คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สนธิกำลังร่วมกันดำน้ำเก็บกู้ลอบประมงดักปลาในเขตอุทยานแห่งชาติ บริเวณ เรือรบหลวงปราบ เพื่อความสวยงามของท้องทะเล/กำนันดัง ยันแค่จะเตือนแต่ถูกกร่างกลับ หวั่นอันตรายชักปืนป้องกันตัว

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธี รายงาน 0818923514 วันนี้ (15 ก.ย.68) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 1 (ชุมพร) สนธิกำลังร่วมกันดำน้ำเก็บกู้ลอบประมงดักปลาในเขตอุทยานแห่งชาติ บริเวณเกาะง่าม เรือรบหลวงปราบ และเกาะหลักง่าม ได้ลอบ จำนวน 4 ลูก ภารกิจเสร็จสิ้น

หนึ่งใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด ของแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวเมืองรอง นำเสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การที่ได้มาเที่ยวทะเลชุมพร ว่ากันว่าที่นี่หาดทรายสวย ใต้ทะเลสมบูรณ์เกินกว่าจะถูกมองให้เป็นแค่เมืองผ่าน เพราะจุดดำน้ำตื้นหมู่เกาะชุมพรแบ่งออกเป็นสองโซนใหญ่ กลุ่มแรกคือ เกาะง่ามน้อย ง่ามใหญ่ กะโหลก และ ทะลุ อีกกลุ่มคือ เกาะมัตรา หลักแรด ละวะ และ เกาะลังกาจิว การไปเที่ยวไม่ยากเลย มีบริษัทนำเที่ยวเอกชนให้บริการอยู่พอสมควร

ฤดูท่องเที่ยวทะเลชุมพรเหมาะสมที่สุดคือมกราคมถึงเมษายน เหมือนกับทะเลโซนอื่นของประเทศ ส่วนฤดูมรสุมใหญ่ฝั่งภาคใต้อ่าวไทยปกติอยู่ระหว่างตุลาคมกับพฤศจิกายน เดือนที่เหลือจากที่ว่ามาให้ดูตามสภาพอากาศเวลานั้นอีกทีแล้วกัน อาจจะมีฝนตกบ้าง เว้นช่วงบ้างว่ากันไป

แต่ก่อนไปยลอะไรที่สวยยิ่งกว่าต้องอดใจรอสักครู่ เพราะเรือมุ่งหน้าต่อสู่เกาะง่ามใหญ่
ง่ามใหญ่เป็นเกาะกลุ่มเดียวกับง่ามน้อยนั่นแหละ ที่นี่มีทีเด็ดมีเรือรบหลวงปราบ เฉพาะใต้น้ำแต่ยังโดดเด่นด้วยหน้าผาหินทรงแปลกตามองคล้ายฝ่ามือคนข้างขวา ชาวบ้านเลยเรียกกันว่าฝ่ามือพระพุทธเจ้า นักท่องเที่ยวไหวเลยครับ อุทานถึงพระองค์ พระองค์ก็มา

กำนันดัง ยันแค่จะเตือนแต่ถูกกร่างกลับ หวั่นอันตรายชักปืนป้องกันตัว

ธนากร โกสลเมธี รายงาน 0818923514 วันที่16 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบจากกรณี ผู้ใช้กรณีผู้ที่ใช้ Facebook ชื่อ Anong Panthong ได้ลงคลิปวิดีโอแสดงพฤติกรรมของกำนันนายนิรัตน์ เข้าระงับเหตุ ใช้เสียงดัง และเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวแต่ไม่พบใครอยู่ในบ้าน
ทางด้าน นายนิรัตน์ ผุดเพชรแก้ว กำนันคนดังกล่าวเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้รับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านหลายฉบับ และได้เก็บหนังสือร้องเรียนเหล่านั้นไว้ทุกฉบับทั้งหมด ชาวบ้านร้องเรียนว่า บ้านทำเสียงดัง ต.ท่าหิน อ. สวี จ.ชุมพร

หลังดังกล่าวได้ เบิ้ลเครื่องรถและเสียงท่อไอเสียดังมากกว่าปกติจึงได้โทรไปหาพ่อของ คนดังกล่าวเพื่อแจ้งให้ทราบและยังได้ตักเตือนไปถึง พฤติกรรมของคนดังกล่าวด้วย โดยเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นมานาน หลายเดือนแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าดำเนินการอย่างไรเนื่องจากพ่อของคนดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องแต่ผมในฐานะที่เป็นผู้นำของคนทั้งตำบล ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวน่าจะเปิดเผยคลิปที่ถ่ายตั้งแต่ตอนต้นไม่ใช่ตัดต่อเอาตอนที่ออกมาตามสื่อโซเชียล

ในวันนั้นขณะที่ผมนั่งอยู่กับน้องๆในวันนั้นขณะที่ผมนั่งอยู่กับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ ชรบ. ซึ่งเป็นบ้านที่ห่างจากบ้านหลังที่เกิดเหตุเพียงเล็กน้อย พร้อมกับได้ยิน เสียงเบิ้ลรถมอเตอร์ไซค์ ดังสนั่นหวั่นไหวมาก ตรงกับที่ชาวบ้านร้องเรียน ก็เห็นว่าเป็นเหตุเฉพาะหน้า จึงตั้งใจจะไปว่ากล่าวตักเตือนเพียงเท่านั้นทำให้ยังไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวหรือแต่งเครื่องแบบให้เป็นที่เรียบร้อยแต่อย่างใด แต่เมื่อไปถึงกับถูกพูดจาด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงตะคอก

ซึ่งเด็กกลุ่มนั้นยังเป็นเพียงวัยรุ่น แต่แสดงอาการกริยาไม่สุภาพต่อผมทำให้ผมเกิดอาการโกรธ ก็เลยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนในขณะที่กำลังเข้าไปปฏิบัติหน้าที่และมีอาการตามในคลิปที่เผยแพร่ในสื่อโซเซียล ส่วนเด็กและวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว กำลังอยู่ในลักษณะของการซ่อมรถ ซึ่งอาจจะมีไขควง หรือมีดหรือสิ่งอื่นใดที่อาจจะทำอันตรายต่อผมได้และผมก็มองเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ในเวลามืดค่ำประมาณทุ่มกว่าๆ และใช้เวลาอยู่ในที่เกิดเหตุเพียง 5 นาทีเท่านั้น ส่วนที่มีสื่อกระแสหลักหลายสื่อลงข่าวเพียงด้านเดียวของกลุ่มเด็กเหล่านั้นแต่ไม่ได้เข้ามาสอบถามหรือสอบถามข้อเท็จจริงจากผมแต่อย่างใด จึงอยากจะขอความเป็นธรรมให้กับตัวผมด้วย

กำนันตำบลท่าหินได้นำเอาเอกสารหนังสือร้องเรียนจำนวนมากที่มีชาวบ้านในเขตตำบลท่าหินและอยู่ใกล้เคียงกับบ้านหลังที่เกิดเหตุออกมาโชว์ให้กับผู้สื่อข่าวดูและบอกว่าได้รับคำร้องเรียนมานานแล้วมาก กำนันท่าหินได้อ่านหนังสือของชาวบ้าน หนึ่งในจำนวนมากนั้นลงวันที่ 2 กันยายน 2568 ว่าเนื่องจาก บ้ายดังกล่าว ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน จากการแต่งรถซิ่ง ของบรรดารถ จยย และส่งเสียงดังจากบ้าน หลังที่เกิดเหตุ และหนังสือฉบับอื่นๆอีกในข้อความคล้ายๆกันถึงความเดือดร้อนจากการแต่งรถเสียงดังและเบิ้ล รถเสียงดังในเวลาค่ำคืน นอกจากนั้น กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวยังมีประวัติพึ่งพ้นจากคุกออกมาไม่นานนักในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดส่วนอีกคนหนึ่งอยู่ใน การหลบหนี เข้ารับราชการทหารด้วย ส่วนในเวลาที่เกิดเหตุ ผมสังเกตเห็นคู่กรณีมีลักษณะของการก้มลงไปไม่ทราบว่าจะหยิบอะไรขึ้นมาเนื่องจากมืดจึงดึงอาวุธปืนออกมาจากสะเอวมาถือไว้เพื่อเป็นการป้องกันตัวและไม่ได้เล็งอาวุธปืนไปยังคู่กรณีแต่อย่างใดตามในคลิปที่เกิดขึ้น

   ทางด้านชาวบ้านหมู่ที่ 2 ตำบลท่าหินกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เด็กวัยรุ่นที่บ้านหลังดังกล่าวได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ซึ่งดัดแปลงส่งเสียงดังและเบิ้ลเครื่องอยู่เป็นประจำทั้งกลางวันและกลางคืนสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน มาเป็นเวลานานนับเดือนหลายเดือนแล้วนายไตรทิพย์ สกุลประดิษฐ์ นายอำเภอสวี กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวก็เป็นไปตามที่ออกไปตามสื่อโซเชียลต่างๆของกำนันตำบล และได้เชิญกำนันมาสอบถามรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และได้ กล่าวว่ากำนันทำอย่างนั้นได้อย่างไรถึงแม้ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ก็ตาม ทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อพี่น้องประชาชน ในขณะนี้ กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะดำเนินการต่อไปพ.ต.อ. วิษณุ สุระวดี  ผกก.สภ.สวี  จังหวัดชุมพร กล่าวว่า กรณีที่ปรากฏเป็นคลิปที่อยู่ในข่าวทางเราได้เรียกสอบปากคำในส่วนของผู้เสียหายเบื้องต้นแล้วยืนยันให้ดำเนินคดีซึ่งเกิดจากความกลัวที่ทางด้านกำนันไประงับเหตุเรื่องส่งเสียงดังแล้วก็มีการพูดโต้เถียงกันมีการชักอาวุธปืน ออกมาจากเอวที่เป็นไปตามภาพคลิปตามข่าวอยู่แล้วเราก็จำดำเนินไปตามตัวบทกฎหมายในส่วนนี้ซึ่งจะพิจารณาทุกส่วนในทุกตัวบทกฎหมายว่ากำนันมีอำนาจหรือไม่วันนั้นในวันเกิดเหตุมีการไปเนื่องจากเหตุอะไรมีเหตุผลกดเคืองกันมาก่อนไหมแล้วก็ในคลิปอาจจะ ถ่ายแค่มุมหนึ่งบุคคลที่โต้เถียง ด้วยทางเราไม่เห็นในส่วนนั้นจะต้องเรียกสอบปากคำทั้งหมดแล้วก็พิจารณาในส่วนข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแจ้งข้อหาถ้าหากว่ากำนันผิดในตัวบทกฎหมายไหนก็จะเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาในตัวบทกฎหมายนั้นในส่วนนั้นครับ

สื่อรัฐนิวส์*สื่อรัฐทีวี / จัดกิจกรรม ” โครงการตรวจเยี่ยมบ้านคนพิการ มอบชุดยังชีพให้ ทหารผ่านศึก คนพิการ ผู้ยากไร้ 40 ราย อ.วังสะพุง จ.เลย

แชร์เนื้อหานี้

14 กันยายน 2568 : 09.00-11.00 น. สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย ร.ต.ท.ดร.มนัส โนนุช ประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ มอบหมายให้ พ.ต.ศิริชัย ทรัพย์ศิริ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์ฯ/นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล,คณะจิตอาสาพระราชทาน 904,พระครูปริยัติสิทธิญาณ เจ้าคณะตำบลวังสะพุง เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด

พร้อมด้วยคณะสงฆ์,นายนครินทร์ เทพรักษ์ รหส.ผศ.สนง.สงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเลย มอบหมายให้ น.ส.ยุพาพิน สายศรีแก้ว ผช.หน.สนง.สงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเลย และคณะ,ชมรมแม่ดีเด่นแห่งชาติ จ.เลย และคณะ,นางจริยาพร พัฒนชัยกุล ประธานผู้ประสานงานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ จ.เลย

มอบหมายให้ นายณัฐกฤต สิมะลี เลขานุการ,พมจ.เลย และคณะ,ชมรมแม่บ้านดีเด่นระดับจังหวัด,นางฐานิดา อนุอัน นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลประจำจังหวัดกาฬสินธุ์,น.ส.ชญาภา เทียมเมฆ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลประจำจังหวัดบุรีรัมย์,ชมรมช่วยเหลือสังคม,นายธวัชชัย จิตต์เจริญ ที่ปรึกษาสมาคมคน

พิการฯ,ร.ต.อ.ชาญชัย วรรณโรจน์ คณะกรรมการผู้ไกล่เกลี่ย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ประสานงาน : ร่วมจัดกิจกรรม “โครงการตรวจเยี่ยมบ้านคนพิการตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง” มอบชุดยังชีพให้กับ ทหารผ่านศึก คนพิการ ผู้ยากไร้ จำนวน 40 ราย ณ บ้านเลขที่ 111 ม.7 ต.ปากปวน อ.วังสะพุง จ.เลย

*** ขอขอบคุณผู้ร่วมบริจาค มา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง ดังรายนามต่อไปนี้ ***สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล : บริจาคชุดยังชีพ จำนวน 20 ชุดชมรมแม่ดีเด่นแห่งชาติ จ.เลย : บริจาคชุดยังชีพ จำนวน 20 ราย และจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน

สส.เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล : บริจาคน้ำดื่ม จำนวน 50 โหลโรงแรมเซ็นธารา : บริจาคแปรงสีฟันและยาสีฟัน จำนวน 10 ลังสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเลย คนพิการทางการเคลื่อนไหวสากลพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเลยชมรมช่วยเหลือสังคมทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่1ทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่2ทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่3ทหารผ่านศึกบัตรชั้นที่4

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ประเพณีขึ้นโขนชิงธง คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก เรือศักดิ์มงคลชัย ครองถ้วยพระราชทานฯเงินรางวัล 120,000 บาท

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 สรุปผลการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธง คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ประจำปี 2568 วันนี้(14 ก.ย. 68) การแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธง คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ประจำปี 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

สืบสานพระราชปณิธานในการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำลำคลอง ธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมความรักความสามัคคีของประชาชน และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

บรมนาถบพิตร ที่มีต่อปวงชนชาวไทย และจังหวัดชุมพร และการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดชุมพร โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 -14 กันยายน 2568 ณ คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ตำบลนาชะอัง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

โดยมีนายวิชัย สุดสวาสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขันฯ พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรีกิตติภพ รอดดอน รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร, นายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ร่วมมอบรางวัลการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธง คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ประจำปี 2568

สำหรับผลการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้นโขนชิงธง คลองในหลวงหัววัง-พนังตัก ประจำปี 2568 เรือยาวประเภท 32 ฝีพายผู้นำ ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่ เรือศักดิ์มงคลชัย สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งคา เงินรางวัล 120,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 1

เรือเทพชินกร สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา เงินรางวัล 100,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 2 เรือพรแม่ย่าเน้ย สังกัด เทศบาลตำบลบางหมาก เงินรางวัล 80,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 3 เรือสิงโตทอง สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลถ้ำสิงห์ เงินรางวัล 60,000 บาท

เรือยาวประเภท 16 ฝีพายทั่วไป ครองถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้แก่ เรือเพชรบ้านนา Good Design ป.นำโชค สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา เงินรางวัล 35,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 1 เรือจระเข้ท่าม่วง

สังกัด วัดหูรอ เงินรางวัล 30,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 2 เรือฤทธิ์เทวดาเพชร 5 แยก สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลพ้อแดง เงินรางวัล 25,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 3 เรืออนันตชัย สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม เงินรางวัล 20,000 บาท

เรือยาวประเภท 32 ฝีพายประชาชนทั่วไปภายในจังหวัด ครองถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ เรือพลอยชมพู สังกัด Good design เงินรางวัล 50,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 1 เรือสะหัสชัย

สังกัด เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน เงินรางวัล 40,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 2 เรือพระนเรศวร สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลพ้อแดง เงินรางวัล 30,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 3 เรือศักดิ์มงคลชัย สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งคา เงินรางวัล 20,000 บาท

เรือยาวประเภท 8 ฝีพาย ครองถ้วยพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้แก่ เรือเพชรณภัทร สังกัด เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน เงินรางวัล 15,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 1 เรือเจ้าแม่นาคราช เพชรอานุภาพ ฐิตะฐาน 2 สังกัด องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านนา

เงินรางวัล 12,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 2 เรือป.รัตนชัย วัยรุ่นบ้านควน สังกัด วัดชลธารวดี เงินรางวัล 10,000 บาท, รองชนะเลิศ อันดับ 3 เรือสาวน้อยพนังตัก 2 เอเพ็กซ์ฟู้ด สังกัด เทศบาลตำบลนาชะอัง เงินรางวัล 8,000 บาท

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ตามไปดู จ.แพร่ “จัดชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองฯ ร่วมออกตรวจสอบตู้คีบตุ๊กตา บริเวณห้างสรรพสินค้า ใน.จแพร่ “

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 จังหวัดแพร่ อำนวยการโดย นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ นายสมชาย อำพันกาญจน์ ปลัดจังหวัดแพร่ นายสมศักดิ์ สุขประเสริฐ นายอำเภอเมืองแพร่ สั่งการให้ นายธรรมนูญ กาญจนครุฑ

ป้องกันจังหวัดแพร่ นายอนุวัฒน์ สาน้ำอ่าง ผช.ป้องกันจังหวัดแพร่ นายปรีชา นุ่นปาน ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดแพร่ ฉก.หม้อห้อม (ร้อย.บก.บร.) และชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเมืองแพร่ ฉก.ช่อแฮ (ร้อย.อส.อ.เมืองแพร่ 1)

บูรณาการร่วมกับ จนท.ตำรวจ สภ.เมืองแพร่ ทต.เมืองแพร่ ร่วมกันออกตรวจสอบตู้คีบตุ๊กตา บริเวณห้างสรรพสินค้ามาร์คโฟร์พลาซ่า บิ๊กซี และโลตัส ไม่พบการให้เข้าเล่นตู้คีบตุ๊กตาแต่อย่างใด และได้เข้าตรวจสอบตู้คีบตุ๊กตาบริเวณห้องเช่าภายในปั้มน้ำมันบางจาก ต.ในเวียง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่ พบว่ามีตู้คีบตุ๊กตาสามารถให้ผู้ใช้บริการเข้าเล่นได้

เจ้าหน้าที่ ฯ จึงได้ทำการตรวจยึดของกลาง จำนวน 4 รายการ ดังนี้ 1. ตู้คีบตุ๊กตาสีฟ้า จำนวน 1 ตู้ 2. ตู้คีบตุ๊กตาสีเหลือง จำนวน 1 ตู้ 3. ตู้คีบตุ๊กตาสีชมพู จำนวน 1 ตู้ 4. ป้ายขั้นตอนประชาสัมพันธ์การแลกเหรียญและธนบัตรการเล่นตู้คีบตุ๊กตา จำนวน 1 ป้าย

จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางและแจ้งข้อกล่าวหาแก่เจ้าของปั้มน้ำมันดังกล่าวพร้อมนำของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองแพร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ทีมข่าวบก รายงาน ธีรพงษ์ #ธงออน/#แพร่

061-585-5297

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พิธีลงนามสัญญาเงินกู้โครงการวางท่อส่งน้ำดิบใหม่ จากลำตะคองมายังบ้านมะขามเฒ่าวงเงิน700ล้านบาท

แชร์เนื้อหานี้

้เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 68 เวลา 10.00 น. ณ โรงเรียนเทศบาล 4 อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ร่วมลงนามสัญญาการกู้เงินกับ นายชวลิต ประวะภูโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจขนาดกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และนางสาววมิรา สิงสนั่น เจ้าหน้าที่ส่วนวิเคราะห์สินเชื่อธุรกิจ SME ระหว่างเทศบาลนครนครราชสีมากับธนาคารกรุงไทย สาขาจังหวัดนครราชสีมา โดยมีคณะผู้บริหาร ปลัดเทศบาล สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่เทศบาล และสื่อมวลชล ร่วมในพิธีลงนามสัญญาเงินกู้โครงการวางท่อส่งน้ำดิบใหม่จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าวงเงิน 700 ล้านบาท ตาม ที่เทศบาลนครนครราชสีมา ได้เสนอขอรับเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อมาดำเนิน โครงการ จัดหา น้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติ งบประมาณให้ดำเนินโครงการ ในวงเงินงบประมาณ 1,995,430,000 บาทประกอบด้วย

  1. เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ สนับสนุนร้อยละ 50 (วงเงิน 997,715,000 บาท)
  2. เทศบาลนครนครราชสีมาสมทบ ร้อยละ 50 (วงเงิน 997,715,000 บาท)
  3. โดยมี รายละเอียดของโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่าดังนี้
  4. ค่าก่อสร้าง วงเงินงบประมาณที่รับอนุมัติ 1,928,410,000 บาท ราคากลาง 1,915,500,000บาท ประกอบด้วย
    งานก่อสร้างสถานีสูบน้ำดิบ 2 แห่ง คือ สถานีสูบน้ำดิบเขื่อนมะเกลือใหม่ และสถานีสูบน้ำดิบที่
    โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า และงานวางท่อเหล็กหล่อเหนียว และท่อ HDPE ขนาด 1,200 มม. วางตามคลองธรรมชาติ ความยาว ประมาณ 35 กิโลเมตร
  5. ค่าจ้างที่ปรึกษาเป็นค่าควบคุมงาน วงเงินงบประมาณ 67,020,000 บาท
    ราคากลาง 52,560,000 บาท

การดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นงบผูกพัน 5 ปี (งบประมาณปี 2568-2572) เทศบาล
ต้องสมทบ 997,715,000 บาท เนื่องจากเทศบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอ จึงจำเป็นต้องกู้ เงิน จากแหล่งเงินกู้ และได้แสวงหาแหล่งเงินกู้จาก ธนาคารและ สถาบัน เงินกู้ ต่างๆ พบว่า ธนาคารกรุงไทย ให้ดอกเบี้ยต่ำ ที่สุด คือร้อยละ 1.95 บาทต่อปี เทศบาลจึงได้ดำเนินการ ตามระเบียบข้อกฎหมาย เพื่อขอกู้เงิน เมื่อได้รับอนุมัติ จากรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย จึงได้ดำเนินการ กู้เงิน จากธนาคารกรุงไทย โดยมีวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อการลงทุน โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า เป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาล ในการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภคของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสาธารณูปโภค สนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

การค้าและการลงทุนของ จังหวัดนครราชสีมา ลดการสูญเสียน้ำดิบระหว่างการขนส่งผ่านท่อ เพิ่มปริมาณส่งน้ำผ่านท่อได้ประมาณ 16.42 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (อัตราค่าน้ำประปาตั้งแต่ 5-25 ลูกบาศก์เมตร มีค่าเฉลี่ย 12.14 บาทต่อ ลูกบาศก์เมตรลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมท่อน้ำดิบ ประมาณ 10.80 ล้านบาทต่อปี ลดค่าใช้ไฟฟ้าในการสูบน้ำ ประมาณ 10.61 ล้านต่อปี สามารถขยายการบริการประปาไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นข้างเคียงได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง จากเดิม 76.70 ตารางกิโลเมตร เป็น 223.85 ตารางกิโลเมตร เทศบาลนครนครราชสีมา ไม่มีหนี้ค้างชำระ สามารถกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยได้ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1.95 ต่อปี ซึ่งถูกกว่าการกู้เงินจากเงินทุนส่งเสริมกิจการเทศบาล ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี การกู้เงินในครั้งนี้ได้ผ่านการประชุมประชาคมระดับนคร ผ่านการอนุมัติจากสภาเทศบาลนครนครราชสีมา

ในการประชุมสมัยสามัญ สมัยที่ 4 ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 การกู้เงินได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการกู้เงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล จำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 และครั้งที่ 2/2568เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมการฯ เห็นว่า การขอกู้เงินของเทศบาลนครนครราชสีมาจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขานครราชสีมา จำนวน 700,000,000 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า มีความเหมาะสมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเป็นไปตาม พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2596 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดการอบรมอาสาสมัครนำเที่ยวท้องถิ่น รุ่นที่ 1 เสริมศักยภาพต้อนรับเทศกาล Green Season ปลายฝนต้นหนาว

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 09.30 น. ณ บึงงามรีสอร์ท อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬ กล่าวต้อนรับอาสาสมัครนำเที่ยวท้องถิ่นที่เดินทางมารายงานตัวเข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรภาคการท่องเที่ยวและบริการ อาสาสมัครนำเที่ยวท้องถิ่น รุ่นที่ 1 ภายใต้งบประมาณสนับสนุนตามแผนพัฒนาจังหวัดบึงกาฬ และนโยบายของนายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวชุมชนและการท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้มีคุณภาพและยั่งยืน

ต่อมาในเวลา 13.00 น. นายสมหวัง อารีย์เอื้อ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมอย่างเป็นทางการ พร้อมกล่าวว่า “การจัดอบรมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬ ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี สามารถดูแลและต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีมาตรฐาน พร้อมทั้งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่จังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬที่ต้องการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การท่องเที่ยวบึงกาฬเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบึงกาฬตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  1. พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ให้มีความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารจัดการและการบริการตามมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย
  2. เสริมสร้างทักษะอาชีพและความสามารถในการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลายและสร้างสรรค์
  3. ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการเป็นเจ้าบ้านที่ดี เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว

การอบรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 กันยายน 2568 ณ บึงงามรีสอร์ท อำเภอบึงโขงหลง โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 60 คน ประกอบด้วยผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ อาทิ ความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว การปฐมพยาบาลเบื้องต้น การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การเป็นมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ การตลาดเพื่อการท่องเที่ยว และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬให้สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดแล้ว!! ศูนย์ประสานงานพุทธวิธีเพื่อสิทธิมนุษยชน วัดตานีนรสโมสร จ.ปัตตานี รร.เทศบาล2

แชร์เนื้อหานี้

ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ 7 กันยายน 2568 ที่วัดตานีนรสโมสร (พระอารามหลวง) อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ร่วมพิธีเปิดศูนย์ประสานงานพุทธวิธีเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยมี นายชูชีพ ธรรมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี, นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ,

เลขาธิการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ,ผู้แทนชมรมพุทธมามกะศีล 5 จังหวัดปัตตานี , ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมี พระราชวัชรญาณโมลี รองเจ้าคณะภาค 18 เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร , พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ ตลอดจน พุทธศาสนิกชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

สำหรับศูนย์ประสานงานพุทธวิธีเพื่อสิทธิมนุษชน วัดตานีนรสโมสร จังหวัดปัตตานี เป็นความร่วมมือของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ บูรณาการร่วมกับวัดตานีนรสโมสร(พระอารามหลวง) มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขเเละสันติ และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จัดตั้งขึ้น เพื่อให้วัดตานีนรสโมสร เป็นศูนย์กลางในการศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาและเป็นศูนย์กลางในการประสานงานด้านสิทธิมนุษยชน

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนนภาคใต้ ให้คำปรึกษาให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน รับเรื่องร้องเรียนประสานงานความช่วยเหลือและส่งต่อเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนส่งเสริมให้วัดตานีนรสโมสร เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนต่อพุทธศาสนิกชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมในการเผยแพร่ความรู้ ประชาสัมพันธ์หลักการสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ ก่อนเปิดศูนย์ฯ ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ เมื่อวันที่ 5-6 กันยายน 2568 ณ โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายทั่วไป ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน และการเยียวยาตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยมี พระสงฆ์ สามเณร เข้าร่วมอบรม 10 รูป และมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครประจำศูนย์ประสานงานเข้าร่วม 50 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นจิตอาสาประจำศูนย์ฯ อีกด้วย

ภาพ/รายงานข่าว : สำนักข่าว THE SRINGER TODAY

ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด 4 กันยายน ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (4 ก.ย.) ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ

ผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ของไทย ได้จัดพิธีทำบุญครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุวัฒนมงคล ณ สโมสรฉวีวรรณกรุ๊ป (แห่งใหม่) ตั้งอยู่ใน ต.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมจัดพิธีสืบชะตาแบบล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล

โดยได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคุณธงชัย เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่านสงฆ์ และมี

นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้วอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายธวัชชัย ศรีทอง ตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี

นางเดชา จันทร์เล็ก นายเอกสิทธิ์ อ่ำฉอ้อน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เขตอำเภอศรีราชา พร้อมด้วย นายอโนทัย เจริญสันติสุข คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การบริหารนโยบายนายกอบจ.ชลบุรี

และมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานเอกชน ประชาชนผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือและหน่วยงานต่างๆ จากทั่วประเทศทึ่ได้รับการสนับสนุนจาก ดร.ฉวีวรรณ ทั่วสารทิศ เดินทางเข้าอวยพรวันเกิดเป็นจำนวนมาก

ขณะที่ ดร.ฉวีวรรณ คำพา เผยว่าการช่วยเหลือสังคมและผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นสิ่งที่ตนยินดีทำและยึดมั่นมาโดยตลอด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่านอกจากการจัดพิธีทำบุญและพิธีสืบชะตาแบบล้านนาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีแล้ว ในทุกวันคล้ายวันเกิดอายุวัฒนมงคล

ดร.ฉวีวรรณ คำพา จะมอบทุนบำรุงสถานศึกษาทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นประจำทุกปี และในปีนี้มีโรงเรียนและสถานศึกษาที่ขอทุนเกือบ 2 ล้านบาท

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / มูลนิธิกาญจนบารมีร่วมกับเทศบาลตำบลเมืองคงจัดโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านม ฟรี!! ครบุรี โคราช จัดงานใหญ่ “ คนครบุรีสร้างสุขภาพ “ ปี 2568

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2568 ณ หอประชุมตระกูลสุขเทศบาลตำบลเมืองคง อ.คง จ.นครราชสีมา มูลนิธิกาญจนบารมี ร่วมกับ เทศบาลตำบลเมืองคง จัดโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยเครื่องเมมโมแกรม(mammogram) ฟรี โดยมี สาธารณสุขเมืองคง รพ.เมืองคง การไฟฟ้าเมืองคง อสม. และผู้นำชุมชนเข้าร่วมกิจกรรม

นายไพศาล เกียรติชัยพัฒน นายกเทศมนตรีตำบลเมืองคง กล่าวว่า ประชาชนชาวเมืองคง 10 ตำบล เข้ามาคัดกรองดูความเสี่ยง ต้องขอขอบคุณ อสม. ผู้นำชุมชน ที่ช่วยประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนเข้ามาคัดกรอง ใครก็มาตรวจได้ ขอแค่เป็นคนไทย จะต่างอำเภอหรือต่างจังหวัด

ในโอกาสนี้ ดร.นายแพทย์อิทธิพล สูงแผง หัวหน้าหน่วยคัดกรองมะเร็งเต้านม ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ตรวจพบ มีรายใหม่ 20,000กว่าราย และ 40 % เสียชีวิต สาเหตุ มีหลายปัจจัย คือ กรรมพันธ์ การออกกำลังกาย การกินอาหาร สุขภาพจิต การสัมผัสมลภาวะ ดิน น้ำ อากาส และผู้ที่ ติดบุหรี่เหล้า

และความสัมพันธ์ของฮอร์โมนในร่างกาย ดร.นายแพทย์ อิทธิพล สูงแผง กล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าตรวจเจอเร็ว จะหายเร็ว ส่วนใหญ่มาตรวจช้า ก้อนโตแล้ว วิธีป้องกันคือ คนที่เป็นกรรมพันธ์ ต้องตรวจบ่อยๆ ออกกำลังกาย อย่ากินหวานมัน และอย่าสัมผัสมลภาวะต่างๆ

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

รบุรี โคราช จัดงานใหญ่ “ คนครบุรีสร้างสุขภาพ “ ปี 2568 แสดงพลัง รู้รักสามัคคี เป็นที่ประจักษ์ !!!

เป็นที่ประจักษ์ รู้รักสามัคคี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงานมหกรรม “ คนครบุรีสร้างสุขภาพ ” ประจำปี 2568 จัดโดย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต (พชอ.) อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ณ สนามกีฬากลางหน้าที่ว่าการอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา

โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการดูแลรักษาสุขภาพ การออกกำลังกาย เพื่อให้มีสุขภาพร่ายกายและจิตใจที่แข็งแรง ห่างไกลจากยาเสพติด ตลอดจนสร้างเสริมให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในหมู่พี่น้องประชาชนชาวอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ด้วย โดยในงานได้จัดให้มี

กิจกรรมการแข่งขันเต้นแอโรบิคจากสถานพยาบาลของรัฐภายในอำเภอครบุรี ได้แก่ โรงพยาบาลครบุรี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ( รพสต.) 17 แห่ง ร่วมชิงเงินรางวัลรวมกว่า 50,000 บาท

โดยรับเกียรติจากนายวิจิตร กิจวิรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นำคณะหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและผู้แทนภาคเอกชนในท้องถิ่นร่วมเปิดงานและออกกำลังกายเต้นแอโรบิคเยี่ยมชมซุ้มนิทรรศการ และพบปะทักทายพี่น้องประชาชนชาวอำเภอครบุรีที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่งและคึกคักด้วย

นาทีเฉียดตายของสาวโรงงาน หน้านิคมอุตสาหกรรมนวนคร2 สูงเนิน โคราช

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 เวลาประมาณ 07:10น.นาทีเฉียดตายของสาวโรงงานขณะรอกลับรถยูเทริน ภาพจากกล้องหน้ารถจับภาพได้ขณะรถบรรทุกตู้อาหารทะเลสดเสียหลักหักหลบรถบรรทุก6ล้อขณะกลับรถยูเทริน เลยทางด่วนขาเข้า กทม.หน้า นิคมอุตสาหกรรมนวนคร 2 สูงเนิน ต.นากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ภาพจากคลิปหน้าจากรถ

จับได้ภาพได้รถบรรทุกตู้ 10ล้อ HINOทะเบียน 70-2436 สีเขียว ป้ายทะเบียนสระแก้ว มาด้วยความเร็วมาถึงจุดเกิดเหตุหักหลบรถบรรทุก6ล้อ สีขาวไม่ทราบป้ายทะเบียนขณะรอยูเทริน ทำให้พุ่งเสียหลักพลิกคว่ำทับรถจักรยานยนต์ Honda เวฟ125i สีน้ำเงิน ทะเบียน2กย2806นม สาวโรงงานขับรถจักรยานยนต์พังยับเยิน เฉียดตาย ตามคลิป

หน้ารถ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยรู้สึกตัวดีมีอาการปวดหัวขอไปโรงพยาบาลเอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สูงเนิน ร่วมกับเจ้าหน้าที่หมวดการทางสูงเนิน และอาสาสมัครกู้ภัยฯ ร่วมเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรบริเวณที่เกิดเหตุ

จนกระทั่ง สภาพการจราจรเข้าสู่สภาวะปกติโดยสามารถใช้ช่องทางเดินรถได้ตามปกติและใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เจ้าหน้าตำรวจร้อยลงบันทึกประจำวันเพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

ภาพ/ข่าว : กอล์ฟ สูงเนิน
กันตินันท์ เรืองประโคน/ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เกษตรกรแห่กดเงินไร่ละพันคึกคัก ขณะที่เกษตรกรบางรายไม่อยากให้ยุบสภา บางรายพร้อมเลือกตั้งใหม่ / เปิดใจทหารกล้าหน่วยบินโดรมทิ้งระเบิด หลังออกไปทำภารกิจ 4 นาย ตาย 3 รอด 1 นาย

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายนงานว่า จากกรณีที่ทางธนาคาร ธกส ได้ประกาศเริ่มโอนเงิน ไร่ละ 1,000 บาท ตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ไร่ละ 1,000 บาท เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร ให้สามารถปลูกข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากขึ้นโดยจะแบ่งเป็นเกษตรกรที่อยู่ในแต่ละภูมิภาค ดังนี้
1 ก.ย. 68 โครงการนาปรัง ปี 2568 เกษตรกร 769,461 ราย 6,280 ล้านบาท (ทั่วประเทศ)
2 ก.ย. 68 โครงการนาปี 2568 เกษตรกร 286,831 ราย 2,459 ล้านบาท (ภาคเหนือ)
3 ก.ย. 68 โครงการนาปี 2568 เกษตรกร 1,291,298 ราย 10,586 ล้านบาท (ภาคอีสาน)
4 ก.ย. 68 โครงการนาปี 2568 เกษตรกร 137,478 ราย 1,254 ล้านบาท (ภาคอื่น ๆ)


***ล่าสุดวันนี้ (3 ก.ย. 68) บรรยากาศที่หน้าตู้เอทีเอ็ม และหน้าตู้ปรับสมุดบัญชีธนาคาร ธกส. สาขาอำเภอเมืองศรีสะเกษ คึกคักเต็มไปด้วยชาวเกษตรกรที่มาต่อคิวยาว เพื่อรอปรับสมุดเงินฝาก ธกส. และกดเงินจากตู้กดเงินธนาคาร ธกส. โดยผู้สื่อข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับเกษตรกรรายหนึ่งได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ตนมากดเงินไร่ละ 1,000 บาท ถ้าได้เงินตัวไปตนจะนำไปซื้อปุ๋ยจ่ายค่าไถหว่านข้าว ปีนี้ถือว่าได้เร็วกว่าทุกๆปี

ต้องขอขอบคุณรัฐบาลอยากให้รัฐบาลจ่ายเงินช่วยเหลือแบบนี้ทุกๆปีจะได้ช่วยเหลือชาวนา ส่วนความเห็นเรื่องการเมืองตนไม่อยากให้ยุบสภา เพราะเศรษฐกิจไม่เหมือนเดิมแล้วถึงใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็คงเหมือนเดิม ตนอยากให้รัฐบาลชุดเก่าทำหน้าที่ต่อไป เหลืออีก 2 ปี รัฐบาลก็ต้องหมดวาระลงแล้วอยากให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยบริหารต่อไปอีก ถ้าเสื้อส้มกับเสื้อน้ำเงินจับมือกันโหวตนายกคนใหม่ตนไม่เห็นด้วย

***ด้าน นางไพบูลย์ ลาทุลี อายุ 70 ปี วันนี้ตนมาดูเงินไร่ละ 1,000 บาทที่รัฐบาลช่วยค่าปุ๋ยค่าเก็บเกี่ยววันนี้เงินเข้าบัญชีแล้ว ตนได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกไว้ 13 ไร่ ตนได้รับเงินทั้งหมด 10,000 บาท ตนรู้สึกดีใจและชื่นใจสุดๆตนขอขอบคุณรัฐบาลที่ช่วยเหลือประชาชนตนจะเอาเงินนี้ไปซื้อปุ๋ยซื้อของใช้ใส่บ้านตนอยากให้รัฐบาลทำแบบนี้ตลอดทุกๆปี

ปีนี้ถือว่ารัฐบาลให้เงินเร็วมากไม่เหมือนปีที่ผ่านๆมาจ่ายล่าช้า ส่วนความคิดเห็นเรื่องการเมืองตนขอเป็นใครก็ได้ขอแค่ให้เข้ามาพัฒนาให้เศรษฐกิจดีอยู่ดีกินดีก็พอ
***เช่นเดียวกับวินมอเตอร์ที่อยู่หน้าธนาคาร เปิดเผยว่า ส่วนตัวถ้ามีการยุบสภาจริง ก็ถือว่าดี จะได้คืนอำนาจให้กับประชาชน และพวกตนก็พร้อมเลือกตั้งนายกคนใหม่ เพื่อให้เข้ามาพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

เปิดใจทหารกล้าหน่วยบินโดรมทิ้งระเบิด หลังออกไปทำภารกิจ 4 นาย ตาย 3 รอด 1 นาย

***เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 68 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านอีปาด ตำบลอีปาด อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ทราบข่าวว่า ส.อ.สุทธิชัย เรื่อเรือง สังกัด กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 ได้กลับบ้านมารักษาตัวแล้ว หลังออกไปปฏิบัติหน้าที่บินโดรนทิ้งระเบิกใส่ทหารกัมพูชา แล้วบาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดระเบิด โดยพอไปถึง ส.อ.สุทธิชัย เรื่อเรือง หรือ เอก ได้ออกมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า วันนั้นเป็นวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมาตนได้รับภารกิจบินโดรมทิ้งระเบิดที่ปราสาทตาควายจังหวัดสุรินทร์ ภารกิจในวันนั้นจะมีทหารออิกปฏิบัติการทั้งหมด 10 นาย ซึ่งในนั้น 4 นาย จะเป็นของหน่วยตนที่มีหน้าที่นำโดรมออกไปทิ้งระเบิก

***โดยระหว่างการปฏิบัติหน้าที่นั้นมีการยิงปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งจุดที่ตนอยู่จะห่างจากจุดปะทะฝั่งกัมพูชาประมาณ 500 เมตร โดยจังหวะที่ตนกำลังก้มลงเก็บ notebook ได้มีระเบิดที่ยิงมาจากฝั่งกัมพูชาได้ตกลงข้างๆที่พวกคนอยู่ ทำให้สะเก็ดระเบิดโดนเพื่อนทหารและตนจนทำให้เพื่อนเสียชีวิตทั้ง 3 นาย และตนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เท่ากับว่าไป 4 นาย ตาย 3 รอด 1 นาย

***ตนโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่ลูกตาทั้ง 2 ข้าง จนตนรู้สึกมองเห็นฝ้ามัวไปหมด และแขนข้างขวาโดนสะเก็ดระเบิดจนกระดูกหักตอนแรกตนคิดว่าแขนขาไปแล้ว ตนตั้งสติได้จึงร้องบอกให้เพื่อนๆดึงตัวเข้าที่กำบังจากนั้นเรียกหน่วยพยาบาลเข้าช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล อาการตอนนี้ดีขึ้นแล้วหมอให้ออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวที่บ้านตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา หมอได้ผ่าตัดเอาสะเก็ดระเบิดออกจากตาทั้ง 2 ข้างได้อย่างปลอดภัยตาข้างขวามองเห็น 100% แล้วแต่ตาข้างซ้ายยังมัวอยู่นิดหน่อยต้องใช้น้ำตาเทียมหยอด ส่วนแขนหมอได้ทำการผ่าตัดใช้เหล็กดามกระดูกหมอได้ผ่าตัดเย็บถึง 3 ชั้น เย็บกว่า 100 เข็ม ตอนนี้ก็เริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

***ส.อ.สุทธิชัย เรื่อเรือง กล่าวต่อไปว่า จากการดูแม่ทัพภาคที่ 2 เล่าถึงตนและทหารทุกนายที่ได้รับบาดเจ็บตนรู้สึกภาคภูมิใจและขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ให้เกียรติและให้การดูแลพร้อมเข้ามาให้กำลังลูกน้องทุกนายที่ได้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ ถ้าตนหายเป็นปกติแล้วถึงร่างกายจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ตนก็ยังจะขอกลับไปรับใช้ชาติต่อไป ถ้าในภารกิจแนวหน้ามีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตนไปปฏิบัติหน้าที่ตนก็ยังจะไปเหมือนเดิม ตนขอฝากเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆน้องๆทหารแนวหน้าทุกนายที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนี้ และอยากให้ทหารทุกนายมีแว่นไว้ป้องกันสายตาเพราะสายตาเป็นจุดที่สำคัญและเป็นจุดที่อ่อนโยนที่สุดถ้าเกิดเหตุเหมือนตนจะได้มีแว่นไว้ป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับดวงตาเราได้