและหมดอายุแล้ว สอบถามอาเหลียง

ได้ยอมรับว่าหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยจริง เนื่องจากอยากเข้ามาอยู่กับภรรยาชาวไทยไม่อยากกลับบ้านที่มาเลเซียแต่ตนไม่มีสิทธิอยู่อย่างถูกต้องจึงต้องลักลอบเข้าประเทศไทย คุณนายอมรับว่ารู้เรื่องที่สามีชาวมาเลเข้ามาประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรจึงได้ให้พักอาศัยอยู่ด้วยกันเรื่อยมา เจ้าหน้าที่จึงได้ชี้แจงข้อกฎหมายให้ทราบว่าเป็นการกระทำความผิดทั้งคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างผิดกฎหมาย และเจ้าของบ้านที่ให้ที่พักแก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรแบบผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 คือ “ผู้ใดรู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” โดยมีอัตราโทษสูงคือจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท เจ้าหน้าที่ได้จับกุมทั้ง 2 คน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ควนโดน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าการให้ความช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือให้ที่พักแก่คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่มีอัตราโทษสูงคือจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ขอให้ปรึกษาหรือแจ้งมาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่หรือตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด และหากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดในจังหวัดสตูล กรุณาแจ้งมายัง ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล เลขที่ 6 ตำบลพิมาน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล 91000 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 074711080 (ฝ่ายสืบสวนปราบปราม) หรือที่สายด่วน 1178 จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง