สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ตรวจ สนง.กกต. เขต. 8 ลงเยี่ยม วังหินโมเดล แห่งเดียวในประเทศ เป็นพื้นที่เลือกตั้งสีขาว ปลอดการซื้อสิทธิขายเสียง

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 68 ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้ตรวจการ เขตตรวจที่ 8 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พร้อม นายเอกฤกษ์ พร้อมชัยอนันต์ ผอ.กกต.ประจำจังหวัดศรีสะเกษ และคณะ เดินทางมาตรวจความพร้อม และเยี่ยมให้กำลังกับเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองศรีสะเกษ และในเขตเทศบาลตำบลวังหิน ที่เดินทางมารับอุปกรณ์การเลือกตั้งในแต่ละหน่วยเลือกตั้ง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลวังหิน อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีการทำสัญญาและทำประชาคมกับชาวบ้านในเขต อำเภอวังหิน เป็นโครงการโมเดล ให้เป็นเขตพื้นที่เลือกตั้งสีขาวปลอดการซื้อสิทธิ์ขายเสียง

***ด้าน ร.ต.อ.มนูญ วิเชียรนิตย์ ผู้ตรวจการ เขตตรวจที่ 8 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ที่เดินทางมาวันนี้เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำหน่วยเลือกตั้ง และมาตรวจดู “วังหินโมเดล” ที่ประชาชนชาวตำบลวังหิน อำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ และผู้สมัครได้มีการทำสัญญาณกันว่าจะมีการเลือกตั้งสีขาว ปลอดการซื้อสิทธิขายเสียง จนเป็น วังหินโมเดล ซึ่งถือเป็นแห่งแรกที่เกิดขึ้นจริงๆในประเทศไทย โดยถือเป็นการแก้ไขปัญหาในการซื้อสิทธิขายเสียงที่เกิดขึ้น ด้วยความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ และทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง โดยหลังจากเลือกตั้งครั้งนี้แล้วทาง กกต. จะมีการประเมินผลอีกครั้งว่า “วังหินโมเดล” ทำได้จริงหรือไหม ซึ่งถือเป็นไปถามที่ตกลงกันได้จริงๆทาง กกต. ก็จะมีการขยายผลนำไปต่อยอดให้เป็นรูปธรรมทั้งประเทศต่อไป

***ร.ต.อ.มนูญ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ตามที่อบรมไว้อย่างเข้มงวด และลดปัญหาบัตรเสียให้ได้น้อยที่สุด ร่วมถึงให้ประชาชนเข้ามาใช้สิทธิให้ได้มากที่สุด และได้ให้ชุดเคลื่อนที่เร็วจับตาทุกพื้นที่ที่มีปัญหาไว้อย่างใกล้ชิด แต่ในขณะนี้ยังไม่มีรายงานการกระทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งแต่อย่างใด

***ทั้งนี้วันพรุ่งนี้ (10 พ.ค. 68) ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนอกมาใช้สิทธิ ออกมาเลือกตั้ง ได้ตั้งแต่ เวลา 08.00 น. ถึง เวลา17.00 น. และอย่าลืมหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และรักษาสิทธิของท่าน ซึ่งการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ สุจริต หรือ เที่ยงธรรม ได้ต้องเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนที่ต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ไม่ใช้หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

filter: 0; fileterIntensity: 0.0; filterMask: 0; captureOrientation: 0; hdrForward: 0; highlight: true; algolist: 0; multi-frame: 1; brp_mask:0; brp_del_th:null; brp_del_sen:null; delta:null; bokeh:0; module: photo;hw-remosaic: false;touch: (-1.0, -1.0);sceneMode: 3145728;cct_value: 0;AI_Scene: (-1, -1);aec_lux: 0.0;aec_lux_index: 0;HdrStatus: auto;albedo: ;confidence: ;motionLevel: 65536;weatherinfo: null;temperature: 35;

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / แก๊งค้าของเถื่อน ล้วงคองูเห่า ขนกระเทียมเถื่อน ปลายจมูก นรข.มุกดาหาร รวบ 4 คน / ด่านศุลกากรมุกดาหารร่วมสถานีเรือ ตรวจสอบโกดังกระเทียมใต้สะพานมิตรภาพ 2

เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 10 พฤษภาคม นาวาโท รุ่งเรือง มาสุทธิ หัวหน้าสถานีเรือมุกดาหาร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.)ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี(กระเทียมแห้ง)

จากแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาขึ้นฝั่งที่บริเวณใกล้กับเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงหน้าตลาดอินโดจีน เขตเทศบาลเมืองมุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ห่างจากสถานีเรือมุกดาหารประมาณ 1 กิโลเมตร

จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ออกซุ่มบริเวณพื้นที่ ที่ได้รับแจ้งดังกล่าว กระทั่งเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจพบเรือต้องสงสัยจำนวน 1 ลำ แล่นมาจากฝั่ง สปป.ลาว ข้ามมายังฝั่งประเทศไทย

จากนั้นได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้าไปช่วยกันยกกระสอบกระเทียมแห้งขึ้นมาจากลำเรือและนำเข้าไปไว้ในบ้านเลขที่ 5/4 ถนนสำราญชายโขงใต้ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เจ้าหน้าที่

จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจสอบ และสามารถควบคุมตัวกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวไว้ได้ 4 คน ส่วนคนขับเรือเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้ขับเรือแล่นกลับไปฝั่ง สปป.ลาว

จากการตรวจสอบพบกระเทียมแห้งอยู่บริเวณริมตลิ่งแม่น้ำโขงจำนวน 6 กระสอบ ในบ้านเลขที่ 5/4 จำนวน 3 กระสอบ รถจักรยานยนต์ของกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 2 คัน ประกอบด้วย ฮอนด้า เวฟ 125 i

หมายเลขทะเบียน 1 กด 8545 มุกดาหาร และยามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง วิทยุรับส่ง 2 เครื่อง เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางและควบคุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แก๊งค้ากระเทียมเถื่อนมุกดาหารล้วงของงูเห่า #สถานีเรือมุกดาหาร #จังหวัดมุกดาหาร​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

-​ด่านศุลกากรมุกดาหารร่วมสถานีเรือ ลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังกระเทียมใต้สะพานมิตรภาพ 2

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม สืบเนื่องจาก นโยบายของ นายรีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุษศาสตร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร และนางสาวลลิตา อรรถพิมล ผอ. ศภ.2 ที่กําชับให้เข้มงวดในการตรอจสอบการกระทําความผิดตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น นายกรณ์ชัย ปัญญาวัฒนพงศ์ นายด่านศุลกากรมุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ นายสานุ ศิลปไชย ผอ. ส่วนควบคุมทางศุลกากร และนายชวลิต จิระชนากุล ผอ. ส่วนบริการศุลกากร ดําเนินการตาม นโยบายอย่างเข้มงวด โดยได้สั่งการให้นางสาวศิรินันท์ จันทจวง นักวิษาการศุลกากรซํานาญการ นำเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรมุกดาหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังกระเทียมบริเวณใต้สะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว แห่งที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารเรือ สถานีเรือมุกดาหาร สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารเรือได้มีการตรวจยึดกระเทียมแห้งได้ที่บริเวณเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงหน้าตลาดอินโดจีน เทศบาลเมืองมุกดาหาร เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้บูรณาการร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบเพื่อขยายผล

โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเอกสารและแหล่งที่มาของกระเทียมในโกดัง รวมทั้งตรวจนับปริมาณ สินค้าคงคลัง เพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลการนําเข้าผลปรากฏว่ามีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามถึงแม้ในการตรวจสอบจะไม่พบการกระทำความผิด แต่ก็ถือเป็นการดําเนินการเชิงธุกเพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําเข้ากระเทียมจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้าโขง ซึ่งมักเป็นพื้นที่มีการลักลอบนําเข้าสินค้า

นายกรณ์ชัย ปัญญาวัฒนพงศ์ นายด่านศุลกากรมุกดาหาร กล่าวว่า ที่ผ่านมาด่านศุลกากรมุกดาหารได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบ และติดตามสถานที่ ที่มีความเสี่ยงต่อการลักลอบนําเข้าสินค้าผิดกฎหมาย โดยการดําเนินการครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐเพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าสินค้าผิดกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมทางการค้า

ด่านศุลกากรมุกดาหารลงพื้นที่ตรวจโกดังกระเทียม #จังหวัดมุกดาหาร​ ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /งานเทศกาลว่าวนานาชาติ ครั้งที่ 3 วันที่ 10-11 พ.ค. 68 ( KITE FESTIVEL2025 ) เพื่อเป็นสีสันในการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน อ.ทับสะแก จ.ประจวบ

ช่วงเย็นวันที่ 8 พ.ค. 2568 ที่บริเวณลานทรายเขื่อนบ้านทุ่งประดู่ ชายหาดทับสะแก หมู่ที่ 2 ตำบลทับสะแก อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสิทธิพร คงหอม นายอำเภอทับสะแก นายทวีวิทย์ รัตนวิจิตร ผู้ช่วยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายวสุ โชคกิจการ นายลือยศ ภู่ทอง สจ.เขต อำเภอทับสะแก นายวิบูลย์ เทียนทอง นายกอบต.ทับสะแก นายโพสิทธิ์ เครือวัลย์ ประธานกลุ่มรักษ์หาดทับสะแก และนายสุทิน ตั้งเขาทอง น.ส.ณุกานดา จันทราภรณ์ (พิธีกร) พร้อมคณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ร่วมแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลว่าวนานาชาติครั้งที่ 3 ประจำปี 2568 ( kite festivai 2025 )

โดยภายในงานมีการแข่งขัน ประดิษฐ์ว่าวแฟนตาซี ประชาชนทั่วไปไม่จำกัดอายุ ประเภททีม 3 คน สามารถประดิษฐ์ว่าวมาจากบ้านได้ โดยเป็นว่าวชนิดใดก็ได้แต่ต้องประดิษฐ์ขึ้นจากทีมงาน โดยมีภาพถ่ายยืนยันขณะปฏิบัติการประดิษฐ์ ให้ผู้แข่งขันตั้งชื่อว่าวและอธิบายแนวความคิดให้คณะกรรมการทราบ โครงว่าว ตัวว่าว และวัสดุตกแต่งจะทำจากวัสดุใดๆก็ได้ โดยไม่จำกัดขนาดของว่าวและความยาวของเชือกชัก

นายโพสิทธิ์ เครือวัลย์ ประธานกลุ่มรักษ์หาดทับสะแก ในฐานะคณะกรรมการจัดงาน กล่าวว่า ชุมชนบ้านทุ่งประดู่เป็นหมู่บ้านชาวประมงพื้นบ้าน จากอดีตที่ผ่านมาช่วงฤดูกาลหน้ามรสุม หรือหน้าว่าว ตั้งแต่เดือน ธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ ชาวบ้านก็ต่างออกมาทำว่าวเล่นไม่ว่าจะเป็นว่าวปักเป้า ว่าวจุฬา ว่าวแฟนตาซีต่างๆ ขึ้นมาเล่นกัน แต่ทุกวันนี้กีฬาชนิดนี้เริ่มสูญหายไป เด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยรู้จักการผลิตว่าว

ในฐานะตนเองเป็นประธานกลุ่มรักษ์หาดทับสะแกได้ตระหนักถึงเรื่องการอนุรักษ์ว่าว อนุรักษ์วัฒนธรรมต่างๆ ที่มีมาในอดีต โดยในปีนี้จึงได้จัดเทศกาลว่าวนานาชาติขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 มีการแข่งขันประดิษฐ์ว่าว การวาดภาพระดับเยาวชน โดยมีถ้วยรางวัล งานจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 10-11 พ.ค. 68 เวลา 11.00 น.- 23.00 น. ส่วนภาคกลางคืนจะมีอาหารพื้นบ้านมาจำหน่ายและมีดนตรีให้ชมกันตลอดงาน ( สามารถนำเก้าอี้สนาม แคมป์ปิ้ง มานั่งได้เลย )

//////////////////////////////////////

ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / เปิดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมงกุฎราชกุมาร

วันที่ 8 พ.ค.68 ที่ศาลาอเนกประสงค์วัดเขาบ้านกลาง หมู่ที่ 1 ตำบลนาหูกวาง อำเภอทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายประทีป บริบูรณ์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร

โดยมี น.ส.มาเรีย เผ่าประทาน สว.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เกรียติมาร่วมงาน พร้อมมี นายสิทธิพร คงหอม นายอำเภอทับสะแก นางศันสนีย์ เกษตรสินสมบัติ เกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าที่ร้อยตรีสมนึก พรหมศร ประมงจังหวัดฯ นายจามร ศักดินันท์ ปศุสัตว์จังหวัดฯ นายอำนาจ เขม่นกิจ สปก จังหวัดฯ นางสาวพัชรี ทิพยาภรณ์ ตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัดฯ

นางสาวลัดดาวัลย์ วรรณวิไลย สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดฯ นายเชาร์ เอี่ยมสุขขา นายกอบต.นาหูกวาง นายผดุงศักดิ์ อิ่มทั่ว ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอทับสะแก พร้อม หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ ผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ประชาชนชาวเกษตรกรอำเภอทับสะแก ร่วมงาน

โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการแก่เกษตรกรในการแก้ไขปัญหาการผลิตด้านการเกษตรได้อย่างรวดเร็วและอย่างทั่วถึง และสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร ซึ่งมีการบูรณาการความร่วมมือกัน ระหว่างหน่วยงานวิชาการ หน่วยงานส่งเสริม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ร่วมพัฒนาพื้นฟูเกษตรกร ให้สามารถทำการผลิตทางการเกษตร ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยเป็นการปฏิบัติงานในเชิงรุก ที่ทำให้เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย ที่มีปัญหาให้ได้รับบริการทางการเกษตร เช่น การวิเคราะห์ดิน การวินิจฉัยโรคพืช โรคสัตว์ โรคสัตว์น้ำรวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี และฝึกอบรมการเกษตรเพิ่มเติม ควบคู่กันไปด้วย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยกำหนดจัดงานตามรายไตรมาส ปีละ 4 ครั้ง กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การเปิดให้บริการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ จำนวน 13 คลินิก

ได้แก่ คลินิกดิน คลินิกพืช คลินิกข้าว คลินิกปศุสัตว์ คลินิกประมง คลินิกชลประทาน คลินิกสหกรณ์ คลินิกบัญชี คลินิกกฎหมาย คลินิกส่งเสริมการเกษตร คลินิกยางพารา คลินิกเกษตรและสหกรณ์ และคลินิกพืชอาหารสัตว์ และการให้บริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะมีเกษตรกรมาร่วมงาน และเข้ารับบริการทางการเกษตร ไม่น้อยกว่า 300 คน

///////////////////////////
ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ชาวปากช่อง “ค้านเหมืองแร่ดิน”หวั่นมลพิษ-สิ่งแวดล้อมเสียสมดุล

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านตำบลหนองน้ำแดง-ตำบลปากช่อง หมู่2และหมู่14ร่วมฟังประชาพิจารย์ รับฟังความคิดเห็น สัมปะทานบัตร เหมืองแร่ดิน ของบริษัทปูนซิเมนต์ นครหลวง จัดโดยอำเภอปากช่องและอุตสาหกรรมจังหวัดด้านชาวบ้าน รวมตัวออกมาคัดค้านการก่อสร้าง เหมืองแร่ดินดังกล่าวหวั่นกระทบสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตทางการเกษตร ผลไม้และทำลายแหล่งการท่องเที่ยวชุมชนอีก

ทั้งโครงการดังกล่าวสร้างกลางชุมชนหวั่นมลพิษและการสัญจรของเยาวชน-ประชาชนจะได้รับอันตราย เมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาทางอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับอำเภอปากช่อง ผู้นำชุมชนและตัวแทนจาก บริษัทปูนซิเมนต์ นครหลวง จำกัด(มหาชน) ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านหมู่ที่2และหมู่ที่14ขึ้นภายในหมู่บ้านบริเวณศาลาประชาคมเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อประธานบัตรก่อสร้างเหมืองแร่ดินของบริษัทปูน ซิเมนต์ นครหลวง จำกัด บริเวณพื้นที่ 105ไร่ 1งาน 86ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่2 ตำบลน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

โดยเป็นการขอประธานบัตรทับพื้นที่ประธานบัตรเดิมเลขที่28811/15999 ที่เคยได้รับอนุญาตและปัจจุบันสิ้นอายุแล้ว แล้วพื้นที่ขอประธานบัตรที่2/2567ทั้งแปลง อยู่ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของ บริษัท ได้แก่ โฉนดเลขที่ 20455 เลขที่ดิน7ตำบลหนองน้ำแดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยโครงการทำเหมืองแร่ดินอุตสาหกรรม ชนิดดินซิเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ นครหลวง จำกัด(มหาชน)จะทำ โดยวิธีเหมืองเปิด (open pit) ตลอดอายุโครงการ 5ปี และได้ยื่นขอต่อประธาน การทำเหมืองต่ออุตสาหกรรมจังหวัด

เป็นที่มาของการนำเสนอข้อมูลประชาพิจารณ์ให้กับชาวบ้านในครั้งนี้ ทางด้านกลุ่มชาวบ้าน ประกอบด้วย นายวิรัตน์ กล้าหาญ นายมนตรี สุดโต นางสาว สาววิต ศรีมงคล แล้วนาย สวิล คงแคลง ชาวบ้านตำบลหนองน้ำแดง หมู่2 ได้ออกมาให้ความเห็นว่าพื้นที่ก่อสร้างเหมืองแร่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับวัดและกลางชุมชนที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า 500 ครัวเรือนแล้วมีการปลูกพืช อาทิ แก้วมังกร ทุเรียน อโวคาโด้ น้อยหน่า เป็นจำนวนมากอีกทั้งบริเวณโดยรอบเหมืองยังมีการลงทุนของนักลงทุนทำธุระกิจการท่องเที่ยวโรงแรมและรีสอร์ทจำนวนมากเป็นชุมชนเกษตร และการท่องเที่ยว

หากเหมืองแร่มาทำการก่อสร้างจะทำให้เกิดมลภาวะด้วยสิ่งแวดล้อมอาทิ ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณรัศมี 5กิโลเมตรการสัญจรจะยากลำบากเพราะมีรถบรรทุกวิ่งเข้าออกวันละเกือบ100เที่ยว/วัน อีกทั้งมลพิษจากฝุ่นจะทำให้เกิดผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตร น้ำบาดาลใต้ดินที่ทางบริษัทปูนซิเมนต์จะเจาะลึกลงไป15-20เมตร จะส่งผลต่อน้ำใต้ดินของชาวบ้านทิศทางน้ำอาจจะเปลี่ยนได้ ดังนั้นชาวบ้านส่วนไหญ๋จึงไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างเหมืองแร่ดินของบริษัทในครั้งนี้และวิงวอนขอให้บริษัทหยุดก่อสร้างโครงการดังกล่าวเพื่อเก็บป่าพื้นนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไปทางด้าน ดร.เรืองเกียรติ สุวรรโณภาส อ.มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านแห่งนี้ได้ออกมาเคลื่อนไหวพร้อมกับชาวบ้านร่วมกันคัดค้านโครงการนี้ตั้งแตเดือนมกราคม 2568

ได้นำชาวบ้านไปยื่นหนังสือต่อผูว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาทนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ที่ศูนย์ดำรงธรรม และสำนักงานอุตสาหดรรมจังหวัดนครราชสีมา เพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว และเป็นที่มาการเสนอโครงการทำประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ซึ่งตนได้ทำการยื่นหนังสือการคัดค้านต่อปลัดอำเภอปากช่อง และนายภพธรรม สุนันธรรม ผู้อำนวยการสำนักงานสิทธิมนุษยชน พื้นที่ภาคคะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ว่าชาวบ้านไม่สนับสนุนโครงการนี้ เพราะจะให้โทษมากกว่าผลดีต่อขุมชนโดยรอบและตนจะยื่นหนังสือต่อ สส.และกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม ต่อไป.

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / กยศ. เปิดทางปรับลดยอดหักเงินเดือน พ.ค.-มิ.ย.68

CREATOR: gd-jpeg v1.0 (using IJG JPEG v62), quality = 100

         กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดทางช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบจากการหักเงินเดือนเป็นการชั่วคราว โดยให้นายจ้างสามารถลดจำนวนการหักเงินเดือนให้กับผู้กู้ยืมในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2568 หรือสามารถขอทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อเริ่มผ่อนชำระใหม่เป็นรายเดือนในอัตราที่ลดลง ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากการที่กยศ. ได้มีการหักเงินเดือนเพิ่มเติม 3,000 บาท กับผู้กู้ยืมที่มียอดค้างชำระ ซึ่งก่อนหน้า กยศ. ได้มีการติดตามหนี้ครอบคลุมผู้กู้ยืมทุกคน รวมถึงผู้ที่ถูกหักเงินเดือน ให้ไปชำระยอดค้างส่วนนี้ด้วยตนเอง แต่เนื่องจากผู้กู้ยืมส่วนหนึ่งไม่ชำระยอดที่ค้าง ทำให้ กยศ. จำเป็นต้องเพิ่มวงเงินหักรายเดือนอีก 3,000 บาทต่อบัญชี ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568

       โดย กยศ.ได้มีการแจ้งทั้งผู้กู้และนายจ้างแล้วนั้น ทั้งนี้ หากผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถให้หักเงินเดือนได้ตามที่ กยศ.แจ้ง ให้ติดต่อขอทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อเริ่มต้นการผ่อนชำระใหม่ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เป็นรายเดือนในอัตราที่ลดลง ซึ่งในปัจจุบันมีผู้กู้ยืมเงินดังกล่าวได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ. แล้วกว่า 200,000 ราย สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังคงมียอดค้างชำระ และยังไม่ได้ติดต่อขอทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ กยศ. ยังคงต้องแจ้งให้หักเงินเดือนเพิ่ม 3,000 บาทต่อบัญชี ในเดือนพฤษภาคม 2568 และเดือนต่อไปจนกว่าจะไม่มียอดค้างชำระ

ดังนั้น กยศ. ขอให้ผู้กู้ยืมชำระยอดหนี้ที่ค้างหรือติดต่อขอทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์โดยเร็ว ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระของงวดปี 2568 ทั้งนี้ ในระหว่างรอการปรับโครงสร้างหนี้ กยศ. ได้เพิ่มเงื่อนไขการปรับลดการหักและนำส่งเงินของนายจ้างชั่วคราว โดยให้นายจ้างสามารถลดจำนวนการหักเงินเดือนให้กับผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบด้านการดำรงชีพในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2568 ได้เท่านั้น กยศ. ขอขอบคุณผู้กู้ยืมทุกท่านที่ชำระเงินคืนกยศ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมรุ่นน้องต่อไป”
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ประตูสู่ล้านนานายอำเภอทุ่งเสลี่ยมนำปลูกต้นไม้วันพืชมงคล.


ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่าเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.00 น. ภายใต้การอำนวยการของนายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย โดยนายปพน สอนธรรม นายอำเภอทุ่งเสลี่ยม

เป็นประธานเปิดโครงการ “ขยับกาย ปลูกต้นไม้ ลดโลกร้อน” ปลูกต้นไม้เนื่องในวันพืชมงคล รณรงค์

สร้างกระแสให้ประชาชนและเยาวชนในพื้นที่มีส่วนร่วในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพิ่มทรัพยากรป่าไม้ ลดโลกร้อนและฝุ่น PM 2.5

กิจกรรมในวันนี้ เป็นการปั่นจักรยานลัดเลาะชมธรรมชาติ ลดโรค เพิ่มพลังชีวิต และปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว คนละ 1 ต้น ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดเชิงผา กลุ่มเป้าหมายร่วมกิจกรรม 200 คน และมอบกล้าไม้ให้ตัวแทน อสม แต่ละตำบล เพื่อนำไปปลูกในพื้นที่อำเภอทุ่งเสลี่ยม

โดยมี สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุ่งเสลี่ยม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัด ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประชาชนอำเภอทุ่งเสลี่ยมได้เข้าร่วมด้วย

ทั้งนี้เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่รักษ์โลกปลูกต้นไม้เพื่อให้ความชุ่มชื้นบนพื้นดินและพื้นป่าสร้างอากาศที่ดีเพิ่มออกซิเจนให้มากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลกด้วย
กิตติ พรดวงจันทร์ สุโขทัย

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / อบต.น่าน จัดงาน”ส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรและลานหัตถกรรมพื้นบ้าน อ.ภูเพียงจ.น่าน”และ”งานเทศกาลผลไม้ ของดีตำบล เมืองจัง 2568″

ระหว่างวันที่ 8-12 พฤษภาคม 2568ณ สนามกีฬาโรงเรียนศรีนครน่าน
ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่านนายพล ผัดผล นายก อบต.เมืองจังกล่าวรายงานต่อ นายพงษ์ศิลป์ ผาลา นายอำเภอภูเพียง ประธานในพิธีเปิดงาน
“ส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรและลานหัตถกรรมพื้นบ้านอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน” และ”งานเทศกาลผลไม้และของดีตำบลเมืองจัง ประจำปี พ.ศ.
2568″

โดยมีนายทรงยศ รามสูต ส.ส.น่าน เขต 1 พรรคเพื่อไทย ดร.เชาวฤทธิ์ ขจพงศ์ กีรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคกล้าธรรม นาย รุ่งโรจน์ ขจรพงศ์กีรติ นายก อบต.ผาสิงห์ อ.เมืองน่าน นางสิรินทร รามสูต อดีต ส.ส.น่าน นางพวงแก้ว พรมมิ สอบจ.เขตอำเภอภูเพียง นายบุญยงค์ สดสอาด ประธานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจังหวัดน่าน

และนายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน นายศรีลัย ติ๊บแก้ว นายก อบต.นาปัง ผู้บริหาร ปลัดอปท.ในพื้นที่อำเภอเพียง ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาร่วมออกบูธ สำนักงานพาณิชจังหวัดน่าน มาจำหน่ายสินค้าราคาถูก ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นในเขตตำบลเมืองจัง พี่น้องเกษตรตำบลเมืองจัง หน่วยงานราชการร่วมกิจกรรมจำนวนมาก โดยกิจกรรมจัดขึ้น

ระหว่างวันที่ 8-12 พฤษภาคม 2568อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์และหลากหลายทั้งการท่องเที่ยวเชิงศาสนา ศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อาทิเช่นวัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง กิจกรรมท่องเที่ยวทางน้ำแหล่งพักผ่อนหย่อนใจแม่น้ำน่านบ้านหาดผาขน แม่น้ำยาวหาดสบยาว การเก็บและแปรรูปสาหร่ายไก นอกจากนี้
ยังมีสินค้าการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชน

ที่ได้ความนิยม เช่น การปลูกและแปรรูปมะม่วงหิมพานต์ ผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจกลุ่มแปรรูปมะไฟจีนบ้านกอก ผลิตตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำเกี๋ยน ผลิตภัณฑ์บ้านโคมคำตำบลม่วงตี๊ด ประกอบกับตำบลเมืองจังเป็นพื้นที่ปลูกผักและผลไม้แหล่งใหญ่ในจังหวัดน่าน โดยเฉพาะมะม่วง ลิ้นจี่แลถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของตำบลเมืองจังและของจังหวัดน่าน โดยในระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปีจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนจำนวนมาก

สำหรับการจัดงาน “ส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรและลานหัตถกรรมพื้นบ้าน
อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน” และ”งานเทศกาลผลไม้และของดีตำบลเมืองจัง ประจำปีพ.ศ.2568″ ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ผลผลิตทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากชุนทั้ง7 ตำบลในเขตอำเภอภูเพียง และเป็นการเปิดฤดูกาลใม้ผลของตำบลเมืองที่ออกสู่ตลาดจำหน่าย โดยเฉพาะมะม่วงและลิ้นจี่ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ภายในงานประกอบกิจกรรมต่างๆดังนี้

1 กิจกรรมการจัดแสดงนิทรรศการและการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร
และผลิตภัณฑ์ชุมชนของเกษตรกรและกลุ่มวิสาทกิจของทั้ง 7 ตำบลในอำเภอภูเภอภูเพียง 2) กิจกรรมการประกวดและแข่งขันของทั้ง 7 ตำบลในในอำนอำนกอภูเพียง ประกอบด้วย การประกวศร้องเพลงไทยลูกทุ่ง การประกวดจัดกระเช้าผลิตภัณภัณฑ์ทางทางการภาษตร การแข่งขันกินลิ้นจี่ การประกวดเมนูซูเอกลักษณ์วัตถุดิบท้องถิ่น (ลาบปลาข้น)เป็นต้น

3) การแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น 11 หมู่บ้าน ตำบลเมืองจัง
4) การแข่งขันตำมะม่วง (เมือง) ลีลา 5) การประกวดผลผลิตมะม่วง 4 สายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์เขียวเสวย พันธุ์น้ำดอกไม้ เบอร์ 4 พันธุ์น้ำดอกไม้สีทอง พันธุ์โชคอนันต์ และการประกวดผลผลิตลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 6) การแข่งขันกีฬาเปตอง
7) การประกวดหนูน้อยผลไม้ 8) การออกบูธนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆ
9) การแสดงดนตรีของวงดนตรีร่วมสมัย

การจัดงาน “ส่งเสริมการตลาดสินค้าเกษตรและลานหัตถกรรมพื้นบ้านอำเภอ
ภูเพียง จังหวัดน่าน” และ “เทศกาลผลไม้และของดีตำบลเมืองจัง ประจำปี พ.ศ.ศ.2568” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ การประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ทางการและ ผลิตภัณฑ์ชุมชน ของเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนและ ผู้ประกอบการในพื้นที่อำเภอภูเพียง และกระตุ้นการตลาด การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่น

มีการพัฒนาคุณภาพผลผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด อันจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับราษฎรในพื้นที่ต่อไปและการจัดงานในวันนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากอบจ.น่าน จำนวน 100,000 บาท และอบต.เมืองจัง/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / บึงกาฬรวมเป็นหนึ่ง Buengkan Zero Dropout จะไม่ทิ้งเด็กคนไหนไว้ข้างหลัง

จังหวัดบึงกาฬ ประชุมเชิงปฏิบัติการ ขับเคลื่อนโครงการ “Buengkan Zero Dropout” และพิธีมอบวุฒิบัตรผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกับโครงการสนับสนุนทางวิชาการเพื่อพัฒนารูปแบบการศึกษาหรือการเรียนรู้ที่ยืดหยุนวันที่(9 พฤษภาคม 2568) ที่หอประชุมศรีบึงกาฬ โรงเรียนบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ตำบลต้นแบบ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา

เพื่อให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาจังหวัดบึงกาฬ ตามโครงการ (Buengkan Zero Dropout) ภายใต้โครงการขับเคลื่อนข้อเสนอการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการด้านการศึกษาในภูมิภาค ระดับตำบโดยมีนายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานเปิดการประชุมและมอบวุฒิบัตร พร้อมด้วยนายสมหวัง อารีย์เอื้อ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ หัวหน้าส่วนราชการ ดร.กษมา ป้องกัน ผอ.สพม.บึงกาฬ นายนรภัทร สิทธิจักร รองผอ.สพม.บึงกาฬ ดร.ชวนะ ทวีอุทิศ ผอ.โรงเรียนบึงกาฬ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมกว่า 120 คน

การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนแนวทางในการลดจำนวนเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างยั่งยืน และให้การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกการศึกษาหรือเด็กตกหล่นได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา สร้างโอกาสความเสมอภาคความเท่าเทียมทางการศึกษาทุกช่วงวัย เพื่อให้ชวัญและกำลังใจและเชิดชูผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นพื้นฐานที่มีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบชุมชนในการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ จากข้อมูลของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า จังหวัดบึงกาฬ มีเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 3–18 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษากว่า 4,371 คน โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา มีตำบลต้นแบบ Zero Dropout ในจังหวัดบึงกาฬ จำนวน 1 แห่ง
คือ ตำบลถ้ำเจริญ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งเป็นการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กตกหล่นและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง จนกระทั่งส่งผลให้นักเรียนได้สำเร็จการศึกษา

นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า “การศึกษาคือรากฐานสำคัญของการพัฒนาชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน จังหวัดบึงกาฬ ให้ความสำคัญกับการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มที่หลุดจากระบบการศึกษา เราจะไม่ปล่อยให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การประชุมในวันนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมในระดับตำบล ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนในอนาคต”

นางรินทิพย์ วารี ศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดบึงกาฬ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ โดยยึดพื้นที่เป็นฐานการทำงาน ภายใต้ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมุ่งหวังให้ทุกตำบลในจังหวัดเป็นพื้นที่ปลอดเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เราไม่ได้มองเพียงการนำเด็กกลับมาเรียนเท่านั้น แต่ยังมุ่งพัฒนาให้เด็กแต่ละคนได้เรียนรู้ตามศักยภาพ และสามารถเชื่อมโยงสู่การมีอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”

โครงการ “Buengkan Zero Dropout” มุ่งขับเคลื่อนกลไกการค้นหา ติดตาม ฟื้นฟู และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ระดับตำบล โดยคาดหวังให้จังหวัดบึงกาฬเป็นต้นแบบของการดำเนินงานเชิงพื้นที่ด้านการศึกษาอย่างแท้จริง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ ยึดมั่นในหลักการ “ให้การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” กระทรวงศึกษาธิการต้องการเห็นเด็กทุกคนมีโอกาสเรียนรู้อย่างเสมอภาคและเติบโตในสังคมอย่างมีความสุข ตอบสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ “เรียนดี มีความสุข”

ข่าว/ภาพ ณัฏฐ์ ณฐพรหม บึงกาฬ

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / “ผลตรวจเลือด” โคกลุ่มเสี่ยงที่มดลูกทะลักตาย ไม่พบเชื้อเกี่ยวกับโรคแอนแทรกซ์

วันที่ 9 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์โรคแอนแทรกซ์ในจังหวัดมุกดาหารว่า จากการที่พบมีโคที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเกิดอาการมดลูกทะลักตายจำนวน 1 ตัว ในหมู่บ้านโคกสว่าง

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจทางห้องแลปไปแล้วนั้น ปรากฏว่าสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดมุกดาหารได้แจ้งรายงานยืนยันผลตรวจที่ออกมาแล้วว่า ไม่พบเชื้อที่เกี่ยวกับโรคแอนแทรกซ์แต่อย่างใด

ส่วนมาตรการในสัตว์ เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการกักฝูงโคที่เสียง 123 ตัว ในเกษตรกร 21 คน ที่สงสัยว่าเป็นต้นเหตุการติดเชื้อในคน โดยได้ฉีดยาปฏิชีวนะ Penicllin 7 วัน และกักสังเกตอาการอย่างน้อย 20 วัน ห้ามไม่ให้มีการนําวัวไปเลี้ยง

ในพื้นที่แปลงหญ้า หรือแหล่งน้ำในบริเวณที่มีความเสี่ยงการปนเปื้อนเชื้อ และได้ทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ในโค กระบือ ที่เลี้ยง ในพื้นที่เสี่ยง
ตลอดจนได้ทําลายเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงด้วยโซดาไฟ โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่สําคัญ เช่น ที่เือด สิ่งแวดล้อม

โรคแอนแทรกซ์มุกดาหาร ภาพ​/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

สือรัฐ ทีวี บก.เอกสิทธ์ หมวดทอง