สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / บ.ไทยคาลิ จำกัด ร่วม รร.ด่านขุนทด จัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึก วันสิ่งแวดล้อมโลก

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ณ บริษัทไทยคาลิ จำกัด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน นายเฉลิมยศ พุทธา ผอ.รร.ด่านขุนทด นำนักเรียน ม.5 และ ม.6 จำนวน 330 คน เข้าร่วมศึกษา เรียนรู้การทำเหมืองแร่ใต้ดิน ของทางบริษัท ฯ

เพื่อจะได้เรียนรู้การทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างประโยชน์ ต่อชุมชนและประเทศชาติ บริษัท ฯ ได้จัดทำกิจกรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกให้กับเด็กเยาวชน และ พนักงานบริษัท ฯ ได้มีความรัก และ เอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมอยู่เป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้ ได้ร่วมกับโรงเรียนด่านขุนทด

ในโอกาสนี้ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยคาลิ จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่บริษัท ฯ ได้เริ่มโครงการ ได้ให้การสนับสนุนสิทธิ์ของบุคคลและชุมชน โดยตระหนักถึงสิทธิ์ การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น และให้การคุ้มครองสิทธิ์ดำรงชีวิตในสังคมอย่างสงบสุข และดูแลปัญหาสิ่ง

แวดล้อม รอบพื้นที่โครงการมาตลอด ขะเห็นได้ว่า พื้นที่ตั้งของบริษัท ฯ มีพื้นที่สีเขียวเป็นจำนวนมาก ปัญหาดินเค็ม สร้างผลกระทบต่อเกษตรกร บริษัท ฯ ได้เข้าดูแลช่วยเหลือ เพื่อปรับปรุง ฟื้นฟู จนประสบผลสำเร็จ หลายร้อยไร่ บริษัท ฯ มีมาตรฐานระดับโลก โดยการทำงานร่วมกับ DMT Gmbh & Co.

บริษัท ฯ ที่ปรึกษาด้านเหมืองแร่จากเยอรมนี ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการทำเหมืองแร่ใต้ดินกว่า 150 ปี นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความปลอดภัยสูงในด้านจัดการของเสีย นำแนวทาง Zero Discharge มาใช้งาน ซึ่งเป็นการนำน้ำไปใช้หมุนเวียน ไม่มีการปล่อยน้ำทิ้ง หรือของเสียออกนอกโครงการ เพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับประเทศไทย มีศักยภาพพัฒนาแหล่งแร่โพแทช เพื่อนำมาผลิตเป็นปุ๋ย ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้าจากการนำเข้า ทั้งนี้ ไทยมีการนำเข้าปุ๋ย โพแทซเฉลี่ยปีละ 800,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี การพัฒนาเหมืองแร่โพแทซ ครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ในการสนับสนุนความมั่นคงทางการเกษตรกรรมของประเทศและลดการพึ่งพา การนำเข้า ในระยะยาว

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ครบุรีจัดใหญ่งานทุเรียน ครั้งที่ 3เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและหาช่องทางให้เกษตรกร

อำเภอครบุรีกำหนดจัดงานทุกเรียนครบุรี @ต้นน้ำมูลครั้งที่ 3 ขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568 ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอครบุรี ดึง อบจ.นครราชสีมา ร่วมงาน สนับสนุนจัดงานด้านกลุ่มชุมชนผู้ปลูกทุเรียนเฮได้จุดจำหน่ายทุเรียนดังของอำเภอครบุรี พร้อมย้ำจุดยืนรวมตัวเพื่อต่อรองกับพ่อค้า-ลังไม่กดราคา
นายพีรวัฒน์ ธีระวัฒนา นายอำเภอครบุรี เป็นประธานการแถลงข่าวการจัดงาน “ทุเรียนต้นน้ำมูลโคราช@ครบุรี ครั้งที่ 3”

เปิดเผยว่าอำเภอครบุรีเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานและบึงเป็นที่ของสายน้ำสำคัญของต้นน้ำมูล ที่ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโก ภายใต้ชื่อกลุ่ม ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ปัจจุบันในพื้นที่มีเกษตรกรปลูกทุเรียนหลากสายพันธุ์กว่า 3,500 ไร่ และเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก เพราะทุเรียนครบุรีมีรสชาติกลิ่นอ่อน เนียนนุ่ม ละมุนลิ้น” มีเส้นใยน้อย ปลูกในพื้นที่ดินแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของอำเภอครบุรี ซึ่งสายพันธ์ที่ปลูกจะมีหมอนทอง ก้านยาว มูซีนคิงส์ นกหยิบ พวงมณี และชะนีไข่

นายอำเภอครบุรี กล่าวต่อไปอีกว่า ดังนั้นทางอำเภอจึงได้ร่วมมือกับเกษตรกร องค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้นำท้องถิ่น ได้กำหนดการจัดงาน “ทุเรียนต้นน้ำมูลโคราช@ครบุรีขึ้น ในระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2568 ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอครบุรี ซึ่งจะมีกิจกรรมอาทิ การประกวดทุเรียนคุณภาพ การแข่งขันการกินทุเรียน การแข่งขันส้มตำลีลา การจำหน่ายทุเรียนจากชาวสวน กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน การออกร้านจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรของอำเภอครบุรี ตนจึงอยากเรียนเชิญพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียง

ได้มาร่วมชมงานและเลือกซื้อทุเรียนที่ปลูกในพื้นที่อำเภอครบุรีที่ความอร่อยที่ไม่เหมือนที่ใดๆ ได้มาลองชิมภายในงานครั้งนี้นายพีรวัฒน์กล่าว
ทางด้าน นายชัยวัฒน์ ชู้กระโทก รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่าตนในนามของ ดร.ยลลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่อำเภอครบุรีที่มีการทำสวนทุเรียนเป็นจำนวนมากจึงช่วยสนับสนุนงบประมาณกว่า 200,000 บาท มาช่วยการจัดงานทุเรียนครบุรีในครั้งนี้เพื่อให้ชาวสวนทุเรียนได้มีตลาดจัดจำหน่ายทุเรียนคุณภาพของดีของจังหวัดนครราชสีมา

ด้าน สจ.สุชชีพ ชีระชลสุข สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา อำเภอครบุรีเขต 2 กล่าวว่าตนในฐานะผู้ประสานในพื้นที่อำเภอครบุรีเล็งเห็นความสำคัญของพี่น้องเกษตรกรที่ปลูกทุเรียนและพืชอื่นๆ อาทิ มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ขนุน มะม่วง และพืชผักอื่นๆ อีกมากมายเพราอำเภอครบุรีมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์พืชผลทางการเกษตรมีหลากหลาย การส่งเสริมการจัดงานของดีครบุรีกับการจัดงานทุเรียนครบุรี@ต้นน้ำมูลในครั้งนี้ตนได้ของบประมาณกว่า 200,000 บาท เพื่อมาสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้ จาก ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตนเล็งเห็นว่าจะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนจะได้มีพื้นที่จำหน่ายทุเรียนคุณภาพดี สร้างรายได้เข้าอำเภอและเข้าจังหวัดนครราชสีมาต่อไป

นายประยูร ทองบอน กำนันตำบลสระว่านพระยาและประธานชมรมผู้ปลูกทุเรียนอำเภอครบุรีกล่าวว่าตนได้รวมกลุ่มผู้ปลูกทุเรียนจำนวนหลายร้อยสวนตั้งเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอำเภอครบุรีเพื่อช่วยเหลือกับให้ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันพร้อมทั้งหาตลาดและจุดจัดจำหน่ายทางการตลาดสู่ตลาดทั่วประเทศอีกทั้งยังเป็นการร่วมตัวกัน เพื่อไม่ได้ “ล้ง” หรือกลุ่มพ่อค้านายหน้ามากดราคาทุเรียนหน้าสวนและการจัดงานในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการหาลู่ทางจำหน่ายทุเรียนของอำเภอ ครบุรีที่มีคุณภาพดีสู่สายตาพี่น้องประชาชนทั่วประเทศนายประยูร กล่า

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เจ้าเงาะป่าทำถึง สีสันขบวนแห่งานบุญบั้งไฟ อบต.ตาโกน ด้านชาวบ้านแห่ส่องเลขธูปหลังพิธีไหว้ หลักบ้าน อายุกว่า 200 ปี ก่อนทำพิธีจุดบั้งไฟ

***เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 68 ที่วัดตาโกน ตำบลตาโกน อำเภอเมืองจันทร์ จังหวัดศรีสะเกษ นายทวีศักดิ์ ทรงอยู่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานเปิดงานบุญประเพณีบุญบั้งไฟ อำเภอเมืองจันทร์ ซึ่ง อบต.ตาโกน ร่วม ผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้าน จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 7-9 มิ.ย. 68 เพื่อเป็นการบวงสรวง สร้างความสนุกสนาน และสร้างความสมัครสมานสามัคคีของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

เป็นการส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวอีสาน เอาไว้ให้สืบทอดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน และสื่อสานประเพณีความเชื่อในเรื่องขอฝนของชาวอีสานที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน รวมถึงเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรในการทำเกษตร โดยมี นายสมศักดิ์ เอ่งฉ้วน นายอำเภอเมืองจันทร์ นายอาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ สส.ศรีสะเกษ เขต 8 พรรคภูมิใจไทย นายเเท่ง สุระ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตาโกน และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

***ทั้งนี้งานบุญประเพณีบั้งไฟ นับเป็นประเพณีความเชื่อ ที่มีความสำคัญ สำหรับชาวตำบลตาโกน และนิยมทำกันในเดือน 6 ของทุกทุกปี ดังนั้น ชาวตำบลตาโกน จึงถือว่าประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญมาก เพราะมีความเชื่อแต่ตั้งเดิมจวบจนปัจจุบันว่า หากไม่จัดงานบุญบั้งไฟก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติ ในการจุดบั้งไฟเป็นพิธีกรรมเพื่อบูชาขอพรพญาแถน เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ พืชไร่ พืชสวนเจริญงอกงาม มีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

***โดยกิจกรรมวันนี้มีการขบวนแห่แต่ละชุมชน ที่แต่ละขบวนประดับประดาไปผลผลิต พืชพันธ์ ต่างๆ โดยเฉพาะส้มโอหวาน ของดีอำเภอเมืองจันทร์ ขบวนนางรำที่แต่ละขบวนจัดเต็มทั้งชุด และการแสดง นอกจากนี้แต่เจ้าเงาะป่า ผมขาว ทาตัวสีดำ เดินหารจนา (สาวงาม) ตามขบวนแห่ โดยจะมีคนค่อยเต็ม (เต็มสีดำตามตัว) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นสีสันของขบวนแห่งานบุญบั้งไฟในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีพิธีไหว้และผูกผ้า 7 สี

ที่เป็นสิมหรือเสาเอกของอุโบสถเก่า ที่มีอายุมากกว่า 200 ปีที่ชาวบ้านเชื่อถือกราบไหว้ถือเป็นภูมิบ้านที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น ก่อนที่ นายก อบต.ตาโกง จะจุดธูปเลขเสี่ยดวง ให้กับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมได้นำไปเสี่ยโชคที่จะถึงนี้ ซึ่งเลขที่ได้คือเลข 469 โดยมีชาวบ้านต่างพากันแห่มาดูเลขเด็ดกันคึกคัด ทั้งนี้การจุดบั้งไฟจะมีการจุดขึ้นในวันที่ 8-9 มิ.ย. 68 ซึ่งเป็นบั้งไฟขนาดท่อ 2-3 โดยมีการขออนุญาติถูกต้องตามระบบ
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

filter: 0; fileterIntensity: 0.0; filterMask: 0; captureOrientation: 0; hdrForward: 0; highlight: true; algolist: 0; multi-frame: 1; brp_mask:0; brp_del_th:null; brp_del_sen:null; delta:null; bokeh:0; module: photo;hw-remosaic: false;touch: (-1.0, -1.0);sceneMode: 2621440;cct_value: 0;AI_Scene: (-1, -1);aec_lux: 0.0;aec_lux_index: 0;HdrStatus: auto;albedo: ;confidence: ;motionLevel: 0;weatherinfo: null;temperature: 35;

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /นายด่าน แจงปม กัมพูชาซื้อเกลือไทยไปให้ทหารกัมพูชาในป่า กว่า 2 พันตัน

***จากกรณีที่มีข่าวออกมาว่าชาวกัมพูชาแห่มาซื้อเกลือที่ฝั่งไทย ทางด่านช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมาซื้อไปกว่า 2,800 กว่าต้น เพื่อเอาไปให้ทหารกัมพูชาดำรงชีวิตในป่า ล่าสุด นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลการกรช่องสะงำ เปิดเผยกับ

ผู้สื่อข่าวว่า เรื่องดังกล่าวที่ออกข่าวไปว่ามีการส่งออกเกลือถึง 2,800 กว่าต้น ให้กับทางกัมพูชานั้นไม่เป็นความจริง ข่าวที่นำเสนอไปนั้นเป็นภาพรวมทั้งเดือน พฤษภาคม 68 ไม่ใช่เป็นวันเดียว ซึ่งภาพรวมปกติไม่ได้มีการกักตุนสินค้าแต่อย่างใด เป็นการส่งออกทุกเดือนตั้งแต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องชายแดน จนถึงวันนี้ ยังคงมียอดส่งออกปกติ

ไม่ได้มียอดกระโดดสูงหรือมีบริมาณส่งออกมากจนผิดปกติ โดยสิ่งของที่ส่งออกตอนนี้ส่วนมากจะเป็นสิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภค เช่น น้ำผลไม้ นมถัวเหลือง เกลือ ซึ่งภาพที่ออกไปนั้นเป็นเมื่อวาน (6 มิ.ย. 68) จริงตนก็อยู่ในวันนั้นซึ่งเป็นภาพรายงานในแต่ละวันไม่รู้ว่าผู้สื่อข่าวนำมาจากแหล่งไหน โดยการส่งออกเกลือในวันนั้นมีไม่กิโลกรัมเอง

ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการส่งออกในรอบวัน มีเพียงหนึ่งคันรถเท่านั้น และเป็นการซื้อขายส่งออกระหว่างภาคเอกชนตามปกติ ไม่ใช้ของทหารมาซื้อ หรือ ใครมาซื้อไปให้หทารแต่อย่างใด เพราะจริงๆแล้วห่างออกไปจากด่านถาวรช่องสะงำ ไม่ไกลจะมีตลาดขนาดใหญ่ คือ ตลาดอลเวง ที่เป็นตลาดรองรับสิ่งค้าต่างจากประเทศไท

***นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลการกรช่องสะงำ กล่าวต่อไปว่า ส่วนบรรยากาศภาพรวมหน้าด่าน ร่วมถึงการส่งออกที่หน้าด่าน ตอนนี้ยังคงสงบสุขดี ยังมีการเปิดด่าน และมีการส่งออกสิ่นค้าตามปกติ แต่ปริมาณคนเข้าออกระหว่างประเทศนั้นลดลงกว่าปกติถึง 30-40 %

เนื่องจากมีความกังวลถ้าผ่านด่านเข้ามาแล้วอาจจะมีการปิดด่านกะทังจนไม่สามารถกลับไปยังประเทศไม่ได้ ส่วนกำลังทหารนะตอนนี้ที่หน้าด่านพรมแดนยังไม่มีการเสริมกำลังเข้าไปในหน้าด่านแต่อย่างใด เพราะตนคิดว่าทางทหารก็อยากจะทำให้ทางหน้าด่านดูสงบปกติ ส่วนแนวโน้มเรื่องการปิดด่านตอนนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งแจ้งให้ปิดด่านแต่อย่างใด

***ทั้งนี้ หาก สื่อมวลชนหรือท่านใด อย่างจะทราบข้อเท็จจริง หรือนำไปเสนอข่าวให้สอบถามข้อมูลหรือข้อเท็จจริงก่อน สามารถเข้ามาสอบถามหรือโทรศัพท์สายตรงมาสอบถามกับนายด่านศุลการกรได้ทุกเมื่อ เพราะการที่เอาข้อมูลหรือภาพไปนำเสนอที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ข่าวที่ออกไปอาจจะทำให้พี่น้องประชาชน เกิดความแตกตื่นหรือเข้าใจผิดได้ และจะให้เกิดผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และประเทศไทยได้
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้แทน พสบ.ทภ.2 รุ่นที่ 2มอบสิ่งของสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหารชายแดนกัมพูชา / น้องเขยโหดใช้ปืนยิงปลา ยิงลุงเจ็บ ปมขัดแย้งที่ดิน สุดท้ายหนีไม่รอด ถูกจับได้ในสวนยาง

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ที่กรมทหารพรานที่ 23 อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นางสาวธนชนก สุริยเดชสกุลอ และ

นายหมวดตรี รุจิรา สรุจิกำจรวัฒนะ พร้อมด้วยผู้แทนคณะนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 รุ่นที่ 2 (พสบ.ภท.2 รุ่นที่ 2) และสมาคมสื่อสารมวลชนไทยอินโดจีน

ได้เดินทางไปยังหน่วยบัญชาการกองกำลังสุรนารี จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อมอบผ้าเต็นท์, เสื้อกันฝน รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นให้แก่ พลตรี ณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2

เพื่อส่งมอบต่อไปยังเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามฐานปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารกองกำลัง

ป้องกันชายแดน กองทัพภาคที่ 2 และเพื่อสะท้อนถึงความห่วงใยและกำลังใจจากภาคประชาชนและภาคเอกชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ ณ พื้นที่ชายแดนของประเทศ​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777

น้องเขยโหดใช้ปืนยิงปลา ยิงลุงเจ็บ ปมขัดแย้งที่ดิน สุดท้ายหนีไม่รอด ถูกจับได้ในสวนยาง

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลาประมาณ 14.30 น. เกิดเหตุทำร้ายร่างกายกันที่บ้านเลขที่ 300 หมู่ 2 ตำบลชะโนดน้อย อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร โดย นายบุญรุ่งเรือง โต๊ะทอง อายุ 46 ปี ได้บุกบ้านลุงคือ นายสมนึก คำมุงคุณ อายุ 61 ปี ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงปลา บรรจุลูกดอกเหล็กยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ยิงใส่บริเวณลำตัวด้านซ้ายของลุงจนได้รับบาดเจ็บ

หลังเกิดเหตุ นายบุญรุ่งเรืองได้วิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านของผู้บาดเจ็บเพื่อซ่อนอาวุธ ขณะที่ผู้บาดเจ็บพยายามขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน และโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ชีพเพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลมุกดาหาร

ต่อมา พ.ต.ท.ไพบูรณ์ สุวรรณคุณ สว.(สอบสวน) สภ.ดงหลวง พร้อมชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และเข้าตรวจค้นบ้านของผู้ก่อเหตุ พบปืนยิงปลา 1 กระบอก ขณะที่ตัวผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไปจากหมู่บ้าน กระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ที่สวนยางพารา ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริงด้วยความโมโหจากปัญหาขัดแย้งเรื่องที่ดินของภรรยา

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่โรงพยาบาลมุกดาหารเพื่อสอบถามญาติของผู้บาดเจ็บ โดยน้องสาวของผู้บาดเจ็บเปิดเผยว่า ครอบครัวมีพี่น้องประมาณ 7 คน ผู้ก่อเหตุเป็นสามีของน้องสาวอีกคน และเคยมีพฤติกรรมรุนแรงถึงขั้นต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อความปลอดภัย

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดงหลวง ได้นำตัว นายบุญรุ่งเรือง โต๊ะทอง ส่งฝากขังศาลจังหวัดมุกดาหาร พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้น ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และคัดค้านการประกันตัว

ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดใจผ่านเฟซบุ๊ก เผยข้อเท็จจริง 11 ข้อ ปมปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา รุกล้ำกว่า 400 ครั้ง” ลั่น! อย่าดันถึงศาลโลก เปิดใจคุยกันแบบลูกผู้ชายดีกว่า

วันที่ 7 มิถุนายน 2568 พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความในใจและเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะการรุกล้ำอธิปไตยของฝ่ายกัมพูชาที่เกิดขึ้นกว่า 400 ครั้ง แม้ฝ่ายไทยจะประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับได้รับการตอบสนองเพียงเล็กน้อย พล.ต.ณัฏฐ์ เปิดเผยข้อเท็จจริง 11 ประการที่สรุปใจความได้ดังนี้:

1.ไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนมายาวนานเนื่องจากยึดถือหลักฐานแผนที่ที่ต่างกัน
2.แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นผลผลิตจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 เป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบ คลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด

  1. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าเพื่อแก้ไขปัญหาการยึดเส้นเขตแดนที่แตกต่างกันตามข้อ 1 และข้อ 2 จึงตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ขึ้นมาเพื่อร่วมกันจัดทำแนวเขตแดนระหว่างกันให้ชัดเจนและเป็นเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย โดยผลผลิตสุดท้ายคือ หลักเขตแดน และแผนที่
  1. ขณะที่ JBC ทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำงานราบรื่นทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อตกลง MOU43 สาระสำคัญข้อ 5 ระบุไม่ให้ทั้งสองฝ่ายดัดแปลงภูมิประเทศตามแนวชายแดนซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ
  2. ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดน ที่เป็นการทำลายสันปันน้ำ เราประท้วง 400 กว่าครั้งแต่ให้ความร่วมมือแก้ไขน้อยมาก ในขณะที่ฝั่งเราเป็นเขตอุทยานเข้าไปทำอะไรไม่ได้
  1. พื้นที่ช่องอานม้า ก่อนเกิดเหตุเผาศาลาตรีมุข(28 ก.พ.68) ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. เราก็วางกำลังห่างระยะใกล้เคียงกัน ย่านกลางนั้นเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพไปมาหาสู่ ประสานงาน พูดคุยแก้ปัญหากัน
  2. วันที่ 28 ก.พ.68 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังขึ้นมาวางที่ต้นพญาสัตบรรณซึ่งล้ำอธิปไตยไทยเข้ามาประมาณ 150 ม. รวมถึงขุดคูเลททำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43
  3. ฝ่ายเราพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ อดทนอดกลั้น เจรจาขอให้ถอนกำลังที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไปหลายครั้งแต่เขมรก็ไม่ยอมถอน สุดท้ายมีการใช้อาวุธเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68
  1. ผู้บังคับบัญชาของไทยทุกระดับพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติ เจรจาขอให้ถอนกำลังจากจุดที่รุกล้ำ แต่เขมรอ้างว่ากำลังส่วนนี้วางอยู่เดิมมาตั้งแต่ก่อนมี MOU43 ซึ่งไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอนเพราะถ้ามีกำลังวางอยู่จุดนี้เมื่อปีที่แล้ว(ส.ค.67) ผมจะเดินผ่านจุดนี้เข้าไปที่ศาลาตรีมุขได้อย่างไร
  2. เขมรอ้างว่าถูกรุกราน ไทยไม่แก้ปัญหาโดยสันติ จะขยายความขัดแย้งสู่ศาลโลก ทั้งๆที่สองประเทศมีกลไกแก้ไขปัญหาร่วมกันอยู่ โดยอ้างว่าปัญหาจะได้จบ ถามว่ามันจะจบได้อย่างไร?
  1. กัมพูชายังเสริมกำลังทหาร อาวุธยุทโปกรณ์ พยายามจะนำกำลังขยายไปควบคุมพื้นที่อื่นๆตลอดแนวชายแดนทั้งๆที่พื้นที่เหล่านั้นเดิมทั้งสองฝ่ายไม่มีการวางกำลัง เป็นป่าเป็นเขา ถ้าเราเอากำลังไปวางเพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยก็เผชิญหน้ากัน ทำเพื่ออะไร?
  2. กติกาสองบ้านเรามีอยู่ เรามาเปิดหน้าคุยกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่าไหม ถ้าเรื่องถึงโรงถึงศาลลูกหลานเราก็จะเป็นปรปักษ์กันตลอดไป จะเกิดประโยชน์อะไรถ้าคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ทหารผ่านศึก ชาวบ้าน รวมพลกว่า 500 คน บุกสำนักงานตำรวจภูธรชุมพร โวยไม่ได้รับความเป็นธรรม

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 6 มิถุนายน 2568 นายประคอง จิตประสงค์ “ผู้ใหญ่หยีต” และ นายคนึง เมืองทิพย์ ประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดชุมพร พร้อมด้วยกลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้านกว่า 500 คน ไปรวมตัวกันที่หน้ากองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ภายในศูนย์ราชการ

เพื่อเรื่องเรียนต่อ พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร โดยชาวบ้านทั้งหมด ก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ที่ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านหมูที่ 13 ตำบลหงษ์เจริญ อ.ทาแซะ จ.ชุมพร

ใช้เป็นศูนย์กลางในการเรียกร้องให้รัฐนำที่ดินสวนปาล์มหมดสัมปทานกว่า 23,000 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อ และป่าสลุย ที่หมดสัมปทานนาน 10 ปี แล้ว เพื่อนำมาบริหารจัดการและจัดสรรให้กับราษฎรและชาวบ้านที่ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งหมดสัมปทานมานานถึง 10 ปี แต่รัฐเกียร์ว่างไม่ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้กลุ่มนายทุน เจ้าหน้าที่รับ

นักการเมือง บางคนบางกลุ่ม นำแรงงานต่างด้าวเข้าไปเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมันออกมาขายให้โรงงานนายทุน ปีละเกือบ 1,000 ล้านบาท โดยที่รัฐไม่ผลประโยชน์ใดๆเลย ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำกันเป็นขบวนการร่วมกันระหว่างนายทุน เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้มีอิทธิพล และนักการเมือง มานานหลังจากสวนปาล์มหมดสัมปทานนับ 10 ปี

ตัวแทนชาวบ้านและทหารผ่านศึกกล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าว ที่ผ่านมาชาวบ้านและ กลุ่มทหารผ่านศึกได้ออกมารวมตัวกัน โดยใช้ศาลาอเนกประสงค์หมู่บ้านและอาคารร้างในสวนปาล์มหมดสัมปทานเป็นจุดรวมตัวและจุดพัก เพื่อคอยตรวจสอบดูแลพื้นที่สวนปาล์มหมดสัมปทานกว่า 2 หมื่นไร่ มานานกว่า 1 เดือนแล้ว เพื่อไม่ให้กลุ่มนายทุน เจ้าหน้าที่รัฐ

ผู้มีอิทธิพล และนักการเมือง นำแรงงานต่างด้าวเข้าไปลักขโมยเก็บเกี่ยวปาล์มออกมาขาย จนกระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะกลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้านออกตรวจพื้นที่ผ่านไป

ถึงหน้าสำนักงานของบริษัทนายทุนที่หมดสัมปทาน ช่วงประมาณบ่าย 3 โมง ได้เห็นบุคคลต้องสงสัยคาดว่าเป็นแรงงาน เมื่อเห็นพวกตนได้วิ่งหนีและทิ้งปืนยาวไทยประดิษฐ์ ขนาด .22 ติดลำกล้อง ใส่อยู่ในถุงผ้า พร้อมเครื่องกระสุน ทิ้งไว้ข้างสำนักงาน 1 กระบอก

ชาวบ้านจึงแจ้งตำรวจ สภ.สลุย มาตรวจสอบ ปรากฏว่าใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง จนเกือบมืด เมื่อมาแล้วก็ไม่ยอมเปิดถึงดูว่าข้างในเป็นปืนชนิดใดอ้างว่ากลัวทรัพย์สินเสียหาย

จะต้องพาไปเปิดที่โรงพัก ชาวบ้านจึงไม่ยอมขอตามไปดูด้วย เมื่อไปถึงโรงพักก็ยังโยกโย้บอกว่าร้อยเวรยังไม่สะดวกยังอาบน้ำอยู่ แต่ชาวบ้านก็ไม่ย่อท้ออยู่เฝ้าจนในสุดตำรวจก็ยอมเปิดดู ปรากฏว่าเป็นอาวุธปืนยาวเถื่อนไม่มีทะเบียน พร้อมเครื่องกระสุน

ตัวแทนชาวบ้านและทหารผ่านศึกกล่าวต่อว่า เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ ชาวบ้านไปสอบถามถึงความคืบหน้าคดี ตำรวจ สภ.สลุย ก็พูดไม่ดี แถมต่อว่าชาวบ้านว่ามีแต่เรื่องวุ่นวาย ทำให้ตำรวจต้องเวลาไม่ต้องทำเรื่องอื่นกันแล้ว ทั้งๆที่จุดเกิดเหตุดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดของบริษัทหมดสัมปทานติดตั้งอยู่หลายตัว ซึ่งเป็นจุดที่

กล้องบันทึกภาพเห็นคนทิ้งปืนชัดเจน แต่พอชาวบ้านพวกเราทำผิดเล็กๆน้อยๆ บางเรื่องก็ผิดแบบ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตำรวจกลับยกโขยงกันไปตรวจสอบจับกุมดำเนินคดีเสร็จภายในวันเดียว ซึ่งทำคดีต่างกันยังกันหน้ามือหลังมือ เก่งแต่เฉพาะชาวบ้านเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีตำรวจบางคนมีพฤติกรรมทำตัวอยู่ข้างนายทุน คอยจ้องจะจับผิดแต่ชาวบ้านเท่านั้น

ด้าน พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร ได้ลงมาพบและพูดคุยกับตัวแทน กลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้าน พร้อมกับรับทราบปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นและได้ชี้แจงว่า จะสั่งการกำชับให้ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรมและตรง

ไปตรงมา ซึ่งตนเองได้รับรายงานจาก ผกก.สภ.สลุยแล้ว เรื่องคดีอาวุธปืนเถื่อนดังกล่าว ก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ตอนนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และทำหนังสือขอภาพกล้องวงจรปิดจากบริษัทดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากขอไปแล้วมีการประวิงเวลาหรือล่าช้า ก็จะให้ตำรวจใช้อำนาจเข้าไปตรวจสอบเองเลย และรับปากยืนยันว่าคดีนี้จะต้องรู้ผลภายใน 7 วัน

ภายหลังจากแกนนำ กลุ่มทหารผ่านศึกและชาวบ้าน ได้รับฟังคำชี้แจงและคำยืนยันจาก พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร ต่างก็พอใจและปรบมือให้ พร้อมกับกล่าวของคุณ พล.ต.ต.สมคะเน ที่ลงมาพบและพูดคุยชี่แจงทำความเข้าใจท่ามกลางวงล้อมชาวบ้าน ได้รับรู้กันทุกคน ก่อนจะพากันแยกย้ายกลับ และรอฟังคำตอบเรื่องความคืบหน้าของคดีภายใน 7 วันต่อไป.

****ท้ายคลิปมีเสียง พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผกก.สภ สวี ร่วมกับ พม.ชุมพร เร่งช่วยเหลือยาย 74 ประสบอุบัติเหตุ ถูกชนสาหัส ลูกพิการ/แม่เฒ่าวัย 74 ปี ร้องสื่อถูกรถชนขาหัก/รถรั้วชนแล้วหนีสองผัวเมียเจ็บสาหัส

ชุมพร, 7 มิถุนายน 2568 สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร (พม.ชุมพร) ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ คุณยายวัย 74 ปี ซึ่งประสบอุบัติเหตุถูกรถจักรยานยนต์ชนสาหัส จนไม่สามารถประกอบอาชีพและหาเงินเลี้ยงดูลูกชายพิการได้ ตามที่ช่อง AMARIN ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 พ.ต.อ.วิษณุ สุระวดี ผกก.สภ.สวี พร้อมด้วย นายอมร สุขแก้ว ผญบ. ม.5 ต.นาโพธิ์ และ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลนาโพธิ์ ได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจ นางแต๋ว กลิ่นอบเชย อายุ 74 ปี บ้านเลขที่ 400/12 ซ.สมัครใจราษฎร 8 ม.5 ต.นาโพธิ์ อ.สวี จว.ชุมพร

ซึ่งได้รับบาดเจ็บ จากการถูกรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน พร้อมได้มอบเงินช่วยเหลือ เบื้องต้นจำนวนหนึ่ง และได้ประสานผู้ที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป นางสาวจีรดา ธรรมาภิมุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร ได้มอบหมายให้ นางสาววรัชยา รินทะจะกะ นักจิตวิทยา ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดชุมพร ลงพื้นที่ร่วมกับเทศบาลตำบลนาโพธิ์ ณ บ้านเลขที่ 400/12 หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว จากการสอบถามข้อเท็จจริง คุณยายวัย 74 ปี เล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ขณะที่ตนกำลังเดินข้ามถนนได้มีรถจักรยานยนต์พุ่งชน ทำให้ขาซ้ายหัก 2 ท่อน และมีแผลฉีกขาดบริเวณนิ้วเท้า

โดยผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นชาวเมียนมา ซึ่งทำงานให้กับร้านขายข้าวแกงแห่งหนึ่ง คุณยายมีอาชีพทำขนมขาย เพื่อเลี้ยงดูตนเองและลูกชายวัย 44 ปี ที่ป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตรพิการเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน การประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ส่งผลให้คุณยายไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ทำให้ขาดรายได้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สร้างความเดือดร้อนอย่างหนัก ขณะที่คู่กรณีซึ่งเป็นชาวเมียนมา ทางนายจ้างรับผิดชอบเพียงค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น โดยไม่มีการเยียวยาค่าใช้จ่ายอื่นๆ และไม่มีการติดต่อสอบถามใดๆ คุณยายจึงร้องขอความช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในระหว่างที่ยังไม่หายเป็นปกติ พม.ชุมพรเร่งให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดชุมพร ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่คุณยายวัย 74 ปี ดังนี้:

พูดคุยให้กำลังใจ พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ ของคนพิการประสานสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร เพื่อให้ความช่วยเหลือตามภารกิจประสานเทศบาลตำบลนาโพธิ์ เพื่อติดตามให้ความช่วยเหลือตามภารกิจอย่างต่อเนื่องพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน จำนวน 3,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น พม.ชุมพร จะติดตามและให้ความช่วยเหลือคุณยายและลูกชายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด แจ้งถึงผู้ใจบุญร่วมบริจาคให้ยายแต๋ว กลิ่นอบเชย แม่สู้ชีวิตได้ที่ ธนาคาร ออมสิน ชื่อบัญชี นางแต๋ว กลิ่นอบเชย บัญชีเลขที่ 020264161413

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

ชุมพร – แม่เฒ่าวัย 74 ปี ร้องสื่อถูกรถชนขาหักช่วยตัวเองไม่ได้ยังต้องดูแลลูกชายป่วยติดเตียงที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่า ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514

แม่เฒ่าวัย 74 ทำขนมขายเลี้ยงลูกชายนอนป่วยติดเตียงหลังฉีดวัคซีนโควิด เมื่อสี่ปีที่แล้วมาเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซต์ชนขาหักสองท่อน ไม่สามรถช่วยเหลือตัวเองได้ อีกคน ที่เกิดเหตุบริเวณหลังสถานีรถไฟ สวี วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจาก ป้าแต๋ว กลิ่นอบเชย อายุ 74ปี บ้านเลขที่ 400/12 ซอย สมัครใจราษฎร์ 8 หมู่ที่ 5 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอ สวี จังหวัดชุมพร ถูกรถจักรยานยนต์ชนจนขาหักไม่สมารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและลูกที่ป่วยติดเตียวได้ นายภาณุพงศ์แก้วเพชรอายุ 44 ปีลูกชายป้าแต๋วป่วยจากการฉีดวัคซีนโควิดนอน ติดเตียงมาสี่ปีแล้ว ปกติรายจ่ายได้มาจากการทำขนมไปส่งขาย แต่มาเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเช่นตนต้องมาใช้ แพมเพิส เพราะตนไม่สามารถลุกขึ้นเข้าห้องน้ำได้ และยังมีของลูกชายอีกที่ป่วยมา 4 ปีกว่า

วอนสื่อเข้าดูแลช่วยเหลือขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลช่วยเหลือเนื่องจากโดนรถชน เมื่อ วันที่ 23 มิถุนายน 2568 จนขาหักไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้ไม่มีรายได้ที่จะเข้ามาจุนเจือเรื่องกินอยู่ที่พักอาศัยต่างๆก็ไม่มีโดยปัจจุบันได้เช่าอาศัยห้องอยู่เดือนละ 1700บาท เดือนนี้ก็ยังไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่าห้อง รายได้หลักก็ทำขนมไปฝากร้านร้านขายเลี้ยงชีพลูกสาวหลานสาวก็มีครอบครัวไปก็มีความลำบากเช่นกันจะต้องเจียดเวลามาพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาตัว

  นางสาวพรทิพย์ โสวรรณะ  อายุ 51ปี เล่าว่า  ส่วนคู่กรณีก็ได้แต่ชำระค่ารักษาอย่างเดียวโดยการชำระผ่านแอพไปล้างแผลเท่าไหร่ก็จ่ายผ่านแอพเท่านั้นค่าอาหารค่ากินอยู่ที่ต้องหยุดทำมาหากินก็ลำบากไม่มีรายได้ไม่มีรายรับเพราะไม่สามารถลุกขึ้นมาทำขนมออกไปขายได้   ส่วนลูกสาวก็มาดูแลน้องชายกับแม่โดยการหุงข้าวหุงปลาหาอาหารให้กินตามมีตามเกิดเพราะตนก็หาเช้ากินค่ำ  แม่มีอาชีพขายขนมแม่ทำขนมส่งที่ร้านพอดีวันนั้นเวลาตีห้ากว่าตอนเช้ามืดแม่ก็ออกไปส่งขนมเหมือนปกติทุกวันขณะที่ขากลับก็ได้ลากรถขนขนมกลับมามีพม่าขับรถมาทางด้านหลังแล้วก็ชนแม่ก็ล้มทั้งยืนคือทีนี้นายจ้างของเขา บอกว่าบัตรของพม่าชื่อนายจ้างไม่ใช่เป็นชื่อเขาเป็นชื่อนายเก่าของเค้าแต่นายจ้างเค้าก็จะรับผิดชอบได้แค่หลักค่ารักษาพยาบาลค่าเยียวยาเค้าไม่ให้ไม่ช่วยแต่ทีนี้ทางบ้านก็ลำบากแม่มาขาหักและน้องก็ติดเตียงอีกหนึ่งคนก็ลำบากมากเลยวอนหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือหน่อย ช่วยเยียวยารักษาให้ดีขึ้น จนกว่าแม่จะหายอาการที่ป่วยของแม่วันนี้ที่ถูกรถชนก็คือขาหักสองท่อนหักซ้ำกับข้างเดิมที่เคยหักมาก่อนแม่ก็อายุมากแล้วปีนี้ก็ 74 ปี  วันนี้หมอก็นัดไปตัดไหมและในวันที่ 25 ก็จะเข้าไปเอกซเรย์ดูบาดแผลอีกครั้ง ที่ รพ.ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์  ส่วนน้องชายที่ป่วยตอนแรกเป็นเส้นเลือดแตกตอนหลังก็ได้ทำกายภาพก็สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินเดินได้แล้วมาฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเข็มที่สองก็อาการแขนขาอ่อนแรงอาการติดเตียงมาจนถึงทุกวันนี้ก็ประมาณสี่ปีแล้วอยากฝากถึงหน่วยงานที่จะให้เข้ามาช่วยเหลือเข้ามาดูแล ความเป็นอยู่ของบ้านเราหน่อยเพราะบ้านก็ต้องเช่าในช่วงนี้แม่ก็ทำงานไม่ได้ก็ลำบากมากเลยส่วนตัวก็มีครอบครัว ซัพพอร์ตกันไม่ไหวรายได้ก็ไม่ค่อยดีคนชนเค้าก็ไม่ได้เยียวยาอะไรมากให้แต่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้นในขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานไหนเข้ามาดูแลมีแต่ชาวบ้านรอบข้างก็เข้ามาดูแลเยี่ยมเยียนเฉยเฉย  พ.ต.อ. วิษณุ สุระวดี  ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร สวี จังหวัดชุมพร  เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้ความคืบหน้าในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกับคู่กรณีซึ่งเป็นชาวพม่าประสานกับนายจ้างคือนายเทพนี่เค้าได้มาอยู่กับภรรยาร้านอาหารแห่งหนึ่งแต่ว่าไม่ได้ทำงานแล้วก็ทางเจ้าของร้านอาหารก็เข้ามาช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายค่าเสียหายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในเบื้องต้นซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน รอความเห็นจากแพทย์กรณีนี้เป็นกรณีที่คุณป้าขาหักจะต้องมีการดำเนินคดีข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสแล้วก็เรื่องของใบขับขี่เรื่องของพรบต่างๆซึ่งทราบจากทางสื่อมวลชนว่าคุณป้ามีค่าใช้จ่ายประจำวันในชีวิตแล้วก็ต้องดูแลลูกที่ต้องป่วยติดเตียงเพิ่มเติมอีก ก่อนอื่นขอแจ้งว่าทางร้อยเวรได้ประสานไปทางลูกสาวอีกท่านหนึ่งอยู่ตลอดอยู่แล้วแต่ว่าทางข้อมูลตรงนี้ทางตำรวจก็จะช่วยประสานฝ่ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นกองทุนในการดูแลผู้ประสบภัยจากรถแล้วก็ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากกรณีนี้ ไม่มีพรบ.ไม่มีเอกสารไม่มี พรบ.ใด   ช่วงป่ายของวันนี้ผมก็จะเข้าไปเยี่ยมดูแลในเบื้องต้นให้ความช่วยเหลือทางคุณป้าก่อนอายุเยอะแล้วน่าเห็นใจ ครับ เคส นี้จะดูแลให้เป็นพิเศษนะ

รถรั้วชนแล้วหนีสองผัวเมียเจ็บสาหัส ซ้ำหนักสุดรันทดไม่มีเงิน จะให้ลูกไปโรงเรียน

วันที่ 7 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากนางสาวกิตติยา มากสวีอายุ 39 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ว่าได้เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า Wave สีน้ำเงินทะเบียน 1 กช 6324 ชุมพรพร้อมกับนายสายัณห์ ปิ่นทองอายุ 52 ปีผู้เป็นสามี ขับรถออกไปเพื่อจะไปรับลูกลูกที่โรงเรียนพอมาถึงถนนในหมู่บ้านหมู่ที่ตำบลครน อำอำเภอสวี จังหวัดชุมพร บริเวณสามแยกบ้านครูจวนได้มีรถกระบะสีขาวเป็นรถรั้วไม่ทราบหมายเลขทะเบียนวิ่ง ข้ามเลนมาชนมอเตอร์ไซค์ที่กำลังขับไปรับนักเรียนที่โรงเรียนจนทำให้บาดเจ็บตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปถึงขาหักหลายท่อนและทำให้นายสายัณห์ ปิ่นทอง หัวไหล่หักและแขนหักได้รับบัตรเจ็บสาหัสทั้งสองคน

วอนสื่อตนและสามีเป็นเสาหลักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและให้เด็กเด็กนักเรียนไปโรงเรียนแต่มาเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้จึงไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้อยากให้หน่วยงานช่วยเหลือให้ลูกลูกได้มีเงินไปโรงเรียนและได้ดูแลตนและสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งสองคน จากกรณี วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 15.47 น. ว่าที่ พันตำรวจตรี ชินวงค์ อินทร์ทอง ส.ว. (สอบสวน) สภ. สวีได้รับแจ้ง คณะปฏิบัติหน้าที่สอบสวนเวร รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ. สวี ว่าเกิดเหตุรถเฉี่ยวชน กัน รถได้รับความเสียหายมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่ เกิดเหตุ ที่เกิดเหตุ สามแยกครูจวน ถนนในหมู่บ้าน หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอ สวี จังหวัดชุมพรมื่อไปถึงพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ แซด สีน้ำเงินทะเบียน 1 กช 6324 ชุมพร ตรวจสอบ พบร่องรอยเฉี่ยวชนเสียหายผู้ขับรถและคนซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บมีรถพยาบาลนำส่งโรงพยาบาลสวี ส่วนคู่กรณีไม่พบในที่เกิดเหตุได้ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุถ่ายภาพที่เกิดเหตุวาดภาพที่เกิดเหตุไว้แล้วนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาตรวจสอบสภาพตามระเบียบดูผู้ขับ รถจักรยานยนต์ที่โรงพยาบาลสวีทราบชื่อ ผู้ขับรถนายสายัณห์ ปิ่นทองอายุ 52 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบล ครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพรคนซ้อนท้ายนางสาวกิตติยา มากสวี อายุ 39 ปีที่อยู่ 4/2 หมู่ 1 ตำบลควนอำเภอสวีจังหวัดชุมพรได้รับอันตรายแก่กายอยู่ระหว่างรักษาของแพทย์ไม่สามารถให้การได้จึงกลับมาลงประจำวันไว้เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

ผู้สื่อข่าว เดินทางไป โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เพื่อ พบนายสายัณห์ปิ่นทองและนางสาวกิตติยามากเสวีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นางสาวกิตติยาเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าตนเป็นห่วงลูกลูกสองคนที่กำลังเรียนหนังสือมาเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้จึงไม่มีรายได้เพื่อจะส่งให้นักเรียนได้ไปโรงเรียนและดูแลเด็กเด็กในตอนนี้ได้ฝากให้นางอารี ปิ่นทอง ผู้เป็นย่า และนางสาวจรรยา ปิ่นทองเป็นอาดูแลเด็กเด็กและรับส่งนักเรียน ซึ่งเป็นห่วงการเล่าเรียนของเด็กเด็กที่จะไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะไม่มีรายได้ที่จะให้นักเรียนไปโรงเรียน วอนผู้ใจบุญ ช่วยค่าใช้จ่ายให้นักเรียนไปโรงเรียนช่วยได้ที่ ธนาคาร กรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.กิตติยา มากสวี บัญชีเลขที่ 823-0-22836-1 ส่วนนายสายัณห์ ปิ่นทองเล่าว่าตนได้ขับรถซ้อนภรรยาเพื่อที่จะออกไปโรงเรียน นาเหรี่ยง เพื่อที่จะไปรับเด็กชายกฤษกรปิ่นทองอายุเก้าปีอยู่ชั้น ป. 3 และได้มาเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้แขนหักหัวไหล่หักและยังมีกระดูกซี่โครงทิ่มปอดรอทางโรงพยาบาลจะดำเนินการผ่าตัดให้ในวันที่
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 93 หมู่ 4 ตำบลครน อำเภอสวี จังหวัดชุมพรเพื่อพบนางจรรยา ปิ่นทองผู้เป็นอาและได้สอบถามว่าเด็กเด็กได้อยู่ที่บ้านมีใครดูแลบ้างแจ้งว่าอยู่กับคุณย่าและตนโดยที่เด็กหญิง เอ อายุ 13 ปีเรียนอยู่ชั้น ม. 1 และเด็กชายบี อายุ 9 ปี เป็นนักเรียนชั้น ป. 3 ส่วนอาก็จะมาดูแลในช่วงที่ว่าพ่อแม่เค้าเกิดอุบัติเหตุเพื่อที่จะมาส่งเด็กเด็กไปโรงเรียนปกติแล้วก็จะเป็นพ่อแม่เขาที่พาลูกลูกไปโรงเรียนและหารายได้และในช่วงนี้ก็มาเกิดอุบัติเหตุคิดว่าคงจะลำบากเรื่องการไปโรงเรียนเพราะพี่ชายและพี่สะใภ้เค้าเป็นเสาหลักในการหาเงิน มาเลี้ยงครอบครัว

นางสาวจรรยา ปิ่นทอง ผู้เป็นอาเล่าว่าในวันที่เกิดเหตุมีมอเตอร์ไซค์ขับรถตามมาเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการเฉี่ยวชนแจ้งว่าพี่ชายได้ขับรถออกมาจากบ้านพอมาถึงสามแยกก็จะเลี้ยวซ้ายเพื่อที่จะไปโรงเรียนนาเรียงเพื่อรับลูกลูกแต่มีรถสวนเข้ามาจากทางสามแยกและข้ามเลนมาชนพี่ชายทำให้เกิดบาดเจ็บสาหัส สองคนและคนเห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่าเป็นรถกระบะโตโยต้า มีรั้วแบบเตี้ยอยู่บนกระบะ เป็นรถสี ขาวตอนเดียวได้เฉี่ยวชนกับมอเตอร์ไซค์แล้วหลบหนีไปเบื้องต้นไม่สามารถจดจำทะเบียนรถได้แต่ได้สอบถามชาวบ้านแถวนั้นทราบว่ารถคันดังกล่าวได้วิ่งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจำจึงได้แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อติดตามเจ้าของรถคันดังกล่าวมารับผิดชอบต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /กลุ่มพลังมวลชน แนวหลัง นำพริกแห้ง กะปิ สิ่งดำรงชีพ บุกเข้าชายแดนช่องพระพะลัย จุด “ฐานปฏิบัติการพนมกันตุง” กองร้อย ทพ.2609 ให้กำลังใจ

บ่ายของวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ ฐานปฏิบัติการพนมกังตุง จุดชมวิวช่องพระพะลัย ทางเข้าสู่ช่องกะบาลกะไบ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าพืชพนมดงรักจังหวัดศรีสะเกษ อำเภอขุนหาญ ดินแดนที่มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ที่สุดในอีสานใต้ โดยเป็นที่ตั้งของ อนุสาวรีย์ ร้อยตรี พิชิต ศรีคงรัก ผบ.กองร้อยทหารพรานที่2609 ที่สู้รบกับกองกำลังต่างชาติ ที่จะบุกรุกเข้ามายึดแผ่นดินไทย ด้วยการสู้จนต้องพลีชีพตนเพื่อรักษาดินแดนไทย เอาไว้ให้ลูกหลานชาวศรีสะเกษ ไว้ให้ประเทศไทย โดยบ่ายของวันนี้ ได้มีกลุ่มพลังมวลชน ทั้งภาครัฐ – เอกชน กลุ่มธนาคารฯ กลุ่มแพทย์แผนไทยอำเภอขุนหาญ สภาเกษตรกรจังหวัดศรีสะเกษ อื่นๆ

ได้รวบรวมพริก เกลือ น้ำปลา กะปิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง รวมทั้งทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ อื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพมามอบให้ กองกำลังทหารพราน “ฐานปฏิบัติการพนมกันตุง” กองร้อย ทพ.2609 ให้กำลังใจให้กับทหารที่รักษาพรมแดน ตามแนวชายแดน – กัมพูชา โดยมี นาย ธนัชกฤศ บุดดีเสาร์ ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอขุนหาญ ผู้แทนนายอำเภอฯ มาเป็นเกียรติในการเป็นประธานมอบ ให้กับ ร้อยเอก บัณฑิต โยดิน ผู้บังคับกองร้อย ทพ.2609 ตัวแทนของกองกำลังทหารพราน ฐานปฏิบัติการพนมกันตุง กองร้อย ทพ.2609 ที่ปักหลักรักษาดินแดนไทย อยู่ตามแนวชายแดนตรงจุดนี้


นาย ธนัชกฤศ บุดดีเสาร์ ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอขุนหาญ ผู้แทนนายอำเภอฯ กล่าวว่า วันนี้ในนนามของอำเภอขุนหาญ ต้องขอบคุณทุกท่าน ทุกองค์กร ที่มองเห็นทหารที่รักษาอธิปไตยอยู่ตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา อยู่ในขณะนี้ แม้ว่าวันนี้จะไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรงใดๆ แต่ทหารทุกหน่วย ทุกเหล่า ก็ยังคงยืนหยัดที่จะรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ ขณะที่ทุกท่านที่อยู่แนวหลัง ก็ไม่ได้นิ่งเฉย ยังคิดถึงทหารทุกคน ก็ได้พยายามรวบรวมสิ่งของต่างๆ มามอบให้ทหารด้วยความรัก อย่างแท้จริง ต้องขอขอบคุณทุกคนด้วย

โดย ร้อยเอก บัณฑิต โยดิน ผู้บังคับกองร้อย ทพ.2609 กล่าวขอบคุณ ว่า ผมเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่2609 วันนี้ก็มีความภาคภูมิใจ ที่มีคนรู้ใจ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งภาครัฐ – ภาคเอกชน ซึ่งทุกคนก็รักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน แต่การปฏิบัติจะไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ทหารก็ทำอีกอย่างหนึ่ง ส่วนราชการ หรือภาคเอกชน ประชาชน ก็ทำอีกอย่างหนึ่ง แล้วเมื่อถึงคราวที่เราต้องรักษาอธิปไตย คนไทยของเราจะแสดงออกถึงความรักชาติ

ซึ่งจุดนี้ผมมองเห็นแล้ว ผมก็ภาคภูมิใจ สิ่งของที่พวกท่านได้นำมามอบให้ในวันนี้ เป็นอำนาจกำลังรบให้กับพวกผม อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน ซึ่งก็คือสิ่งที่มามอบให้เหล่านี้แหละ ทำให้มีกำลังใจอึดสู้ ที่จะรักษาอธิปไตยให้กับชาติไทยของเรา ยังคงมีอธิปไตยของเราอยู่สืบต่อไป ขอบคุณทุกท่านด้วยความจริงใจ ครับ
//////////////////////////ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯจ.ศรีสะเกษ เป็นประธานในการแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจังหวัดศรีสะเกษ

***เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 มิ.ย. 68 ที่ห้องประชุมโครงการชลประทานศรีสะเกษ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธานในการแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเป็นการซักซ่อมการทำงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพื้นที่ส่วนหลัง เพื่อให้แต่ละส่วนมีความพร้อมในทุกๆด้านเมื่อเกิดเหตุการความไม่สงบในชายไทย-กัมพูชา ของจังหวัดศรีสะเกษ ขึ้นมา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมประชุมในครั้งนี***หลังจบการประชุม นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ภาพรวมในพื้นที่ชายแดนของจังหวัดศรีสะเกษยังคงปกติดี โดยมี 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอกันทรลักษณ์ อำเภอภูสิงห์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอขุขันธ์ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยกลุ่มที่ 1 ที่ใกล้พื้นที่ชายแดนมากที่สุด ซึ่งจากการลงพื้นที่ชายแดนพี่น้องประชาชนด้านชายแดนทุกคนยังมีขวัญและกำลังที่ดี ชาวบ้านทุกคนรู้หน้าที่ที่ดีว่าจะทำอะไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น พี่น้องในพื้นที่ชายแดนต่างตื่นรู้ แต่ไม่ตื่นกลัวกับเหตุการ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทางจังหวัดศรีสะเกษของเราพร้อมที่เข้าไปช่วย และสนับสนุนในสิ่งที่พี่น้องประชาชนขาดในทุกๆด้าน


***ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวต่อไปอีกว่า ในส่วนของหลุมหลบภัยในพื้นที่ตอนนี้ ได้มีการสั่งการให้นายอำเภอ ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ เข้าไปตรวจดู ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน จุดไหนยังไม่พร้อม ก็จะได้ส่งกำลัง เครื่องจักร เข้าไปช่วยเหลือ โดยตอนนี้มี อบจ.ศรีสะเกษ ได้ส่งชุดเครื่องจักรกลหนัก เข้าพื้นที่ชายแดนแล้ว เพื่อช่วยปรับปรุงพื้นที่ ซ้อมแซ่ม หลุ่มหลบภัยที่พัง ชำรุดเสียหาย แต่ยังไม่มีการสร้างหลุมหลบภัยเพิ่มเติม ทั้งนี้อย่างจะฝากถึงพี่น้องตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ว่า ไม่ต้องห่วงเพราะทางจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมที่จะช่วยเหลือ สนับสนุน พี่น้องประชาชนทุกคน นอกจากนี้พี่น้องที่อยู่นอกพื้นที่ก็ห่วงใย และพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกเมื่อ ดังคำว่า พี่น้องศรีสะเกษ ไม่ทิ้งกัน
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง