คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ /ศรีสะเกษ ขุนหาญผนึกกำลังซ้อมแผนหนีภัย! นักเรียน-ชุมชนกว่า 350 คน ฮึดรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ที่โรงเรียนบ้านป่าไม้ห้วยจันทร์ หมู่บ้านห้วยจันทร์ ตำบลห้วยจันทร์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ มีการ

จัดกิจกรรมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อเตรียมความพร้อมในการอพยพและหลบภัยหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

กิจกรรมดังกล่าวอยู่ภายใต้การอำนวยการของ นายปวิช รัตวาลย์ นายอำเภอขุนหาญ โดยมอบหมายให้ นายทวี นพเก้า กำนันตำบลห้วยจันทร์ เป็นผู้แทนดำเนินการ พร้อมด้วย ชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชนที่ 2209, นายกองค์การบริหาร

ส่วนตำบลห้วยจันทร์, ผู้นำชุมชน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.), ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ร่วมกับคณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านป่าไม้ห้วยจันทร์ รวมกว่า 350 คน

การซักซ้อมมีทั้งการประชุมคณะทำงาน การฝึกเข้า “บังเกอร์หลบภัย” การฝึกแถวอพยพ และแผนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุวิกฤตจริง เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ กิจกรรมได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำชุมชน คณะครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีในการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ชายแดนที่อาจเกิดขึ้น////
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ต่างด้าวเหิม เปิดบ่อนชนไก่ ใหญ่ที่สุด พื้นที่ปากน้ำหลังสวน จ่ายหนักกับใคร ใครอยู่เบื้องหลัง กอรมน.ชุมพร.บุกจับ เผ่นหนีกระเจิง

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 23 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ของวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน ภ.จว.ชุมพร ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สมคะเน โพธิ์ศรี ผบก.ภ.จว.ชุมพร พ.ต.อ.ธงชัย นุ้ยเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร พ.ต.อ.ศุภณัฐ รัตนภิรมย์ ผกก.สืบสวน ภ.จว.ชุมพร. พ.ต.ท.สุรพศ สุทธิเกิด รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.ชุมพร,

พ.ต.ท.พงศธร พิชิตชลพันธ์ รอง ผกก. สืบสวน ภ.จว.ชุมพร นำโดย พ.ต.ท.วิวัฒน์ ฉิมมณี สว.กก.สืบสวนฯ ด.ต.สมยศ ยังวัฒนา, ด.ต.วัชรพันธ์ ชูละออง.จ.ส.ต.อิสรพงษ์ อนุตรเวสารัชน์ จ.ส.ต.ภาณุวัฒน์ สูงสง่าวงศ์ และ จ.ส.ต.ก้องศักดิ์ ชูแก้ว ผบ.หมู่ กก.สืบสวน ภ.จว.ชุมพรเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดชุมพร นำโดย พ.ต.กอบศักดิ์ นาคหาญ จนท.ปฏิบัติการ ฝ่ายการข่าวฯ จ.ส.อ.อรรถพล คลี่บำรุง จนท.ฝ่ายการข่าวฯ จ.ส.อ.ธนวรรธน์ บรรจงศิริทัศน์ จนท.ฝ่ายการข่าวฯ

และ จ.ส.อ.พงษ์ศิลป์ รุ่งอาญา จนท.ฝ่ายการข่าวฯเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. นำโดย พ.ต.ท.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล สว.กก.5 บก.ป. ด.ต.บรรจบ งานดี ด.ต.ณัฏฐ์ธนัน ม่วงยืนนาน ส.ต.อ.ทวีศักดิ์ สูงสง่าวงศ์ ผบ.หมู่.กก.5 บก.ป. เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง นำโดย นายเกียรติภูมิ โภคผล เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชำนาญงาน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ทท.3

ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ท.วชิรพิศักดิ์ ณ สงขลา สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3. ร.ต.อ.คณิศร บุญสิน รอง สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3.ต.ต.ยุทธพงศ์ เรื่องดำ ผบ.หมู่ ส. ทท.2 กก.2 บก.ทท.3.ด.ต.สิงหา นิรัญชอน ผบ.หมู่ ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.ชุมพร ภายใต้อำนวยการของ พ.ต.ท.พิระวัตร์ วงศ์ศิริเมธีกุล สวญ.ตม. จว.ชุมพร, พ.ต.ท.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร นำโดย ร.ต.ท.สานุพงษ์ บัวศรี รอง สว.(สส) ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย ด.ต.คมสัน ทองรักจันทร์, ด.ต.ไตรวิช จันทร์เจริญ, ด.ต.พงษ์ บันลือเขตต์ ผบ.หมู่ ตม.จว.ชุมพรเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากน้ำหลังสวน

นำโดย พ.ต.ท.วัชรินทร์ เพชรทอง สว.สส.สภ.ปากน้ำชุมพร พร้อมด้วย ร.ต.ต.ยุทธชัย ชำนาญการ และ ด.ต.ณัฐวุฒิ มณีนวล ผบ.หมู่ สส.สภ.ปากน้ำหลังสวนได้ร่วมกันจับกุมตัว 1. MR.Hein Min Soe (นายฮิน มิน โช) สัญชาติเมียนมาร์ 2. Mr.Aye Naing (นายเอ นาย) สัญชาติเมียนมาร์ 3. Mr.Moe Win (นายโม วิน) สัญชาติเมียนมาร์ 4. Miss Ma Ngy (นางมา แง) สัญชาติเมียนมาร์ 5. Mr.XOKMIXAY (โชคมีชัย) สัญชาติลาว

6. MR.AUNG THU (อาว ทุ) สัญชาติเมียนมาร์ 7. นายบุญหลาย เรื่องเดช อายุ 50 ปี ที่อยู่ 5 ม.4 ต.เหล่ากวาง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ 8. นายแดง วรรณพาน อายุ 75 ปี ที่อยู่ 333 ม.13 ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร 9. นายอนุชัย ปิยะวงษ์ อายุ 48 ปี ที่อยู่ 54/1 ม.6 ต.ทุ่งคาวัด อ.ละแม จ.ชุมพร 10.

นายสวัสดิ์ รุ่งแสง อายุ 48 ปี ที่อยู่ 182 ม.6 ต.หาดยาย อ.หลังสวน จ.ชุมพร 11. นายนิพนธ์ อินทร์น้อย อายุ 49 ปี ที่อยู่ 41/1 ม.2 ต.หาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร 12. นายธวัชชัย ควนทองสุข อายุ 33 ปี ที่อยู่ 9849 ม.13 ต.ทุ่งหลวง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี

ธนากร โกศลเมธี ภาพ/ข่าว รายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / 599 ถุงยังชีพแห่งความหวัง ถวายพระกุศลสมเด็จพระสังฆราช ครบ 98 พรรษา

แชร์เนื้อหานี้

🌸 ในบ่ายวันอาทิตย์ที่แสงแดดส่องประกายอบอุ่น วันที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่ศาลาการเปรียญวัดตรีญาติ ต.พงสวาย อ.ราชบุรี จ.ราชบุรี ช่วงเวลาแห่งบุญและการแบ่งปัน

🏛️ #พิธีแห่งเมตตาธรรมที่งดงาม มูลนิธิพุทธภูมิธรรม นำโดยคุณเมลดา โอฬาร์ชน และคุณวนิดา เลิศสุวานนท์ กรรมการอุปถัมภ์ พร้อมด้วยคุณสาธิมา ลาชโรจน์

รองประธานมูลนิธิฯ ได้ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสอันเป็นมงคลที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 98 พรรษา

🧡 #599ถุงยังชีพ… 599 ดวงใจแห่งความหวัง สิ่งที่ทำให้งานนี้พิเศษและสร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง คือการมอบถุงยังชีพจำนวน 599 ชุด ให้แก่ตัวแทนตำบลและหมู่บ้านในจังหวัดราชบุรี ตัวเลข 599 ไม่ใช่เพียงแค่จำนวน แต่เป็นสัญลักษณ์ของหัวใจ 599 ดวงที่จะได้รับความอบอุ่นและกำลังใจในช่วงเวลาที่ต้องการ

💎 #เมื่อถุงยังชีพกลายเป็นสะพานแห่งเมตตา ถุงยังชีพแต่ละใบไม่ได้บรรจุเพียงแค่สิ่งของจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ยังเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา และความหวังดี การให้ทานในรูปแบบนี้เป็นการขยายวงกว้างของเมตตาธรรม ที่ไหลเวียนจากผู้ให้สู่ผู้รับ และสร้างคลื่นแห่งความดีที่ไม่มีวันสิ้นสุด และการมีพระ

พรหมมงคลวัชราจารย์ (ไสว วัฑฒโน) ซึ่งเป็นพระอนุชาในสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานสงฆ์ในพิธีครั้งนี้ ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และความหมายลึกซึ้งให้กับงาน เสียงพระสวดมนต์ที่ก้องกังวานไปทั่วศาลาการเปรียญ ดุจจะเป็นการส่งผ่านพรพระราชทานให้ถึงทุกหัวใจที่อยู่ในงาน

🧘‍♀️ #นั่งสมาธิน้อมส่งบุญ ช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนทุกคนนั่งสมาธิและเจริญจิตภาวนาร่วมกัน เป็นภาพที่สวยงามและสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้ง ในความเงียบสงบนั้น หัวใจของทุกคนได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว น้อมถวายความกตัญญูและความเคารพต่อสมเด็จพระสังฆราช ผู้ทรงเป็นแสงประทีปนำทางด้านจิตใจให้แก่ชาวพุทธทั่วโลก

🌟 #อานิสงส์ที่ไม่อาจประเมินค่าได้ การทำบุญครั้งนี้สร้างผลดีในหลายมิติ สำหรับผู้ให้ทาน ได้รับบุญกุศลและปลูกฝังจิตใจให้มีเมตตากรุณา ขณะที่ผู้รับได้

รับทั้งความช่วยเหลือในทางวัตถุและความอบอุ่นใจในทางจิตใจ สำหรับสังคมโดยรวม งานนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความสามัคคี และสืบทอดประเพณีอันงดงามของการทำบุญตามหลักพุทธศาสนา

🌈 #เมื่อน้ำใจไทยเบิกบาน การจัดงานในโอกาสพระชนมายุสมเด็จพระสังฆราช 98 พรรษา ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของการให้ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกัน

ด้วยเมตตา กรุณา ขอให้พระบารมีของสมเด็จพระสังฆราช และบุญกुศลจากการทำงานครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความสุข ความเจริญ และสันติสุขแก่ทุกชีวิตที่เกี่ยวข้อง และขยายไปสู่สังคมไทยและโลกใบนี้ตลอดไป🙏

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / แขวงทางหลวงชนบทนครราชสีมา เตือน”ทิ้งขยะในเขตทางหลวงชนบทมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี”

แชร์เนื้อหานี้

ขอความร่วมมือ ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนและผู้อยู่อาศัยริมเขตทางหลวงชนบท ช่วยสอดส่อง รักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนายไพรวรรณ์ เขียวอ่อน ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทนครราชสีมาเตือนประชาชน “ห้ามทิ้งขยะในเขตทางหลวงชนบท” ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่เดิน ทางสัญจรไป – มา เช่น การทิ้งขยะออกจากรถยนต์ที่แล่นอยู่บนท้องถนน การเทน้ำเสียทิ้งบนท้องถนนหรือเท

ทิ้งริมเขตทางหลวงชนบท จนไหลเข้ามาบนทางจราจร การทิ้งเศษวัสดุก่อสร้างในเขตทางหลวงขนบทที่อยู่ติดริมทางจราจร การบรรทุกหิน ดิน ทราย ท่อนไม้ ยางพาราหรือสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ใช้อุปกรณ์ปิดคลุมหรือผูกมัดสิ่งเหล่านั้นให้ดี ทำให้สิ่งของดังกล่าวร่วงหล่นบนทางจราจรหรือไหล่ทาง อาจส่งผลให้เกิด

อุบัติเหตุแก่ผู้ใช้ทางได้ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 45 “ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล น้ำเสีย น้ำโสโครก เศษหิน ดิน ทราย หรือสิ่งอื่นใดในเขตทางหลวงหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ เป็นเหตุให้ขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล เศษหิน ดิน ทราย ตกหล่นนทางจราจรหรือไหล่ทาง” หากฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 72 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ขอความร่วมมือจากประชาชนอย่านำขยะมาทิ้งในเขตทางหลวงชนบทโดยเฉพาะทางหลวงสาย ฉ หมายเลข1111 ช่วงกม.5 ขาออกไปทางขอนแก่นและกม.3 ขาไปจ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีการลักลอบนำขยะมาทิ้งในบริเวณดังกล่าวจำนวนมากโดยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณดังกล่าว ซึ่งแม้จะมีการติดป้ายห้ามทิ้งขยะไว้แต่ก็ยังมีผู้ที่ลักลอบนำขยะมาทิ้ง เป็นการทำให้ทัศนียภาพไม่น่าดูและเสียภาพลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมา โดยทางแขวงฯต้องเสียงบประมาณในการจัดเก็บขยะไปทิ้งจำนวนมาก

ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทนครราชสีมา กล่าวอีกว่า แขวงทางหลวงชนบทนครราชสีมาจะนำกล้องcctv มาติดตั้งในบริเวณที่มีการลักลอบทิ้งขยะ ซึ่งหากตรวจพบว่าผู้ใดนำขยะมาทิ้งในเขตทางจะมีการแจ้งความดำเนินคดีทุกราย
ทั้งนี้หากประชาชนพบเห็นว่ามีการกระทำความผิดดังกล่าวในเขตทางหลวงชนบท โปรดแจ้งสายด่วน 1146 เพื่อร่วมดูแลรักษาความสะอาดบนท้องถนนให้เกิดความสะดวก ปลอดภัยต่อประชาชนและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ยกระดับความปลอดภัยตู้ทำน้ำดื่มในโรงเรียน สังกัด สพฐ.

แชร์เนื้อหานี้

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ตรวจสอบและปรับปรุงระบบไฟฟ้า ตู้ทำน้ำดื่ม ให้กับโรงเรียนในสังกัด สพฐ. จังหวัดนครปฐม ภายใต้โครงการชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA ประจำปี 2568

วันพฤหัสบดี ที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.30 น. นายพานุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 3 ร่วมเป็นเกียรติในพิธีการส่งมอบโครงการตรวจสอบและปรับปรุงตู้น้ำดื่มโรงเรียนในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ภายใต้โครงการ "ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA"  ณ โรงเรียนอนุบาลกำแพงแสน ตำบลกำแพงแสน  อำเภอกำแพงแสน  จังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นางพัชรี เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม นางสาวฉันทนา ภุมมา ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลกำแพงแสน ผู้บริหาร กฝก.3 และคณะทำงาน ในการนี้ นายนรวีร์ ขันธหิรัญ นายอำเภอกำแพงแสน   พร้อมด้วยปลัดอำเภอกำแพงแสน ผู้แทนส่วนราชการ นางสมพิศ ยืนนาน นายกเทศมนตรีตำบลกำแพงแสน  นายสมเกียรติ  อ.สงวน  ผู้จัดการไฟฟ้าสวนภูมิภาค  อำเภอกำแพงแสน

ได้เป็นเกียรติร่วมพิธีการส่งมอบโครงการดังกล่าว และติดสติกเกอร์ “ผ่านการตรวจสอบโดย PEA” บริเวณตู้น้ำดื่มและร่วมกดน้ำเพื่อประชาสัมพันธ์ถึงความเชื่อมั่นในการใช้ตู้น้ำดื่มที่มีความปลอดภัย กิจกรรมบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้งานระบบไฟฟ้า,การทำ CPR การใช้งานตู้น้ำดื่ม และข้อควรระวัง (สำหรับนักเรียน) และสอนวิธีการตรวจสอบ RCBO เบื้องต้น (สำหรับครู/เจ้าหน้าที่โรงเรียน)
สมคิด พรมมี ผู้สื่อข่าว นครปฐม

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯร่วมแถลงข่าวเตรียมจัดงาน ปากคาดเกษตรเฟสติวัล ชูทุเรียนหมอนทอง “ทุเรียนราคา” ของดีบึงกาฬ

แชร์เนื้อหานี้

ดูเรื่องนี้

จังหวัดบึงกาฬเตรียมจัดงานปากคาดเกษตรเฟสติวัล เพื่อโปรโมทผลไม้ในท้องถิ่น ในชื่อทุเรียนหมอนทองของบึงกาฬ ทุเรียนนาคา เพื่อเป็นอัตลักษณ์และจำชื่อได้ง่าย ชูรสชาติหวานหอม กรอบอร่อย และเปลือกบางด้วย

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2568 ณ สวนพูนทรัพย์ บ้านห้วยไม้ซอด ม.9 ต.ปากคาด อ.ปากคาด จ.บึงกาฬ นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน ปากคาดเกษตรเฟสติวัล ครั้งที่ 4 ประจำปี 2568 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลปากคาด ร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 มิ.ย.นี้ พร้อมชูทุเรียน ของอำเภอปากคาด เพื่อเป็นอัตลักษณ์และจำชื่อได้ง่าย ซึ่งส่วนมากชาวสวนมักนิยมปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองกันมาก มีรสชาติหวานหอม กรอบอร่อย และเปลือกบางด้วย โดยมี นายบุญเหลือ ราชภักดี นายก อบต.ปากคาด คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อบต.และชาวสวนผลไม้ในอำเภอปากคาด ร่วมในงานแถลงข่าวด้วย

จากนั้น นายจตุรพร ผานาค นักสื่อสารมวลชนปฏิบัติการ สวท.บึงกาฬ ได้เป็นผู้ดำเนินรายการเปิดการเสวนา มีผู้ร่วมรายการประกอบด้วย 10 คน 1.นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ 2.นายไตรภพ รำเพยพล รองนายก อบจ.บึงกาฬ 3.นายบุญเหลือ ราชภักดี นายก อบต.ปากคาด 4.นายวุฒิชัย ชัยภูวนารถ นายอำเภอปากคาด 5.นายสัมรวย มีจินดา เกษตร อ.ปากคาด 6.นายณรงค์ศักดิ์ คุรุพันธ์ ท่องเที่ยวและกีฬา จ.บึงกาฬ 7.รองผอ.ททท.สำนักงานอุดรธานี 8.นายประจักษ์ แสนสุภา เจ้าของสวนผลไม้พูนทรัพย์ 9.นายธีรวัฒน์ สนิทชน ท้องถิ่นจังหวัดบึงกาฬ 10.ผู้แทนเกษตรจังหวัดบึงกาฬ

นายบุญเหลือ ราชภักดี นายก อบต.ปากคาด กล่าวว่า ในการจัดงานปีที่ผ่านมา มีชาวบ้านสนใจและรู้จักผลไม้อำเภอปากคาด มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด เงาะ การจัดงาน “ปากคาดเกษตรเฟสติวัล” จึงเป็นการเปิดตลาดให้ผู้นิยมชมชอบผลไม้ไทยได้มาซื้อมาไปรับประทาน เป็นการเปิดตลาดการเกษตรเชิงท่องเที่ยวไปในตัวด้วย แต่ปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าปีที่แล้ว นอกจากการแข่งขันการกินผลไม้แล้ว ยังมีการโชว์ “ควายงาม” การแข่งส้มตำลีลา ซึ่งเป็นกิจกรรมสนุกสนาน การแสดงสินค้ากลุ่ม OTOP ทั่วทั้งจังหวัดกว่า 50 กลุ่ม ช่วงกลางคืนก็จะมีการประกวดนางงามผลไม้ การแข่งกินผลไม้ ซึ่งจัดเป็นปีแรก มีทั้งประเภทชาย และหญิง

นายก อบต.ปากคาด กล่าวอีกว่า นอกจากนี้มีการเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชการเกษตร ประกวดแต่งชุดแฟนซีผลไม้ การจัดงานในครั้งนี้เป็นหน้าที่ของท้องถิ่นที่จะส่งเสริมช่องทางในการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือ และสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของอำเภอปากคาดและจังหวัดบึงกาฬ ด้วย

ด้าน นายสัมรวย มีจินดา เกษตร อ.ปากคาด กล่าวว่า การจัดงานปากคาดเกษตรเฟสติวัล ในครั้งนี้ เป็นการจัดงานที่รวมคนหลายสาขาอาชีพ ทั้งจากชาวสวนที่เป็นเกษตรกรต้นแบบที่มีองค์ความรู้มีประสบการณ์ ส่วนผู้คนที่มาเที่ยวชมงาน ซึ่งประกอบอาชีพสาขาวิชาอาชีพอื่น ก็ได้มาพบปะกับแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชาวสวนผลไม้ตัวจริง ซึ่งถือว่าอำเภอปากคาดเป็นแหล่งที่ท้าทาย เพราะมีการปลูกพืชหลากหลายทั้งยางพารา และก็พืชผลไม้หลากหลายชนิด ที่ปากคาดจึงเป็นแหล่งที่มีศักยภาพมาก ที่ผ่านมายุทธศาสตร์การเกษตรมีการปลูกยางพารากันมาก แต่เนื่องจากว่ายางพาราราคาตกต่ำ จึงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงปลูกพืชผลไม้มาทดแทนยางพารา ทำให้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยว.

จังหวัดบึงกาฬ ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนร่วมงาน เพื่อร่วมสัมผัสเสน่ห์ของชุมชนเกษตร พร้อมสนับสนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล ผู้สื่อข่าวบึงกาฬ รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / วัดธรรมถาวร จ.ชุมพร มียอดเงินเหลือ 89 ล้านบาท ชี้แจงชาวบ้าน กรรมการ บริหารเงินวัด

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 น พระเทพสิริวชิรเวที เจ้าคณะภาค16 ธรรมยุต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับ พระครูถาวรสีลาจาร เจ้าคณะจังหวัดชุมพรธรรมยุต

พระครูถาวรธรรมนิเทศ เจ้าคณะอำเภอละแม ,ทุ่งตะโก พระครูวิสุทธิ์ธรรมโฆษิต เจ้าคณะตำบลทุ่งตะไคร ธรรมยุต พระครูจันทปัญโญภาส เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุสวี

ประชุม รับฟังจากคณะกรรมการเฉพาะกิจวัดธรรมถาวร ถึงแนวทางการบริหารจัดการ ดำเนินงาน ด้านการเงินและส่วนที่เกี่ยงข้อง ในวัดให้ไปตามระเบียบ ทีมีหน้าที่กำกับ ดูแลบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินของวัดธรรมถาวร

จนกว่าจะมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส และคณะกรรมการวัดชุดใหม่ โดยมี 1พระครูวิสุทธิ์ธรรมโมชิต ประธาน 2.นายธวัช เกษแก้ว กรรมการ 3.นายชุมพล เยาวละออง กรรมการ 4นายญานุวัตร สุวรรณวิหค กรรมการ 5.นายคงคา คงทอง กรรมการ 6นายพรหมาตย์ อิฐกอกรรมการ 7

นายเจียมรัตน์ บุญเกิด กรรมการ 8นายธวัชชัย อรุณโรจน์ กรรมการ 9.นายณรงค์ คงทอง กรรมการ 10.นายศุภชัย เกษแก้ว กรรมการ 11นายวิรัช คงทอง กรรมการ 12.นายกู้ชาติ จินาห้อง กรรมการ 13นางทิพวรรณ เนตรกลัด กรรมการ 14.นางสาวธัญทิพย์ สุขอาจ กรรมการ 15นางวรชยา อินทรักษ์ กรรมการ/เลยานุการ

นายกฤษณะ จารุประพาฬ และ ญานุวัฒน์ สุวรรณวิหค ชีแจ้งการทำงานคณะกรรมการ เฉพาะกิจ ได้ดำเนินการด้านการเงินและทรัพย์สินของวัดโดยจัดทำบัญชีที่มีรายชื่อเป็นของเจ้าอาวาสองค์ก่อนให้มาเป็นบัญชีของวัด และจัดการให้มีการเบิกถอนโดน

ให้มีชื่อเจ้าคณะจังหวัดชุมพร และกรรมการ อีก 3 ราย ในยอดที่มากกว่า 1แสนขี้น ไป และมีรายชื่อ เจ้าอาวาสรักษาการ และกรรมการ 3 รายในวงเงิน ไม่เกิน 1 แสนบาท รวมยอดเงินที่เป็นทรัพย์สินของวัดในปัจจุบันมียอด 89,256,750.80 บาท

พระเทพสิริวชิรเวที เจ้าคณะภาค16ธรรมยุต ให้แนวทางบริหารจัดการในวัดโดยสรุปทรัพย์สินของวัดก็ได้ดำเนินการไปในแนวทางที่ดีแล้วโดยจัดการให้เป็นทรัพย์สินของวัดธรรมถาวรให้คณะกรรมการและพี่น้องช่วยกันบริหารจัดการเพื่อที่จะซ่อมสร้างศาลาและสิ่งปลูกสร้างที่ยังค้างอยู่เช่นตึกสงฆ์

จึงขอให้ร่วมมือร่วมใจในการจัดสร้างและคณะกรรมการก็ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสรักษาการดำเนินการจัดตั้งแต่งตั้งคณะกรรมการของวัดส่วนกรรมการ

จัดสร้างอาคารสงก็ให้คณะกรรมการที่ดำเนินการอยู่ดำเนินการต่อไปจะได้ไม่เกิดการสะดุดส่วนคณะกรรมการที่ต้องแต่งตั้งใหม่ก็ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสรักษาการต่อไป

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ภิบาลน่าน ลงพื้นที่สอดส่องโครงการอย่างไม่เป็นทางการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 เวลา 15.00 น. ณ สำนักงานพลังงานจังหวัดน่าน ต.ถืมตอง อ.เมืองน่าน จ.น่าน นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเขตตรวจราชการที่16 ในฐานะประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดน่านมอบหมาย

ให้พันจ่าอากาศเอก สินธ์ สนนา รองประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดน่านพร้อมด้วยคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดน่านประกอบด้วย นายบุญยงค์ สดสอาด นายอนุรักษ์ ไชยโย นายปรีชา รอดเพชร นายนิยม ขอคำ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ และประชุมติดตามและสอดส่อง

โครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ณ ห้องประชุมสำนักงานพลังงานจังหวัดน่าน โดยได้ติดตาม สอดส่อง รับทราบปัญหาอุปสรรค ตลอดจนให้คำแนะนำ ในการดำเนินโครงบูรณาการสิ่งแวดล้อมและสาธารณภัย กิจกรรมหลัก ปลูกจิตสำนึกและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 กิจกรรมย่อยที่ 2

การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีพลังงาน (เตาเผาถ่านไบโอชาร์) เพื่อลดปัญหาหมอกควันและเพิ่มประสิทธิภาพอาสาสมัครพลังงานชุมชน เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีพลังงานชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน มอบหมายให้สำนักงานพลังงานจังหวัดน่าน เป็นผู้รับผิดชอบ และดำเนินการ ประกอบไปด้วย กิจกรรมย่อยที่ 2.1 การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีพลังงาน (เตาเผาถ่านไบโอชาร์)

เพื่อลดปัญหาหมอกควัน งบประมาณ 306,000 บาท (จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 15 รุ่น) (ดำเนินการแล้วเสร็จ 8 รุ่น และอยู่ระหว่างดำเนินการ 7 รุ่น) กิจกรรมย่อยที่ 2.2 การเพิ่มประสิทธิภาพอาสาสมัครพลังงานชุมชน เพื่อการเรียนรู้เทคโนโลยีพลังงานชุมชน งบประมาณ 217,500 บาท (จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ 15 รุ่น) (ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ) รวมงบประมาณทั้งสิ้น 523,500 บาท (เบิกจ่ายไปแล้ว 164,200 บาท หรือ 31.37%)

ในที่ประชุม นายสุกิตติ เจดีย์วุฒิ พลังงานจังหวัดน่าน ได้นำเสนอผลการดำเนินงาน บรรยายถึงรูปแบบของกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ และปัญหาของการจัดทำโครงการ อาทิ การได้รับงบประมาณจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบบน 2 จัดสรรมาในช่วงเดือน พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน มีอุปสรรในการจัดอบรมในภาคปฏิบัติ จึงทำให้มีการเบิกจ่ายล่าช้า ส่วนทางด้าน พันจ่าอากาศเอก สินธ์ สนนา และคณะ ได้ให้ข้อแนะนำสำหรับโครงการฯ

เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี รวมทั้งส่งเสริมตามหลักคุณธรรม จริยธรรม หลักธรรมาภิบาล และให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพลังงานจังหวัดน่าน ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนด้านพลังงานแก่ชุมชน เกษตรกร และชาวบ้านที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาโครงการของรัฐ

โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคารจังหวัดน่าน ขอแสดงความยินดีกับ
น.ส.ธวัลรัตน์ อุตมีมั่ง น.ร. ม.4/10 ที่ได้รับการคัดเลือกรับรางวัลความประพฤติดี ระดับชาติ รับเข็มเชิดชูเกียรติ พร้อมรับเกียรติบัตร เป็นผู้ “มีความประพฤติดีดำรงตนตามหลักธรรมนูญชีวิต”จากพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรม

ราชูปถัมภ์ ที่มอบให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั่วราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ.2568 จากศาสตราจารย์พิเศษ อรรถนิติ ดิฐอำนาจ องคมนตรี ณ หอประชุมกรมประชาสัมพันธ์ เขตพญาไทย กรุงเทพมหานคร 14 มิ.ย.2568
โดยมีนางอิษฎาภรณ์ คุชบิล หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ครูที่ปรึกษา/บุญยงค์ สดสอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เปิดยุทธการป้องปรามการระบาดบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด ยกระดับสถานศึกษาปลอดภัย

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.68 ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบฯ นายประทีป บริบูรณ์รัตน์ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ พร้อมด้วย พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ นางกันยมาส ชูจีน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 ร่วมพิธีเปิดความร่วมมือและปฏิบัติการตรวจร่วมนักเรียนปลอดภัย ห่างไกลบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด จ.ประจวบฯ โดยมี ตำรวจ สภ.ทั้ง 16 สถานีในสังกัดกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบฯ ฝ่ายปกครอง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ และหน่วยงานการศึกษาในจังหวัดฯ

ได้แก่ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดฯ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาประจวบฯ เขต 1 และเขต 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบฯ สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดฯ สถานศึกษาทุกแห่ง และภาคีเครือข่ายเข้าร่วม เพื่อบูรณาการการทำงานในการดูแลคุ้มครอง ช่วยเหลือ และเฝ้าระวังพฤติกรรมนักเรียนทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาในการสูบบุหรี่ไฟฟ้า และยาเสพติด

รวมถึงการออกตรวจพื้นที่จุดเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ยกระดับการเฝ้าระวังเหตุและเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่นักเรียนเชิงรุก ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม สร้างความอุ่นใจให้กับผู้ปกครอง โดยมีการจัดทำแผนการออกตรวจร่วมเฝ้าระวังเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงตามที่ได้มีการประชุมวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันภัยจากบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติดทุกรูปแบบไม่ให้แพร่ระบาดเข้าสู่สถานศึกษา และป้องกันการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย และอนาคตของนักเรียน

พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จ.ประจวบฯ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีข้อสั่งการไปยัง สภ.ทั้ง 16 สถานี ให้กวดขันจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งที่ผ่านมามีผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าชื่นชม ปัจจุบันเรียกได้ว่าแทบจะหาไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องทางอื่น ๆ ที่เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ เช่น การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์

ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องเข้าถึงเด็กเพื่อให้ปัญหานี้หมดไป หากไม่รีบดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อเปิดปฏิบัติการตรวจร่วมให้เด็กและเยาวขนปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติด นำไปสู่การยกระดับความปลอดภัยในสถานศึกษา.
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / สถานกาณ์เปิด-ปิด ด่านถาวรช่องสะงำ ยังปกติ กัมพูชายังไม่มีการแบนอาหารสด และผักผลไม้จากไทย

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่หน้าด่านถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเวลา 15.00 น. นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลกากรช่องสะงำ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร และส่วนต่างๆ ได้ปิดประตูทางเข้าออกด่านตามเวลาที่มีคำสั่งของทหาร หลังประตูฝั่งประเทศไทยปิดลงได้ไม่กี่นาที ทางเจ้าหน้าที่ฝั่งกัมพูชาปิดประตูผ่านแดนตามประเทศไทย ทั้งนี้บรรยากาศก่อนจะปิดด่านเข้าออกมีชาวกัมพูชาต่างทยอยเดินทางเข้ามาที่ด่านกันอยู่เรื่อย ๆ เช่นรถยนต์ชาวกัมพูชาที่เดินทางไปรักษา

ที่ฝั่งไทยจะต้องรีบไปและรีบกลับให้ทันเวลาด่านปิดบางรายที่กลับมาไม่ทันเวลาด่านปิดก็ต้องวางแผนพักที่ไทยข้ามวัน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหามากกับคนกัมพูชา ปัญหาอีกอย่างก็คือแรงงานคนกัมพูชาที่ข้ามมาทำงานเป็นลูกจ้างรายวันอยู่ฝั่งไทยต้องรีบกลับให้ทันด่านปิดนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่ทำให้แรงงานกัมพูชาต้องขาดรายได้ไปอีก นอกจากนั้นก็ยังมีรถยนต์ขนสินค้าเข้าออกกันอย่างคึกคัก ซึ่งซื้อสินค้าส่วนมากจะเป็น เครื่องอุปโภค บริโภค อาหารแห้ง และน้ำดื่ม โดยชาวกัมพูชา หรือ พ่อค้าแม่ค้าฝั่งกัมพูชาข้ามฝั่งมาหาซื้อ แล้วขนข้ามฝั่งไปยังประเทศ กัมพูชา นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยว และนักพนันชาวไทยที่ข้ามไปเที่ยว และเล่นการพนันที่ฝั่งกัมพูชา ทยอยเดินทางกลับฝั่งไทยก่อนเวลาจะปิดด่านอีกด้วย

***ด้าน นาย เอ (นามสมมุติ) หนึ่งในหนักพนันชาวไทยที่ข้ามไปเล่นพนันในฝั่งกัมพูชา เปิดเผยว่า ปกติตนและนักพนันชาวไทยจะข้ามฝั่งจากด่านช่องสะงำตรงนี้ไปเล่นพนันอยู่เป็นประจำ เพียงแค่เวลาเข้าออกจะต้องเข้าออกเป็นเวลากว่าทุกครั้ง เพราะทางด่านจะมีการปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดด่าน ใหม่ แต่เข้าไปบรรยากาศข้างในก็เป็นปกติ

***ด้าน นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลกากรช่องสะงำ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังปิดด่านว่า สถานการณ์โดยทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความตรึงเครียดเข้าใส่กัน เพราะจุดนี้ชาวไทยกับชาวกัมพูชายังคงรักกันดังพี่น้อง ส่วนปริมาณจำนวนผู้ใช้บริการถือว่า ลดลงประมาณ 30% แต่ก็ยังมีชาวกัมพูชาข้ามมาหาซื้อสินค้าประเภทอาหาร พืชผลทางการเกษตรกร ข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชาตามปกติ ซึ่งทางศุลกากรช่องสะงำยังมีการเพิ่มมาตการการตรวจสินค้าเข้มงวดกวดขันมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล และกองทัพ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความอ่อนไหวประเภทต่างๆ เช่น เกลือ สินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย งดการส่งออกสินค้าเพื่อการก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น ห้ามส่งออกปุ๋ยเคมี และห้ามพันธ์พืช พืชสงวน ส่งออกโดยเด็ดขาด แต่ภาพรวมด้านการค้าที่จุดนี้ยังพอไปได้
***นายด่านศุลกากรช่องสะงำ กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนกระแสที่มีประเทศกัมพูชาห้ามอาหารสดจากประเทศไทยเข้าประเทศกัมพูชา ยกเว้นอาหารแห้ง ปลากกระป๋อง บะหมี่ นั้น จากการตรวจสอบนั้นยังไม่มีรายงานว่าทางฝั่งกัมพูชาด่านถาวรช่องสะงำห้ามอาหารสดจากฝั่งไทยแต่อย่างใด หน้าจะเป็นการที่ฝั่งไทย และฝั่งกัมพูชา มีการตรวจเข้มงวดสินค้าที่ส่งออกเพิ่มมากขึ้น จึงให้พ่อค้าแม่ค้าอาจจะไม่เคยเจอจึงทำให้อาจจะเข้าใจผิดได้ ขณะที่กระแสประเทศกัมพูชาเตรียมรถบัสกว่า 400 คันไว้รับส่งชาวกัมพูชาจากชายแดนไทย หากสถานการณ์ระหว่างกัมพูชาและไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น ตอนนี้ทางด่านถาวรช่องสะงำยังคงปกติยังไม่เห็นมีรถบัสมารอรับชาวกัมพูชากลับบ้านแต่อย่างได้

***นายด่านศุลกากรช่องสะงำ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้ทางด่านศุลกากรได้มีการเชิญด้านควบคุมโรค ทางด้านโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ เข้ามาคุยทำความเข้าใจในกฎกติกาว่าตอนนี้ทางด่านมีการเข้มงวด กวดขัน การเข้าออก และการเปิด-ปิด มาก อย่างทางโรงพยาบาลได้มีการปรับตัว แล้วเดินไปด้วยกัน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

***ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม รวมภาพการค้าในช่องสะงำ ปีหนึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท แบ่งเป็นนำเข้า 8 ร้อยล้านบาท ส่งออก 1.2 พันล้านบาท แต่พเกิดสถานการณ์แบบนี้การค้าการส่งออกก็จะลดลงประมาณ 30% กระทบเล็กน้อยแต่ก็ถือว่ายังพอส่งออกได้คงยังไม่มีปัญหาอะไรมาก ทั้งนี้การปรับวันเวลาเข้าออกด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะด่านถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยตามประกาศได้มีการปรับวันและเวลา เปิด-ปิด คือจากเดิมจะเปิด-ปิด ทุกวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึงเวลา 22.00 น.

โดยให้คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pass สินค้าตามระเบียบศุลกากร ยานพาหนะผ่านได้ตามระเบียบ แต่ประกาศตัวใหม่ ให้ด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ เริ่มเปิดตั้งแต่เวลา 08.00 น. ปิดเวลา 15.00 น. ซึ่งจะเปิด-ปิดด่านแค่วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เพียงเท่านั้น โดยจะให้คนผ่านเข้า-ออกโดยใช้ Passport และ Border Pas จำกัดการส่งออกสินค้ายุทธภัณฑ์ตามกฎหมาย งดการส่งออกสินค้าเพื่อการก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ ยานพาหนะ ผ่านได้ตามระเบียบ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นไปตามระเบียบและหลักสากล โดยให้ปิดจุดผ่านแดน เมื่อมีการปะทะ บริเวณพื้นที่ชายแดน
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์