สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / หอการค้าไทยมอบ “ผู้ว่าสำเภาทอง” กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาตลาดอินโดจีนที่ถูกแช่แข็งนานนับ 6 ปี

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567​ ขอแสดงความยินดี​ กับท่านผู้ว่าวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัมุกดาหาร ในโอกาสรับรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด สำเภาทอง ประจำปี 2567จากหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย.เป็นประธานมอบรางวัลสำเภาทอง แด่ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับรางวัลฯ

โดย นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ได้รับรางวัลสำเภาทองครั้งนี้ด้วย พิธีจัดขึ้น ในการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 “สร้างไทยให้เติบโต สู่อนาคตที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 22-24 พฤศจิกายน พ.ศ.2567 ณ.ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุช

นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และ ดร.กานต์พนธ์ เตชะเดชอภิพัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดมุกดาหาร พร้อมคณะกรรมการเดินทางไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายน 567 ณ สวนนงนุช จังหวัดชลบุรี เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับนายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหารที่ได้รับ

“ผู้ว่าสำเภาทอง” จากการคัดเลือกสุดยอดผู้บริหารระดับจังหวัดของหอการค้าไทยประจำปี 2567 รางวัล “สำเภาทอง” ของหอการค้าไทยสื่อถึงความมุ่งเน้นในการพัฒนาจังหวัด เพื่อสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ให้แก่พี่น้องประชาชนมีอยู่มีกินมีใช้ไม่ขัดสน ทั้งการพัฒนาบ้านเมืองให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของพื้นที่อีกทางหนึ่ง

รางวัล “สำเภาทอง” นับเป็นรางวัลที่หอการค้าไทย ได้ริเริ่มจัดขึ้นเมื่อปี 2553 เพื่อมอบรางวัลให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้มีผลการดําเนินงานที่ส่งเสริมภาคเอกชน ด้านการค้า การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ โดยผ่านหอการค้าจังหวัดสู่หอการค้าไทย เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความร่วมมือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในพื้นที่ เริ่มโดยนายภมร เชาว์ศิริกุล อดีตประธานหอการค้า ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมุกดาหาร (สว.) ส่งต่อมายังนายกานต์พนธ์ เตชะเดชอภิพัฒน์ ประธานหอการค้าคนปัจจุบัน จนบรรลุได้รับรางวัลดังกล่าว

ผลงานที่เกิดขึ้นจากการเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาตลาดอินโดจีนที่ค้าเติ่งถูกแช่แข็งมาหลายผู้ว่านานร่วม 5 – 6 ปี เมื่อนายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เดินทางมาถึงก็ศึกษาพร้อมเข้าร่วมโครงการพัฒนาตลาดอินโดจีนทันที ส่งผลให้งบที่ถูกตัดไปหลายปี กลับคืนและมีการพัฒนาต่อยอดแม้ภายหลังงบจะถูกตัดไปอีกครั้ง

แต่ก็ยังสามารถขอกลับคืนเพื่อพัฒนาตลาดอินโดจีน เป็นครั้งที่ 3 ในปี 67 – 68 จังหวัดมุกดาหารได้รับงบประมาณการพัฒนาตลาดอินโดจีนเข้ามาอีก 57 ล้านบาท ผู้รับจ้างอยู่ระหว่างการประกอบชิ้นส่วนการก่อสร้างพัฒนาต่อ แม้จะมีเหตุจากข้อขัดข้องแต่จังหวัดมุกดาหารก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตลาดอินโดจีนให้สำเร็จลงโดยเร็ว คาดว่าโครงการพัฒนาตลาดอินโดจีนจะสำเร็จในห้วง นายวรญาณ บุญณราช ดำรงตำแหน่งอยู่ที่มุกดาหารก่อนจะย้ายไปอย่างแน่นอน

ประชาชนชาวมุกดาหารจึงหวังว่า การพัฒนาตลาดอินโดจีนรอบที่ 3 นี้จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี คนมุกดาหารจะได้เกิดความภาคภูมิใจความรุดหน้าการพัฒนาตลาดอินโดจีน เพื่อเศรษฐกิจในพื้นที่จะได้ฟื้นตัวกลับมาดังเดิม อย่างไรเสียการเรียกร้องให้มีการพัฒนาตลาดอินโดจีนเกิดขึ้นในหลายผู้ว่าราชการจังหวัดกระทั้งนายวรญาณ บุญณราช ผวจ.คนล่าสุดได้เข้ามาดำเนินการส่งผลให้การพัฒนาตลาดอินโดจีนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เต็มเปี่ยม มิใช่ปล่อยตลาดอินโดจีนถูกแช่แข็งทิ้งไว้นานกว่า 6 ปี ทำจังหวัดมุกดาหารเสียหายหนัก

การจัดกิจกรรมงานอีเว้นท์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างงานสร้างเงินให้กับประชาชนในพื้นที่ สร้างการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นแก่จังหวัดมุกดาหารและคนในท้องถิ่น ทุกภาคส่วนมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ ทั้งการปลุกเศกพระโดยรวมยอดเกจิดังแห่งยุค ณ วัดภูมโนภิรมย์ จังหวัดมุกดาหาร หลายครั้งหลายครานับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสายบุญ สายธรรมะ ที่จะมีบรรดาสานุศิษย์ของบรรดาเกจิอาจารย์ดังมาร่วมจำนวนมากนับพันนับหมื่นคน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความเหมาะสมที่ “ผู้ว่าสำเภาทอง” จะอยู่ในมือของนักพัฒนา ดังเช่น นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร ท่านนี้ และจากผลงานการพัฒนาที่เฉียบพลันทันที จะส่งผลให้ผู้ว่า “สำเภาทอง” คนใหม่ของมุกดาหารก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในหน้าที่การงานต่อไป​ศูนย์ข่าวมุกดาหาร

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กระทรวงการต่างประเทศ กรมอาเซียน ส่งมอบห้องสมุดอาเซียน แห่งที่ 72 โรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม บึงกาฬ / ร่วมใจจัดงานไหว้สักการะศาลเจ้าแม่สองนางสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

เวลา 11.00 น. เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 โรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ นางปวรี ชูโต ชัยปฎิยุทธ รองอธิบดีกรมอาเซียน เป็นประธานในพิธี นางสาวลลนา จิตต์ศรัทธานันท์ เลขานุการกรมอาเซียน ร่วมส่งมอบห้องสมุดอาเซียน แห่งที่ 72 ให้กับโรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมอาเซียน ได้เห็นความสำคัญของการศึกษาซึ่งห้องสมุด จะเป็นแหล่งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และรับรู้เกี่ยวกับอาเซียน อันจะเป็นประโยชน์สำหรับเยาวชน คณาจารย์

ชาวชุมชนในพื้นที่ และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมี นายวีระพล ทองน้อย ปลัดอำเภอบึงโขงหลง นายเดชา แสงจันทร์ ผอ.โรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม นายรวิภาส วันตา ผอ.โรงเรียนบ้านบัวโคก นายสุวัฒน์ อินทวงศ์ ผอ.โรงเรียนโสกก่ามวิทยา นายจักรพงษ์ แสนทวีสุข รองผอ.โรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และคุณครู นักเรียน ประชาชน ร่วมในพิธี สำหรับห้องสมุดอาเซียนมีอุปกรณ์ส่งเสริมการเรียนรู้ ได้แก่ หนังสือ นิทรรศการประชาคมอาเซียน สื่อการเรียนการสอน จอภาพสำหรับใช้ในการเรียนการสอน คอมพิวเตอร์สำหรับค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน

นางปวรี ชูโต ชัยปฎิยุทธ รองอธิบดีกรมอาเซียน กล่าวว่า ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุนการศึกษาและสร้างวัฒนธรรม การเรียนรู้สำหรับเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับอาเซียนสำหรับชุมชนที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ ทั้งนี้ กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินโครงการห้องสมุดอาเซียน 1 จังหวัด 1 โรงเรียน 1 ห้องสมุดอาเซียน เพื่อประชาชนและเยาวชนไทย มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 โดยปัจจุบันได้ส่งมอบห้องสมุดอาเซียนให้แก่โรงเรียนต่างๆแล้ว จำนวน 71 แห่ง

ซึ่งได้พิจารณาคัดเลือกโรงเรียนทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน สำหรับเป็นสถานที่ตั้งของห้องสมุดอาเซียน เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้และจัดกิจกรรมเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนให้แก่เด็กและเยาวชนคณาจารย์และชุมชนในพื้นที่ สำหรับปี 2567 กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ได้สร้างห้องสมุดอาเซียนให้โรงเรียนอีก 3 แห่ง รวม74 แห่ง ใน 74 จังหวัด โดยตั้งเป้าให้มีห้องสมุดอาเซียนทุกจังหวัดทั่วประเทศ

โรงเรียนบึงโขงหลงวิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 มีจำนวนนักเรียน 1,197 คน และเป็นโรงเรียนแห่งที่ 72 ที่ได้รับมอบห้องสมุดอาเซียน ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

บึงกาฬ ร่วมใจจัดงานไหว้สักการะศาลเจ้าแม่สองนางสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
วันที่ 24 พ.ย. เวลา 07.00 น.ที่บริเวณศาลเจ้าแม่สองนาง ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ นายวรพันธุ์ ชำนิยัน ปลัดจังหวัดบึงกาฬ ,นางแว่นฟ้า ทองศรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ , นายราชันย์ วนาพรหม นายกเทศมนตรีเมืองบึงกาฬ , พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนพร้อมใจกันสวมเสื้อสีแดงตามประเพณี ร่วมกันทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ และประกอบพิธีไหว้สักการะศาลเจ้าแม่สองนาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดบึงกาฬ ประจำปี 2567

จากนั้นได้มีขบวนแห่เครื่องบวงสรวงสักการะ และเชิญองค์จำลองเจ้าแม่สองนาง ปู่ผ้าขาว เจ้าพ่อคำแดง จากบริเวณศาลฯ หน้าโรงพยาบาลบึงกาฬ และพานบายศรีสู่ขวัญ และนางรำ แห่ไปตามถนนสายต่างๆ รอบเขตเทศบาลเมืองบึงกาฬ หลังจากนั้นพ่อพราหมณ์ ได้เริ่มพิธีสวดบวงสรวงสักการะศาลเจ้าแม่สองนาง และการรำบวงสรวงของพี่น้องประชาชนชาวบึงกาฬ โดยภายในงาน มีโรงทาน ให้บริการอาหารเครื่องดื่มมากกว่า 100 โรงทาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก

นายจำรัส ติดมา นายกสมาคมศาลเจ้าแม่สองนาง กล่าวว่า ศาลเจ้าแม่สองนางเป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองชาวจังหวัดบึงกาฬมาตั้งแต่ก่อตั้งเมืองบึงกาฬ เป็นที่เคารพกราบไหว้สักการะบูชาของคนทั่วไป เพื่อขอพรให้เดินทางปลอดภัย มีโชคลาภ สุขภาพแข็งแรง คุ้มครองปกปักรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข ค้าขายร่ำรวย ศาลเจ้าแม่สองนางตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ ชาวอำเภอบึงกาฬ จึงได้กำหนดจัดงานวันไหว้สักการะ ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งในครั้งนี้เป็นปีที่ 18 โดยมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระ และจัดเครื่องไหว้สักการะเพื่อบวงสรวงตามความเชื่อ และศรัทธาที่สืบทอดกันมายาวนาน ถือเป็นจารีตประเพณีท้องถิ่นของชาวจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการจัดงาน

เพื่อส่งเสริมให้คนในท้องถิ่น ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมวันไหว้สักการะศาลเจ้าแม่สองนาง แสดงออกถึงความรักความสามัคคีในชุมชน และสืบทอดจารีตประเพณีท้องถิ่นของชาวจังหวัดบึงกาฬ ส่งเสริมให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวตระหนักในความสำคัญและเห็นคุณค่าของจารีตประเพณีท้องถิ่น และสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ ประชาชนรักท้องถิ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสงบสุข และที่สำคัญชุมชนได้ทำกิจกรรมต่างๆ

ร่วมกันนั่นเองศาลเจ้าแม่สองนาง เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพศรัทธาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องชาวบึงกาฬ มีความสำคัญมาช้านาน ผู้คนที่ผ่านไป-มา ได้กราบไหว้บูชา ขอพร ให้เจริญรุ่งเรือง รวมถึงพี่น้องจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็มีความเคารพบูชา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการจัดงานไหว้สักการะศาลเจ้าแม่สองนางในปีนี้ ทุกท่านได้แสดงออกถึงความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายที่

จะร่วมกันแสดงออกถึงความเคารพ ศรัทธา ขอบารมีขององค์เจ้าแม่สองนาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ จงดลบันดาลให้ทุกท่าน มีสุขภาพที่แข็งแรงมีสุขภาพจิตที่ดี นอกจากนี้ยังมีโรงทานให้บริการอาหาร เครื่องดื่ม แก่ประชาชนที่มาร่วมในงาน ได้อิ่มท้องอิ่มบุญกันทั่วหน้า ซึ่งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยสนุกสนาน คึกคัก เกิดความสามัคคี ที่ได้ร่วมสืบทอดจารีตประเพณีท้องถิ่นของชาวจังหวัดบึงกาฬร่วมกันนั่นเอง.
ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / รพ.ประจวบฯ จัดกิจกรรมตรวจเบาหวาน ฟรี! ให้ครูและนักเรียนเนื่องในวันเบาหวานโลก /รถตู้ตำรวจพาผู้ป่วยจิตเวชชนท้ายเทรลเลอร์ดับ 3

เมื่อวันที่ 21 พ.ย.67 โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ จัดกิจกรรมเนื่องในวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) ประจำปี 2567 “สุขกาย สุขใจ โลกสดใส ใส่ใจเบาหวาน” ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตระหนักภัยร้ายสุขภาพ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเบาหวาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ นำโดย แพทย์หญิงมัลลิกา ธรรมาเจริญราช อายุรแพทย์ และทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และนักโภชนาการ มีกิจกรรมประกอบด้วย การประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2

โดยการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด วัดความดันโลหิต วัดรอบเอว การประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวาน การรับประทานอาหารโดยมุ่งเน้นให้นับ Carb ในการรับประทานอาหารของแต่ละบุคคลในแต่ละวันเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และสแกนคิวอาร์โค๊ด ลงข้อมูลในแอปพลิเคชั่น “รมต.พานับคาร์บ” แบบฟอร์มสำรวจการนับคาร์บ ปี 2567 “ลดแป้ง พร่องน้ำตาล เบาหวานรักษาหาย” สอนวิธีการอ่านฉลากอาหาร ส่งเสริมด้านการออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมและการเข้าถึงข้อมูล

ทางด้านสุขภาพที่ถูกต้อง ตอบปัญหามอบรางวัลเรื่องโรคเบาหวาน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย คณะครูและนักเรียน จำนวน 62 คน ที่ห้องโสตทัศนศึกษา ชั้น 1 อาคาร 5 โรงเรียนประจวบวิทยาลัย โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของทั่วโลกและมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเกิดจากการดำเนินชีวิตและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ข้อมูลจาก IDF Diabetes Atlas พบว่า 1 ใน 10 คน ทั่วโลกป่วยด้วยโรคเบาหวานมากถึง 537 ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า 4 ล้านคนต่อปี คาดว่า ภายในปี 2573 จะเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคน และภายในปี 2588 จะเพิ่มมากถึง 783 ล้านคน ผู้ป่วยโรคเบาหวานมากกว่า 90% เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2

และเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่ได้รับการวินิจฉัย สำหรับประเทศไทยพบว่า 1 ใน 10 คน ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 6.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และร้อยละ 40 ที่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย จะเห็นได้ว่าปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีใจความส่วนหนึ่งในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 เน้นย้ำให้ใช้เครือข่ายสาธารณสุขในการมีส่วนร่วมป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายในการส่งเสริมให้คนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสม โดยมุ่งเน้นให้คนไทยนับ Carb ในการรับประทานอาหารของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อโดยขับเคลื่อนผ่านกลไกอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็นต้องดูแลและจัดการตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขได้โดยการจัดการสุขภาพด้านร่างกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยง. นายนิพล ทองเก่า นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

รถตู้ตำรวจพาผู้ป่วยจิตเวชชนท้ายเทรลเลอร์ดับ 3 เมื่อเวลา 02.20 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 พ.ต.ท.จักราวุธ กลางคาร สารวัตรสอบสวน สภ.ห้วยยาง รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถตู้ชนท้ายรถเทรลเลอร์มีผู้เสียชีวิตหลายราย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชา พ.ต.อ.วีระพัฒน์ เกตุษา ผกก.สภ.ห้วยยาง เดินทางไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วย นายราม สิงหโศภิษฐ์ นายอำเภอทับสะแก กู้ชีพโรงพยาบาลทับสะแก กู้ชีพ อบต.ห้วยยาง อาสาสมัครกู้ภัยสว่างรุ่งเรืองธรรมสถาน บริเวณถนนเพชเกษม หลักกิโลเมตร 330 ขาล่องใต้ ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์

พบรถตู้ยี่ห้อโตโยต้าสีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ก – 0650 ชุมพร ชนท้ายรถบรรทุกเทรลเลอร์ยี่ห้อฮีโน่ ทะเบียน 71 – 9704 พระนครศรีอยุธยา สภาพรถด้านหน้ายุบตัวกระจกแตก อาสากู้ภัยใช้เครื่องตัดถ่างเพื่อแยกตัวรถออกจากกัน และนำตัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกมา มีนายมนัต ชูเยาว์ อายุ 52 ปี ชาวจังหวัดชุมพร เป็น อส.กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดชุมพร เป็นผู้ขับขี่รถตู้ เสียชีวิตคาที่ สภาพลำตัวอัดติดกับพวงมาลัยยุบถึงคอนโซล จ.ส.ต.กิตติพันธ์ ขวัญสมคิด อายุ 39 ปี ตำแหน่งสังกัด ตชด.41 ช่วยราชการชุดปราบปรามยาเสพติด

กองบังคับการสืบสวนจังหวัดชุมพร นั่งข้างคนขับเสียชีวิต นายเกรียงไกร รุ่งช่วง อายุ 52 ปี พนักงานขับรถยนต์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชุมพร เสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บคือ ด.ต.สุรศักดิ์ ขันธศิลป์ อายุ 47 ปี ชุดปราบปรามยาเสพติดกองบังคับการสืบสวนจังหวัดชุมพร อาการบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลทับสะแก ส่วนคนขับรถเทรลเลอร์นายแผน พันธิ์รุณ อายุ 52 ปี ไม่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการทำงาน

สอบสวนทราบว่า รถตู้คันดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ชุด ปปส. ได้รับการประสานจากญาติผู้ป่วยจิตเวชเพื่อนำไปรักษาอาการป่วยที่นครปฐม จึงได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ 4 นาย เพื่อควบคุมความสงบ นำตัวผู้ป่วยเดินทางจากจังหวัดชุมพรไปรักษาอาการป่วยที่นครปฐม เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจจึงได้เดินทางกลับชุมพร เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นที่มืดและเปลี่ยว ประกอบกับคนขับมีอาการล้าจากการเดินทาง จึงชนอย่างจังเข้าที่ท้ายรถเทรลเลอร์ที่วิ่งอยู่เลนซ้าย

และลากไปไกลกว่า 100 เมตร กว่าที่คนขับเทรลเลอร์จะรู้สึกตัว คาดว่าสาเหตุเกิดจากการหลับใน หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ผู้โดยสารในรถคือ ด.ต.สุรศักดิ์ ขันธศิลป์ ยังรู้สึกตัว จึงคนโทรศัพท์แจ้ง 191 เพื่อแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ
นายนิพล ทองเก่า นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จิตอาสาคลองสาน และพัฒนาแหล่งน้ำ “คลองวัดสุวรรณ ฝั่งใต้” เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า)

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ที่ลานด้านหน้าบริเวณคลองวัดสุวรรณ (ฝั่งใต้) แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน จังหวัดกรุงเทพมหานคร นายสรสิช เหลืองรุ่งเกียรติ ผู้อำนวยการเขตคลองสาน เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาทำความสะอาดปรังปรุงภูมิทัศน์ และพัฒนาทำความสะอาดแหล่งน้ำสาธารณะคลองวัดสุวรรณ (ฝั่งใต้) ด้านชุมชนซอยวนาวรรณ

โดยมีนางปาณิสรา เนตรธารธร ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตคลองสาน คณะผู้บริหารเขตคลองสานและสัสดีเขตคลองสาน กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กองพันสารวัตรทหารที่ 11 มณฑลทหารบกที่ 11 สถานีตำรวจนครบาลสมเด็จเจ้าพระยา สถานีตำรวจนครบาลปากคลองสาน สถานีตำรวจนครบาลบุปผาราม กองบังคับการตำรวจน้ำ หัวหน้าจิตอาสา เขตคลองสาน กรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดินชุมชนซอยวนาวรรณ คณะกรรมการชุมชนซอยวนาวรรณ ชาวชุมชนซอยวนาวรรณ เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตคลองสาน และประชาชนจิตอาสา ร่วมกันทำกิจกรรม

นายสรสิช เหลืองรุ่งเกียรติ ผู้อำนวยการเขตคลองสาน กล่าวว่า การจัดโครงการจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาทำความสะอาดปรังปรุงภูมิทัศน์ และพัฒนาทำความสะอาดแหล่งน้ำลำคลองสาธารณะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (วันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า)  ซึ่งตรงกับวันที่25 พฤศจิกายน ของทุกปี
เพื่อเป็นการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดีของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า และสร้างความปรองดอง สามัคคีร่วมมือร่วมใจ ประกอบกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนรวม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มีความรักความผูกพัน ใน 4 สถาบันหลัก คือสถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชน ภายหลังพิธีเปิดเสร็จสิ้น ประธานในพิธีได้นำคณะ จิตอาสา พัฒนาทำความสะอาด ลำคลองวัดสุวรรณ จัดเก็บวัชพืชขยะต่างๆในลำคลอง รวมทั้งตัดแต่งกิ่งไม้ต่างๆ ก่อนจะเดินทางไปร่วมรณรงค์ป้องกันไข้เลือดออกชุมชนซอยวนาวรรณ พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ขวัญหทัย ชลสุข ประธานชุมชนซอยวนาวรรณ

ประธานกองทุนแม่ของแผ่นดินชุมชนซอยวนาวรรณ และกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดินชุมชนซอยวนาวรรณ ร่วมกันป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก โดยนำทรายอะเบท หยอดใส่ตามแหล่งน้ำต่าง ๆภายในชุมชน เพื่อเป็นการกำจัดต้นตอลูกน้ำยุงลายในบริเวณที่มีน้ำขัง ภายในพื้นที่ชุมชนซอยวนาวรรณ

ภาพ/ข่าว โดย นาย วีระพล แซ่เล้า
เด​วิท​ โชคชัย​ รายงาน​092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / สหกรณ์การเกษตรเมืองน่านประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ณ ห้องประชุมกระซิบสหกรณ์การเกษตรเมืองน่าน จำกัด

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องประชุมกระซิบรักสหกรณ์การเกษตรเมืองน่าน จำกัด ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นายภูรินท์ สูงสว่าง ประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์การเกษตรเมืองน่าน จำกัด กล่าวรายงานต่อนางวจิราพร อมาตยกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน

ประธานในพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี2567 สหกรณ์การเกษตร เมืองน่าน จำกัดโดยมีประธานกลุ่มผู้แทนสมาชิก เจ้าหน้าที่สหกรณ์จังหวัดน่าน ผู้ตรวจบัญชีสหกรณ์ ภาคีเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร เข้าร่วมประชุมและร่วมเป็นเกียรติจำนวนมาก สหกรณ์การเกษตรเมืองน่าน จำกัด ได้ดำเนินธุรกิจเพื่อบริการสมาชิกสหกรณ์และบุคคลทั่วไป

ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 54 ปี ผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา มีทุนเรือนหุ้น จำนวน100,410,420.00 บาท (หนึ่งร้อยล้านสี่แสนหนึ่งหมื่นสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน) มีทุนดำเนินงานทั้งสิ้น จำนวน 329,021,559.61 บาท (สามร้อยยี่สิบเก้าล้านสองหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยห้าสิบเก้าบาท หกสิบเอ็ดสตางค์)

นอกจากนั้น ในรอบปีบัญชีที่ผ่านมา สหกรณ์ได้ดำเนินธุรกิจด้านการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย ให้กับสมาชิก ซึ่งถือว่าสหกรณ์ สามารถเป็นตลาดรองรับการจำหน่ายให้แก่สมาชิกและเกษตรกรใน จังหวัดน่านได้ อันจะเห็นได้ว่า ระบบสหกรณ์เป็นสถาบันที่สามารถช่วยเหลือสมาชิกที่เป็นเกษตรกร ได้อย่างเป็นระบบ ซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสหกรณ์ในวันนี้ สหกรณ์

ได้จัดประชุมโดยใช้ระบบผู้แทน สมาชิกสหกรณ์ทุกกลุ่มเข้าร่วมประชุมใหญ่ เพื่อเป็นตัวแทนของสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดจำนวน 5,119 คน กระจายตามหมู่บ้าน ตำบลต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองน่าน และอำเภอภูเพียง/บุญยงค์ สดสอาด รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / สภาอุตสาหกรรม และ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.อุตรดิตถ์ เปิดบ้านต้อนรับ ททท. ต่อยอดกระแสภาพยนตร์“ธี่หยด2”

ททท. ต่อยอดกระแสภาพยนตร์“ธี่หยด2” จัดกิจกรรม CSR “ท่องถิ่นธี่หยด 2 เมืองลับแล @อุตรดิตถ์” พาสัมผัสเสน่ห์เมืองน่าเที่ยวอุตรดิตถ์ ภายใต้คอนเซปต์ “ธี่เที่ยว ธี่กิน ธี่เล่น ธี่แชะ ธี่รักษ์” นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่า ททท. เดินหน้ากลยุทธ์ MOVIE Marketing ใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่และถ่ายทอดเสน่ห์ไทย นำไปสู่การออกเดินทางจริงในพื้นที่ และครั้งนี้ ททท. ร่วมกับ M Studio และช่อง 3 ต่อยอดกระแสความสำเร็จของภาพยนตร์ “ธี่หยด2” ที่สร้างปรากฏการณ์ทุบสถิติสร้างรายได้ 730 ล้านบาท หลังเข้าฉายได้ 1 เดือน โดยกำหนดจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) “ท่องถิ่นธี่หยด 2 เมืองลับแล @อุตรดิตถ์”

ในวันที่ 21-22 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ แท็กทีมนักแสดงภาพยนตร์ธี่หยด 2 นำโดย เดนิส เจลีลชา, จูเนียร์ กาจบัณฑิต, เฟรนด์ พีระกฤตย์ และนีน่า ณัฐชา พร้อมผู้โชคดีจำนวน 20 ราย บุกเมืองลับแลตามรอยเส้นเรื่องธี่หยด2 เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวจริงในพื้นที่และส่งต่อประสบการณ์การเดินทางเล่าผ่านคอนเทนต์ (Content)

เจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวคุณภาพ ทั้ง Gen Y-Z และกลุ่มผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ เกิดเป็นการรับรู้ในวงกว้างผ่านทางโซเชียลมีเดีย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปลุกกระแสการเดินทางท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ในจังหวัดอุตรดิตถ์และเชื่อมโยงจังหวัดเมืองน่าเที่ยวอื่น ๆ ในภูมิภาคภาคเหนือ รวมทั้งการท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น

กิจกรรม “ท่องถิ่นธี่หยด 2 เมืองลับแล @อุตรดิตถ์” ได้สอดแทรกแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ควบคู่กับการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวและเสน่ห์แห่งวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด “ธี่เที่ยว ธี่กิน ธี่เล่น ธี่แชะ ธี่รักษ์” โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวผจญภัยบุกถิ่นกำเนิดเรื่องราวสุดลึกลับพร้อมกับครอบครัวตัว ย. ตั้งแต่ “ธี่เที่ยว” สัมผัสแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ จุดกำเนิดของ ประวัติศาสตร์และตำนานเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ “ธี่กิน” จัดเต็มเมนูอาหารพื้นบ้านลำแต้ ๆ

ในรูปแบบชุดขันโตก ได้แก่ ลาบคั่วหมู น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล แก่งอ่อม ไส้อั่ว แคบหมู ของทอดลับแล หมี่พันเฮือนลับแล หมี่ยุ่ม และเมี่ยงคำสมุนไพร “ธี่เล่น” เสิร์ฟประสบการณ์สุดพิเศษกับกิจกรรมรอบกองไฟ Story Sharing n’ Movie time พบกับการแสดงพื้นเมืองดนตรีไทยร่วมสมัย ก่อนจะเติมความหลอนแบบเต็มสตรีม ล้อมวงฟังตำนานสุดลึกลับของเมืองลับแลไปกับ พี่แจ๊ค The Ghost Radio “ธี่แชะ” พาเช็กอินถ่ายภาพตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของลับแล ได้แก่ อนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก พิพิธภัณฑ์ม่อนลับแล

ซุ้มประตูเมืองลับแล ม่อนจำศีล พร้อมจัดกิจกรรมแข่งขันถ่ายภาพอย่างสร้างสรรค์ระหว่างทริป และสุดท้าย “ธี่รักษ์” ชวนท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ดูแลรักษาป่าและสิ่งแวดล้อมผ่านพิธีบวชป่าที่ม่อนจำศีล และการบริจาคทุนการศึกษา สิ่งของจำเป็นและอนุสารท่องเที่ยว อสท. ของ ททท. ให้แก่ห้องสมุดของโรงเรียนวัดดอนสัก พร้อมเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อส่งมอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience Based Tourism) ที่มีคุณค่าและความหมายแก่ผู้ร่วมกิจกรรม

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Studio และนายณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ โปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์ธี่หยด 2 ได้เดินทางและร่วมกิจกรรมพร้อมกับผู้โชคดี 20 ท่าน โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวนิรชา บัณฑิตย์ชาติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ร่วมให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงสื่อมวลชนในพื้นที่รวม 15 ราย เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้เกิดการรับรู้ สร้างกระแสการเดินทางและสร้างโอกาสในการนำเสนอขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่

จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็น 1 ในเมืองน่าเที่ยวของภูมิภาคภาคเหนือที่มีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรม พืชเศรษฐกิจและธรรมชาติ โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวแล้ว 788,744 คน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1,655 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนตัว จากภูมิภาคเดียวกัน ได้แก่ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ น่าน และกำแพงเพชร โดยนิยมท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีอุทยานแห่งชาติสำคัญ 3 แห่ง

ได้แก่ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว, อุทยานแห่งชาติสักใหญ่ และอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน ทั้งนี้ ปี 2568 ททท. เตรียมส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.อุตรดิตถ์ ชูจุดแข็ง “อุตรดิตถ์เมืองมหัศจรรย์ผลไม้ และเสน่ห์แห่งธรรมชาติ” ผสมผสานเสน่ห์ไทย 3 วัฒนธรรม ส่งมอบประสบการณ์ EAT ALL YEAR ROUND ส่งเสริมอัตลักษณ์เด่น CITY OF FRUITS และ GASTRONOMY เพื่อบรรลุเป้าหมายท่องเที่ยวปี 2568 ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว 1.29 ล้านคน และรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 2,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ได้รับการประสานงานและสนับสนุนการจัดกิจกรรมจากนางกัญญาวีร์ ศิริกาญจนารักษ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์และนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.อุตรดิตถ์ เอื้ออำนวยการจัดกิจกรรมจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

นาตา คะเลิศรัมย์/รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช พาชาวบ้าน ร้อง รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส ให้ตรวจสอบกรมธนารักษ์ หลังไม่ยอมคืนที่ดิน ให้ชาวบ้าน เกือบ 15,000 ไร่


อ่านต่อ : วันนี้ (20 พ.ย.67) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พร้อมนายกิตติศักดิ์ บุญชัย และชาวบ้านเกาะเต่ากว่า 20 คน ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา กรณีกรมธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนพื้นที่กว่า 15,000 ไร่ เกินกว่าที่ครอบครองจริงเพียง 25 ไร่ ในเกาะเต่าเป็นพื้นที่ราชพัสดุทำให้ชาวบ้านบนเกาะจำนวนมากและธุรกิจบนเกาะไม่สามารถจดแจ้งทะเบียนขึ้นได้ สร้างความเดือดร้อน เพราะชาวบ้านอยู่มาก่อน

โดยขอให้ช่วยการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับงานในหน้าที่ และควบคุม ตรวจสอบ ติดตามการทำงานของฝ่ายบริหารในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อพิพาทที่ดินเกาะเต่า ตามอำนาจหน้าที่ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 150 บัญญัติไว้ เพื่อทราบผลการดำเนินงาน    
เนื่องจากชาวบ้านเกาะเต่า เคยร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และขอให้ร่วมผลักดันพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติอีกทางหนึ่งด้วย

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ในอดีตชาวบ้านในเกาะเต่าอาศัยอยู่มานานตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2480 ก่อนที่ราชทัณฑ์จะมาสร้างเรือนจำปี พ.ศ. 2485 พอเรือนจำไม่ได้ใช้งานกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ได้แจ้งสิทธิการครอบครอง ส.ค.1 และขึ้นทะเบียนเกาะเต่าเป็นที่ราชพัสดุทั้งเกาะจำนวน 15,000 ไร่ หรือประมาณ 21 ตารางกิโลเมตร ซี่งความจริงแล้ว เรือนจำ       มีเนื้อที่เพียง 25 ไร่เท่านั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในปี พ.ศ. 2497 ประมวลกฎหมายที่ดินเริ่มใช้บังคับ และในปี พ.ศ.2498 ราษฎรเกาะเต่าที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินไปขึ้นทะเบียนสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) แต่ไม่สามารถแจ้งสิทธิการครอบครองได้ เพราะนายครรชิต พัฒนศรีสรรพากรอำเภอเกาะสมุย ในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลังได้แจ้งการครอบครองที่ดินบริเวณเกาะเต่า เนื้อที่ 15,000 ไร่ เกินกว่า 25 ไร่ ที่กรมราชทัณฑ์ครอบครอง ซึ่งเป็นการขึ้นทะเบียนโดยความผิดพลาดคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ชาวบ้านยังคงครอบครองและทำกินในที่ดินดังกล่าวต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

และตั้งแต่ ปี พ.ศ.2529 – 2565 ราษฏรเกาะเต่าได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปหลายแห่ง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย, ผู้ตรวจการแผ่นดิน, คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษย์ชน, ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี แม่ทัพภาค 4 ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดิน ซึ่งมี พล.อ.เกรียงไกรศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง เป็นประธานทุกหน่วยงาน พิจารณาแล้วเห็นว่า กรมธนารักษ์ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและ ส.ค. 1 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย การขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ จำนวน 15,000 ไร่ เกินกว่า 25 ไร่ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้กรมธนารักษ์คืนที่ดินให้กับชาวบ้านเกาะเต่า แต่กรมธนารักษ์ก็เพิกเฉย

วันนี้ จึงพาชาวบ้านกว่า 20 คน มายื่นเรื่องให้ รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา ช่วยดำเนินการตรวจสอบ และติดตามสอบถามความคืบหน้าการดำเนินการต่อรัฐสภา และช่วยพลักดันแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 43 ปี 2537 ขัดหรือแย้งกับ ประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 มาตรา 59ทวิ และกรณีข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านเกาะเต่า กับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อให้ชาวบ้านเกาะเต่าได้รับความเป็นธรรม และยุติปัญหาข้อพิพาทให้ได้รับการแก้ไขเร็ววัน โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของชาวบ้านเกาะเต่าได้รับมาอย่างยาวนาน

ด้าน สว.นันทนา กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาคุกรุกคน และหลายหน่วยงานก็ได้พิสูจน์สิทธ์แล้วว่าเป็นสิทธ์ของชาวบ้าน เพราะมีการเข้ามาอยู่อาศัยก่อน หลังจากนี้ต้องมีการตรวจสอบข้อมูล แต่ช่วงนี้เป็นเวลาปิดสมัยประชุมสภา เรื่องเร่งด่วนที่จะทำได้ในตอนนี้คือการรวบรวมข้อมูลไปสอบถามเรื่องคืนสิทธิ์ให้ชาวบ้านที่กรมธนารักษ์โดยตรง แต่หากยืดเยื้อก็นำเข้ากระทู้ถามรัฐมนตรีการคลังในสมัยเปิดประชุมสภา ส่วนกรณีที่เกิดทนายอนันต์ชัย ยืนยันว่ายังไม่มีการดำเนินการในชั้นศาลถึงที่สุด ชาวบ้านพึ่งยืนเรื่องไปยังศาลปกครองเมื่อประมาณ3เดือนที่ผ่านมา และศาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่ หากศาลปกครองไม่รับก็ไปยื่นที่ศาลยุคิธรรมต่อไป

////เอกชนะ นวนละมัย ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจ.ชุมพร098-9515199

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / มทร.อีสาน จัดใหญ่มหกรรมวิชาการ RMUTI EXPO 2024 : For Future โชว์นวัตกรรมยานยนต์ EV พร้อมเตรียมเปิดรับนักศึกษารอบ Open House

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน โดย รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มทร.อีสาน พร้อมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พลโท พรชัย มาหลิน แม่ทัพน้อยที่ 2 Mr.Ma Haiyang President of AION Thailand Mr.Huang Yongjie Chairman of Gold Integrate & Director of Chelove International Education Group นายสมพิศ เพ็งงาน ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครราชสีมา และพลโท พรชัย มาหลิน แม่ทัพน้อยที่ 2 ผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 2

ในพิธีเปิดมหกรรมวิชาการ RMUTI EXPO ครั้งที่ 2 (RMUTI EXPO 2024 : For Future) โดยในพิธีเปิดมีการแสดงดนตรีพื้นถิ่นอีสาน จาก องค์การนักศึกษา มทร.อีสาน ซึ่งครองถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในกิจกรรม 9 ราชมงคลร่วมใจ สืบสานวัฒนธรรมไทย ถึง 3 สมัยซ้อน การกล่าวต้อนรับแขกผู้เข้าร่วมโครงการ โดย พลโท พรชัย มาหลิน แม่ทัพน้อยที่ 2 ผู้แทนแม่ทัพภาคที่ 2 การกล่าวแสดงความยินดี จาก Mr.Huang Yongjie ผู้อำนวยการ บริษัท เชเลิฟ อินเตอร์ เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป จำกัด โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มทร.อีสาน กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน และได้รับเกียรติจาก นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดงาน ณ เวทีกิจกรรม อาคารอเนกประสงค์หลังคาคลุม (โดมมรกต) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา (พื้นที่สุรนารายณ์)

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มทร.อีสาน ได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์การจัดงานว่า การจัดมหกรรมวิชาการ RMUTI EXPO ครั้งที่ 2 ขึ้นในครั้งนี้ เพื่อที่จะนำเสนอศักยภาพและผลงานความสำเร็จตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย ที่ได้ดำเนินภารกิจตอบรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งยังเป็นเวทีนำเสนอความก้าวหน้า ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมและบริการวิชาการ ที่มีศักยภาพพร้อมใช้ประโยชน์ เพื่อเชื่อมประสานบูรณาการ องค์ความรู้ในการพัฒนาประเทศทั้งในมิติเชิงวิชาการ นโยบาย สังคม ชุมชน และ อุตสาหกรรม ตลอดจนหนุนเสริมให้เกิดกลไก

สนับสนุนเชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้้ใช้ประโยชน์บูรณาการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายของ มทร.อีสาน จากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมในการผลิตกำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์สมัยใหม่ ตอบรับนโยบาย 30@30 ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติและนโยบาย อว. For EV ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมยกระดับเป็นศูนย์อบรมและทดสอบด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานสากล มาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานกรมฝีมือแรงงาน ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานพร้อมตอบรับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศด้วยศักยภาพการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อันโดดเด่น งดงาม และภาคภูมิ

สำหรับงานมหกรรมวิชาการ RMUTI EXPO ครั้งที่ 2 (RMUTI EXPO 2024 : For Future) มทร.อีสาน ได้คัดสรรกิจกรรมเพื่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชนผู้สนใจ ให้ได้รับชมและร่วมกิจกรรมอย่างมากมาย เช่น กิจกรรมการเสริมสร้างผู้ประกอบการ Startup RMUTI, การจัดแสดงผลงานนักศึกษา RMUTI Showcase Startup การการเสวนา Inspiration & Motivation @Startup, mini Camp การจัดทำแผนธุรกิจ New Business, การนําเสนอผลงาน Pitching Business จากการจัดทําแผนธุรกิจ, การแข่งขันทักษะวิชาชีพและประกวด นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ และงานสร้างสรรค์นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและอุดมศึกษา ในระบบนิเวศการศึกษาลุ่มนํ้าโขง ครั้งที่ 2,

การแข่งขันทักษะการออกแบบและเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์, การแข่งขันทักษะการตรวจประเมินคุณภาพทางรถไฟ, การประกวดนวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ และงานสร้างสรรค์ การประกวดด้านนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ สถานประกอบการกับอาจารย์นักศึกษา และเครือข่ายความร่วมมือ (Innovation Entrepreneur Trip Day) , กิจกรรมการเสวนาสมาคมศิษย์เก่า มทร.อีสาน นิทรรศการผลงานการขับเคลื่อนตามจุดเน้นเชิงยุทธศาสตร์ นิทรรศการผลงานความร่วมมือของภาคีเครือข่าย มทร.อีสาน, กิจกรรมสถาปัตย์กลับบ้าน 2567, การออกร้านจําหน่ายสินค้าจากองค์การนักศึกษาและบุคลากร และการออกร้านจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค คอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย ตลอด 10 วัน 9 คืน โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์ โดย นายจักริน บวรชัย ผู้อำนวยการ โครงการ “หนึ่งใจ…ให้ประชาชน” ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา (พื้นที่สุรนารายณ์)

“และด้วยเกียรติประวัติอันยาวนานของ มทร.อีสาน ล้วนสะท้อนประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการผลิตบัณฑิตตามคุณลักษณะอันพึงประสงค์ผลิตบุคลากร ผู้มีคุณูปการแก่วงการศึกษาและประเทศชาติ ตลอดจนศักยภาพอันโดดเด่น ที่กระทบต่อการขับเคลื่อนและผลักดันการพัฒนาในทุกพื้นที่ ขอบเขตความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยฯ โดยกำหนดหัวใจสำคัญ ผ่านยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพประชากรในทุกระดับสู่ความยั่งยืน ตามมาด้วยความมั่นคงจากชื่อเสียงและการยอมรับซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก บริษัท เชเลิฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป จำกัด และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน” รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มทร.อีสาน กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับในการจัดงานมหกรรมวิชาการ RMUTI EXPO ครั้งที่ 2 (RMUTI EXPO 2024 : For Future) นอกจากจะมีกิจกรรมสร้างเสริมความรู้ การประกวดแข่งขัน และการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ปีนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษสุด เพื่อเปิดโอกาสด้านการศึกษาต่อมทร.อีสาน สำหรับนักเรียน นักศึกษา ยังได้มีโครงการ RMUTI Open House 2024 เปิดโลกแห่งการเรียนรู้ สู่บ้าน มทร.อีสาน ครั้งที่ 12 ซึ่งจะมีการเปิดโควตาสำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่สนใจศึกาต่อที่ มทร.อีสาน นครราชสีมา กว่า 2,500 ที่นั่ง ระหว่างวันที่ วันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2567 ทั้งนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ผู้ปกครอง นักเรียน นักศึกษาทั้งในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัด ใกล้เคียง เข้าร่วมกิจกรรมและชมมหกรรมต่าง ๆ ในงาน RMUTI EXPO 2024 : RMUTI For Future ระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567-วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ​ “รักษ์มุกดาหาร” ติงหน่วยงานรัฐ อนุญาตนำเข้าทรายต้องโปร่งใส ไม่เอื้อประโยชน์ ผปก. ลักลอบดูดในเขตไทย

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ร้อยตำรวจตรี สุเทียน ทองโสม ประธานชมรมรักษ์มุกดาหาร เปิดเผยว่า ตามที่คณะทำงานจัดทำความเห็นประกอบการขออนุญาตนำเข้าสินค้าตามทางอื่นนอกทางอนุมัติ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 86 วรรคสอง ซึ่งมีปลัดจังหวัดมุกดาหารเป็นประธาน จะลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพพื้นที่และขั้นตอนการปฏิบัติ การนำเข้าสินค้านอกทางอนุมัติ ของผู้ประกอบการท่าทรายที่ขออนุญาตนำเข้า ทางอนุมัติในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารรวม 5 แห่ง ในวันนี้ นั้น

ชมรมรักษ์มุกดาหาร ขอให้คณะทำงานพิจารณาด้วยความรอบคอบ โปร่งใสตรวจสอบได้และพร้อมรับผิดชอบ แสดงเจตนารมณ์สุจริตด้วยการเปิดเผยพิกัดพื้นที่สัมปทานดูดหิน กรวด ทราย ของผู้ประกอบการ สปป.ลาว เพื่อให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบว่าผู้ประกอบการที่ขออนุญาตนำเข้าไม่ได้ลักลอบดูดกรวด-ทราย ในเขตราชอาณาจักรไทย แล้วสวมรอยว่าเป็นการนำเข้าจากแปลงสัมปทานใน สปป.ลาว ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและอาชีพประมงของไทย การใช้รถบรรทุกกรวด-ทราย ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองและความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนและทางสาธารณะ

อีกทั้ง ท่าเทียบเรือขนทรายในแม่น้ำโขงของผู้ประกอบการไม่ควรอยู่ติดกับเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำโขงเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้างเขื่อนต่อเนื่องตามแผนพัฒนาจังหวัด ผังเมืองรวม และการรักษาสภาพแวดล้อมของจังหวัดมุกดาหาร และควรใช้ข้อกำหนดทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดูดทรายตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (ข้อตกลงไทย-ลาว) ที่กำหนดให้มีระยะห่างจากสิ่งก่อสร้างสำคัญ สะพาน เขื่อนป้องกันตลิ่ง ไม่น้อยกว่า 1,000 เมตร บ้าน ศาสนสถานและโรงเรียน ไม่น้อยกว่า 500 เมตร ประกอบการพิจารณาด้วย

กระทรวงมหาดไทย #กรมเจ้าท่า #จังหวัดมุกดาหาร #กรมการปกครอง #กรมศุลกากร #อนุญาตนำเข้าตามมาตรา86วรรคสอง #ลักลอบดูดกรวดทรายในแม่น้ำโขง

ศูนย์ข่าวมุกดาหาร

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผบช.ทท.ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว เมืองพัทยา/Skechers รุกตลาดเมืองท่องเที่ยว เปิดโฉม Skechers Outlet Central Marina Pattaya

วันที่ 22 พ.ย.67 ที่ห้องประชุมสถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา) จ.ชลบุรี พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานประชุมหารือแนวทางการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และการป้องกันการหลอกลวงการเอารัดเอาเปรียบที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

โดยมี นางอำไพ ศักดานุกูลจิต สไลวินสกี้ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี นางเอกอนงค์ บัวมาศ พาณิชย์จังหวัดชลบุรี นายกิตติ บุญรัตนเนตร สาธารณสุขอำเภอบางละมุง นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา นายเกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รองปลัดเมืองพัทยา รักษาการแทนปลัดเเมืองพัทยา นายเอกราช คันธโร ผอ.เจ้าท่า สาขาพัทยา นายวรภพ คงธนจรัส ปลัดอำเภอบางละมุง นายชัยวัฒน์ ตามไท ผอ.ททท.พัทยา และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

เนื่องด้วยได้เกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวต่าวชาติเสียชีวิตจากการทำกิจกรรมทางทะเลในพื้นที่บ้านเกาะล้าน เมืองพัทยา บ่อยครั้งในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งยังพบข้อมูลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกเอารัดเอาเปรียบจากการหลอกลวงให้การซื้อสินค้าที่ราคาแพงเกินจริง ทำให้ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวประเทศไทยเสียหาย ทางตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยา) จึงดำเนินจัดประชุมดังกล่าวขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และมาตรฐานการให้บริการ การจำหน่ายสินค้าต่างๆ ให้มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม

ในที่ประชุมโดย พ.ต.ท.ปิยพงษ์ เอนสาร สวญ.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 ได้นำเสนอข้อมูลด้านการท่องเที่ยวและสถานการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยพบสถิติเหตุนักท่องเที่ยวจมน้ำเสียชีวิตในพื้นที่เกาะล้าน ประจำปี 2565-2567 โดยพบว่าในระยะเวลา 3 ปี มีนักท่องเที่ยวจมน้ำเสียชีวิตรวม 13 ราย ในปี 2565 มีหนึ่งราย คือนักท่องเที่ยวชาวปากีสถาน ในปี 2566 มี 6 ราย คือ อินเดีย 2 ราย จีน 2 ราย เวียดนาม 1 ราย และบรูไน 1 ราย และในปี 2566 มี 6 ราย คือ จีน 4 ราย และเกาหลีใต้ 2 ราย ซึ่งพบว่าผู้เสียอายุเป็นคนชราและผู้สูงวัย

ด้าน นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา เผยในส่วนของการวางแนวทางทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นว่ามาท่องเที่ยวแล้วปลอดภัย เมืองพัทยา โดยนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ได้เล็งเห็นความสำคัญเรื่องดังกล่าวและเบื้องต้นได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการจัดระเบียบนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังบ้านเกาะล้าน โดยหาคือแนวทางการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว การกำหนดเปิดจองจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะ การจัดลำดับคิว รวมทั้งการเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งต้องมีการพูดคุยหลายฝ่าย เพราะปัจจุบันพบว่าเกาะล้านมีนักท่องเที่ยวมาเยอะเกินขีดจำกัด ซึ่งต้องเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต

พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท. ได้กล่าวชื่นชมเมืองพัทยาที่มีความเข้มแข็งของมีการประสานการทำงานกันอย่างเป็นรูปธรรมจนบางกรณี ตัวอย่างเช่นกรณีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเล่นน้ำเสียชีวิตที่เมืองพัทยามีการประสานงานเรื่องของประกันชีวิตต่างๆ เพื่อช่วยเหลือจากได้รับความชื่นชมจากเอกอัครราชทูตอินเดียชื่นชมและฝากขอบคุณมายังเมืองพัทยา

ทั้งนี้ กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวมีจำนวนน้อยจำเป็นต้องบูรณาการพึ่งการทำงานของอาสาสมัครให้เข้ามาช่วยปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งในการอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวโดยมีตำรวจท่องเที่ยวเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจท่องเที่ยวเมืองพัทยาถือว่าทำได้ดีและน่าเป็นแบบอย่าง

ข้อแนะนำสำหรับแนวทางการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และการป้องกันการหลอกลวงการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เห็นควรให้มีการเพิ่มจำนวนไลฟ์การ์ด การสร้างหอคอย สังเกตุการณ์ริมชายหาด ดูเรื่องระเบียบของเรือเร็วและเจ็ตสกี การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพียงพออยู่ในความดูแลของกำละงเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสม รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ที่หลอกซื้อขายสินค้า แลพการหาความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งเมืองพัทยามีจุดแข็งคือความร่วมมือที่สำคัญถือเป็นเสน่ห์ที่น่าชื่นชม

Skechers รุกตลาดเมืองท่องเที่ยว เปิดโฉม Skechers Outlet Central Marina Pattaya ขยายพื้นที่ใหม่ใหญ่ที่สุดในพัทยา

วันที่ 22 พ.ย.67 มีรายงานว่า Skechers แบรนด์รองเท้าและเครื่องแต่งกายสำหรับครอบครัวชื่อดัง ได้ทำการเปิด Skechers Outlet Central Marina Pattaya อย่างเป็นทางการ ที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล มารีน่า พัทยา จ.ชลบุรี โดยได้รับเกียรติจากนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดร้าน Skechers Outlet อย่างเป็นทางการ

โดยในพิธีการดังกล่าวมีนายภูมิพิพัฒน์ กมลนาถ เลขานุการนายกเมืองพัทยา นายรัตนชัย สุทธิเดชานัย ผู้ทรงคุณวุฒิเมืองพัทยา นายบุญอนันต์ พัฒนสิน นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ผู้เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งนายขวัญชัย บุญอารีย์ ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา และศูนย์การค้าเซ็นทรัล มารีน่า น.ส.นันทพร เหมือนเดช ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ Skechers (Thailand) และ น.ส.กรรณิการ์ แกล่มกล้า ผจก. Skechers Outlte Central Marina Pattaya ได้ต้อนรับคณะผู้ร่วมงานด้วยตัวเอง

ด้าน น.ส.นันทพร เหมือนเดช ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ Skechers (Thailand) เปิดเผยว่า แต่เดิมร้าน Skechers Outlet จะตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของศูนย์การค่า แต่พบว่ากระแสตอบรับดีมาก มียอดขายทะลุ 3 ล้านบาทต่อเดือน จึงต้องขยายพื้นที่ลงมายังบริเวณชั้น 1 ซึ่งใหญ่กว่าเดิม เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีโปรโมชั่นส่วนลดสูงสุดถึง 90% ในสินค้าบางประเภท

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง