คลังเก็บหมวดหมู่: ตำรวจ(ตร.)

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / จับกุมบุหรี่ไฟฟ้า และ แก๊สหัวเราะ 666 ราย ผู้ต้องหา 690 คน ของกลาง 454,958 ชิ้น มูลค่า 41,911,815 บาท

แชร์เนื้อหานี้

รอง ผบ.ตร. เร่งรัดขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ เผยผลการปฏิบัติในห้วง 7 วัน ที่ผ่านมา เป็นที่น่าพอใจ จับกุมทั้งสิ้น 666 ราย ควบคุมผู้ต้องหา 690 คน ยึดของกลาง 454,958 ชิ้น มูลค่าของกลาง 41,911,815 บาท

วันนี้ (5 มี.ค.68) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติการระดมกวาดล้างการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ โดยมีผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร.

ทั้งนี้ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและแก๊สหัวเราะ ซึ่งปัจจุบันได้ปรากฏสถานการณ์การแพร่ระบาด ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา พื้นที่ใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา รวมถึงสถานบริการ สถานประกอบการ และพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเอง หรือผู้อื่น สร้างความเดือนร้อน รำคาญแก่ประชาชนใกล้เคียง โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการผลการปฏิบัติในห้วง 7 วัน ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 4 มีนาคม 2568 ภาพรวมการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าของทุกหน่วย มีผลการจับกุมทั้งสิ้น 666 ราย ผู้ต้องหา 690 คน ยึดของกลาง 454,958 ชิ้น มูลค่าของกลาง 41,911,815 บาท เป็นการจับกุมรายใหญ่ 2 ราย ผู้ต้องหา 3 คน ยึดของกลาง 409,364 ชิ้น มูลค่าของกลาง 34,200,000 บาท , จับกุมรายย่อย 645 ราย ควบคุมผู้ต้องหา 669 คน ยึดของกลาง 43,483 ชิ้น มูลค่าของกลาง 7,215,005 บาท , จับกุมรอบสถานศึกษา 7 ราย ควบคุมผู้ต้องหา 6 คน ยึดของกลาง 1,359 ชิ้น มูลค่าของกลาง 302,500 บาท และจับกุมบริเวณแหล่งท่องเที่ยว 12 ราย ควบคุมผู้ต้องหา 12 คน ยึดของกลาง 752 ชิ้น มูลค่าของกลาง 194,310 บาท

ในส่วนการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับแก๊สหัวเราะ จับกุม 3 ราย ควบคุมผู้ต้องหา 3 คน ยึดของกลาง 2,334 ชิ้น มูลค่าของกลาง 100,000 บาทพล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า และแก๊สหัวเราะ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย และต้องการเห็นผลการปราบปรามอย่างเป็นรูปธรรมในเร็ววัน ผบ.ตร. จึงได้กำชับ เน้นย้ำ และติดตามการขับเคลื่อนให้มีผลการปฏิบัติในทุกมิติ

  1. ให้ความสำคัญกับการปราบปราม กวาดล้าง การลักลอบนำเข้าผิดกฎหมาย การจำหน่าย การให้บริการ โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไป X-ray ในพื้นที่รับผิดชอบ เพิ่มความเข้มข้นในการกวดขัน ตรวจสอบ ทุกสถานที่ จุดล่อแหลม ซึ่งน่าจะเป็นที่ซุกซ่อนของบุหรี่ไฟฟ้า และสารตั้งต้น สารประกอบของแก๊สหัวเราะ ตลอดจนสิ่งของผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า “ต่อไปจะต้องไม่มี หรือสามารถค้นหาได้โดยง่าย ว่าในพื้นมีการจำหน่าย หรือให้บริการ บุหรี่ไฟฟ้า หรือแก๊สหัวเราะ อย่างโจ่งแจ้ง”
  2. สาเหตุของการกระทำความผิดทั้งหลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่คุ้มค่า คือ เงิน จากผลการระดมจับกุม พบว่า ของกลางและการยึดทรัพย์สินมีมูลค่าสูงมาก นี่คือแรงจูงใจให้เกิดการกระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงให้ทุกหน่วยดำเนินการอย่างรัดกุมและเป็นแบบแผน การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามความผิดมูลฐานฟอกเงินที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญ เน้นย้ำว่าต้องดำเนินการ สืบสาว ไปให้ถึงต้นตอเหตุทุกกรณี เพราะการกระทำผิดส่วนมาก มักเกี่ยวข้องกับ “เงิน” ในฐานะที่ พล.ต.อ.ประจวบฯ รับผิดชอบและเป็น ผอ.ศูนย์ปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วย จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมบูรณาการการทำงานกับหน่วย เพื่อให้การปฏิบัติ มีความต่อเนื่อง เชื่อมโยง และเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และศักยภาพให้การทำงานประสบผลสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ประจวบฯ ได้เน้นย้ำว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความมุ่งมั่น จริงใจ ในการแก้ไขปัญหา ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเราจะดำเนินการอย่างสุดความสามารถ

ตำรวจภาค 5 จับกุมชาวต่างชาติลักลอบส่งกัญชาน้ำหนักรวม 100 กิโลกรัม.
ด้วยตำรวจภาค 5 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่สถานีตำรวจภูพิงค์ราชนิเวศน์.ตำรวจท่องเที่ยวสำนักงานศุลกากรภาค 3 ศูนย์ปราบปรามยาเสพติดภาคเหนือท่าอากาศยานเชียงใหม่กรมศุลกากรสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ด่านตรวจพืชท่าอากาศยานเชียงใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง.

ได้ร่วมกันสกัดกั้นการส่งต่อช่อดอกกัญชาเมื่อวันที่ 2 และที่ 4 มีนาคม 2568 ณจุดตรวจค้นสัมภาระขาออกระหว่างประเทศภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่รวมจำนวน 3 คดีผู้ต้องหาชาวต่างชาติรวม 4 คนมีรายละเอียดแต่ละคดีดังนี้.เพราะดีที่ 1 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18:00 น ผู้ต้องหาต่างชาติสัญชาติมาเลเซียเพศชายอายุ 23 ปีเดินทางจากเชียงใหม่ไปสุวรรณภูมิ.ดูไบ.ลอนดอน.พบมีการพยายามลักลอบขนช่อดอกกัญชาออกนอกประเทศโดยใส่ในกระเป๋าเดินทาง 1 ใบซึ่งช่อดอกกัญชาถูกบรรจุเป็นแพ็คในถุงพลาสติกใสจำนวน 40 ถุงน้ำหนักรวม 22.5 กิโลกรัมมูลค่าประมาณ 22,5000 บาทคดีที่ 2

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 09.40 นผู้ต้องหาต่างชาติสัญชาติอังกฤษเพศหญิงอายุ 19 ปีเดินทางจากดอนเมืองมาเชียงใหม่สุวรรณภูมิฮ่องกงและ.ลอนดอน.มีการลักลอบขนช่อดอกกัญชาออกนอกประเทศโดยใส่ในกระเป๋าเดินทาง 2 ใบซึ่งช่อดอกกัญชาถูกบรรจุเป็นแพ็คใส่ถุงพลาสติกใสจำนวน 32 ถุงน้ำหนักรวมประมาณ 34.8 กิโลกรัมมูลค่าประมาณ 3480,000 บาทคดีที่ 3 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 17.0 นผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 2 คนเพศชายและหญิงสัญชาติมาเลเซียอายุ 35 ปีทั้ง 2 คนเดินทางจากสุวรรณภูมิ.มาเชียงใหม่สิงคโปร์.และลอนดอน.มีการพยายามลักลอบขนช่อดอกกัญชาออกนอกประเทศโดยใส่ในกระเป๋าเดินทาง 2 ใบซึ่งช่อดอกกัญชาบรรจุเป็นแพ็คพลาสติกใสจำนวน 80 ถุงน้ำหนักประมาณ 45.4 กิโลกรัมมูลค่าประมาณ 4 5 4 0 00 บาทรวมช่อกัญชาที่ตรวจยึดได้น้ำหนักประมาณ 102.7 กิโลกรัมมูลค่าประมาณ 1027000บาท.

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18:00 น เจ้าหน้าที่ตรวจยึดจับกุมได้พบความผิดปกติของสิ่งของภายในกระเป๋าเดินทางผู้โดยสารต่างชาติที่กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศจึงทำการขอตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ภายในกระเป๋าเดินทางผลการตรวจสอบพบว่าเป็นช่อดอกกัญชาบรรจุในถุงพลาสติกจำนวนมากจึงทำการตรวจยึดพร้อมกับดำเนินการตามขั้นตอนของบทกฎหมายต่อไปและมีการสั่งการเบื้องต้นให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยช่วยกันป้องกัน

เพื่อสกัดจับตรวจยึดพร้อมกับเฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่อาจจะมีการลักลอบนำช่อดอกกัญชาออกนอกประเทศจีนกระทั่งต่อมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 09.40 นและ 17.00 นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดจับกลุ่มชาวต่างชาติที่กำลังจะเดินทางพร้อมกับช่อกัญชาเพื่อนำออกนอกประเทศได้อีกจำนวน 2 รายดังกล่าว…

สมจิตรแสงบัลลังก์ทีมข่าวบก. รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรฐนิวส์ /‘ตำรวจภูธรภาค1’เข้มงานสายตรวจ ‘รองผบช.ภ.1’กำชับนโยบาย‘สภ.เมืองชัยนาท’

แชร์เนื้อหานี้

4 มีนาคม 2568 พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผบก.อก.ภ.1 เปิดเผยว่า พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงษ์ รอง ผบช.ภ.1 และ พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 มอบหมายนโยบายให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1)

ปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ในทุกๆด้านทุกๆมิติ โดยเฉพาะงานสายตรวจ เพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรรมให้กับประชาชน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 มี.ค.68

พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสายตรวจ สภ.เมืองชัยนาท ภ.จว.ชัยนาท โดยได้แนะแนวทางในการปฏิบัติงาน พร้อมกำชับให้ปฏิบัติตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และ บช,ภ.1 โดยเคร่งครัด

นอกจากนี้ พล.ต.ต.โชคชัย ได้มอบรางวัลให้แก่สายตรวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย 3 คดี และชมการสาธิตฝึกทบทวนการระงับเหตุบุคคลคลุ้มคลั่ง โดยมี พล.ต.ต.สุรวุฒิ แสงรุ่งเรือง ผบก.ภ.จว.ชัยนาท ,

พ.ต.อ.นรากร บุญครอบ รอง ผบก.ภ.จว.ชัยนาท , พ.ต.อ.สุรัตน์ เป้าทอง ผกก.สภ.เมืองชัยนาท , พ.ต.ท.ชัชวาล มหาศรานนท์ รอง ผกก.ป.ฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ สภ.เมืองชัยนาท

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภูธร ภาค 3 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยาบ้าจำนวน 2,572,806 เม็ด

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 17.00 น. ณ บก.สส.ภ.3 ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมาตำรวจภูธรภาค 3 แถลงข่าวปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ตามนโยบายรัฐบาลจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยาบ้าจำนวน 2,572,806 เม็ด ตำรวจภูธรภาค 3 โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 พล.ต.ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รอง ผบช.ภ.๓ /รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายมานพ แสงโสทร ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 3 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ กวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ โดยให้ร่วมกันบูรณาการด้านการข่าว การแลกเปลี่ยนข่าวสารรวมถึงการร่วมมือกันในการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามพื้นที่แนวชายแดน และพื้นที่ตอนในโดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3 พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงษ์ รอง.ผบก.สส.ภ.3 พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง.ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วรวรรธน์ ขันธ์เครือ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.ทศพร เพียรปรุ ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๓ ,พ.ต.อ.พรเทพ ทุ้ยแป ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง,พ.ต.อ.สิทธิพล ทิมสูงเนิน ผกก.สภ.โนนสูง, , พ.ต.อ.ศิวภาคย์ พวงจันทร์ ผกก.สภ.บ้านปรางค์ พ.ต.อ.อิทธิพัทน์ ศรีมั่น ผกก.สภ.พระทองคำ สั่งการให้

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวน นำโดย พ.ต.ท.สุรกฤษ คงธนกิตติ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.บุรัสกร ลาผ่าน รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.คำพู พลอยผักแว่น รอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., ร.ต.อ.หญิง เพ็ญแข ชัยรัตน์กรกิจ/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส., เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง , เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านปรางค์, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระทองคำ , และได้ร่วมบูรณาการสนธิกำลังร่วมกับ และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมสืบสวนจับกุม เครือข่ายที่ 1 วันที่ 28 ก.พ.2568 1.นายสายชล หรือดำ ศรีหนองห้าง อายุ 54 ปี เลขประจำตัวประชาชน 5470500012838 ที่อยู่ 95/1 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร
2.นายสุทธิพงษ์ หรือมอส ธรรมาภิรมย์ อายุ 34 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1470500065751 ที่อยู่ 198 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร
3.นายยุทธศักดิ์ หรือแนส วิถี อายุ 44 เลขประจำตัวประชาชน 3470500296384 ที่อยู่ 125 ม.12 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนคร4.นายโชคทวี หรือเล็ก แสนโคตร อายุ 34 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1470500063740 ที่อยู่ 216 ม.7 ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จว.สกลนครพร้อมของกลาง 1.ยาบ้า จำนวน 2,390,000 เม็ด (สองล้านสามแสนเก้าหมื่นเม็ด)ตรวจยึดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด-รถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน (ราคาประเมิน 300,000 บาท)-รถยนต์เก๋ง จำนวน 1 คัน (ราคาประเมิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท)โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุม สืบสวนทราบว่ามีเครือข่ายยาเสพติดชาว สปป.ลาว จะทำการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.บึงกาฬ ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่พื้นที่ภาคกลางตอนในของประเทศไทย ผ่านพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 3 และภาค 4 โดยเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวใช้ รถยนต์กระบะ ในการขนลำเลียงยาเสพติด จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 , กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธร

จังหวัดนครราชสีมา และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกันสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว จนกระทั่งพบรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะต้องสงสัย ซึ่งมีการเคลื่อนตัวออกมาจากพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจาก จว.สกลนคร มีลักษณะขับขี่ตามกันมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าจะมีลำเลียงนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนเข้าไปยังพื้นที่ภาคกลางตอนในของประเทศไทยและเชื่อว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะใช้เส้นทางที่เคยวิ่งลำเลียงยาเสพติดมาก่อนหน้านี้ จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนในการจับกุม โดยวางกำลังตามเส้นทางที่คาดว่าเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ โดยวางกำลังเฝ้าดู พร้อมทั้งสะกดรอยติดตาม และเพื่อให้ทราบถึงขบวนการในการลำเลียงยาเสพติดและผู้สั่งการในการลำเลียงยาเสพติด จึงได้ขับรถยนต์ติดตามโดยพบว่ารถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะดังกล่าวที่บรรทุกสิ่งของบริเวณท้ายกระบะบรรทุกโดยใช้ผ้าใบปกคลุมปิดบังสิ่งของไว้ โดยรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะดังกล่าววิ่งมาถึงบริเวณ ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โนนสูง จว.นครราชสีมา เพื่อตั้งด่านจุดสกัดยานพาหนะที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว สามารถสกัดรถยนต์เก๋งและรถยนต์กระบะได้จำนวน 2 คัน พร้อมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน และของกลางยาบ้าจำนวน 2,390,000 เม็ด ทเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจับกุมจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน พร้อมของกลาง มายัง กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 3 เพื่อตรวจเก็บพยานหลักฐาน จากนั้นได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อทราบถึงขบวนการและเครือข่ายยาเสพติด สอบถามผู้ต้องหาทั้ง 4 ให้การรับว่าพวกตนเองได้รับการว่าจ้างจากนายพจน์ ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง ให้ลำเลียงยาเสพติดไปส่งที่ จว.สระบุรี เมื่อไปถึงแล้ว จึงแจ้งให้นายพจน์ ทราบ และนายพจน์ จะแจ้งให้ทราบว่าไปส่งต่อที่ใด แต่มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดจับได้ก่อน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยังไม่ได้รับเงินค่าจ้างในการลำเลียงยาเสพติดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจะได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบสวนติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปเครือข่ายที่ 2ภายใต้การอำนวยการของ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 , พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รอง ผบช.ภ.3 ,พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3, พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ,พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.3,
สั่งการให้ พ.ต.อ.วรวรรธน์ ขันธ์เครือ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.สุรกฤษ คงธนกิตติ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.บุรัสกร ลาผ่าน รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.อิทธิพล เพ็ญเดิมพันธ์ สว.กก.สืบสวน 1ฯ ร.ต.อ.โสภณ ละเอียด และ ร.ต.อ.ธนะศักดิ์ ปุ๊กกระโทก รอง สว.กก.สืบสวน 1ฯ ว่าที่ ร.ต.ต.สันติชัย ไชยเสริฐ, ปรกฯ รอง สว.กก.สืบสวน 1ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 , เจ้าพนักงาน ปปส.ภ.3 ร่วมกันทำการสืบสวนจับกุม ร่วมกันสืบสวนจับกุม

เครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค 3 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย รวมยาบ้า 202,806 เม็ด ตรวจยึดทรัพย์สิน ประมาณ 1,300,000 บาท
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมนายอำนาจ หรือแอ๋ม มุ่งปานกลาง อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 59 หมู่ที่ 2 ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์น.ส.รุ้งนภา หรือก้อย สัญญารักษ์ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 78 หมู่ที่ 2 ต.หนองคู อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์นายนพชัยหรือบูม รักไร่ อายุ 25 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 246 หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแถลง อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมาน.ส.ลินดาหรือกิ๊ก ยอดพิกุล อายุ 27 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 207 หมู่ที่ 2 ต.หนองคู อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ในฐานความผิด “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 24,000 เม็ด , โทรศัพท์มือถือจำนวน 5 เครื่องตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 900,000 บาทพฤติการณ์การจับกุม เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1ฯ จากการจับุกม นายธนพล หรือทัดฯ พร้อมด้วยยาบ้า จำนวน 2,000 เม็ด ชุดสืบสวนจึงได้การขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมผุ้ต้องหาดังกล่าวได้สำเร็จสถานที่จับกุมบริเวณ ริมถนนหน้าทางเข้าแก้วมณีรีสอร์ท ม.2 ต.สารภี อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมานำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปต่อมาชุดสืบสวนได้ทำกาขยายผลจับกุมเครือยาเสพติดกลุ่มนักค้าชาวลาว ได้เพิ่มเติมดังนี้

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมนายบุญช่วย หรือจุ้ย ด้วงชำนาญ อายุ 60 ปี บ้านเลขที่ 105 หมู่ 1 ต.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ในความผิดฐาน “จำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”
พร้อมด้วยของกลาง ยาบ้า จำนวน 132,000 เม็ด และได้ทำการตรวจยึดยาบ้าอยู่ภายในบ้าน จำนวน 200,00 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 152,000 เม็ด , ตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 200,000 บาทพฤติการณ์การจับกุม เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1ฯ ทำการจับกุม นายนพชัยหรือบูม พร้อมพวกรวม 4 ราย และยาบ้า จำนวน 42,000 เม็ด ชุดสืบสวนจึงได้การขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้สำเร็จสถานที่จับกุมบริเวณทางเข้าบ้านเลขที่ 105 ม. 1 ต.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งทั้งสองราย ได้จากการขยายผลการจับกุมยาเสพติดนายเจตพล หรือแจ๊บฯ เพชรกระโทก อายุ 23 ปี ในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 806 เม็ดและขยายผลจับกุม นายธนพล หรือทัต เทกระโทก อายุ 30 ปี ในความผิดฐาน “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า)โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการค้า” พร้อมของกลาง ยาบ้า

ภาพ/ข่าว : ตำรวจภูธรภาค 3

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / แถลงข่าวการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในพื้นที่อ.ปาย

แชร์เนื้อหานี้

22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 17.30 น. พล.ต.ต.ทรงกริช ออนตะไคร้ ผบก.ภ.จว.แม่ฮ่องสอน , พ.ต.อ.สำเร็จ สามสีทอง ผกก.สภ.ปาย ,พ.ต.ท.วีรภัทร คำลาพิช รอง.ผกก.สภ.ปาย ร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยแม่ฮ่องสอน ,ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแม่ฮ่องสอน , ฝ่ายปกครองอำเภอปาย, สาธารณสุขอำเภอปาย,กต.ตร.สภ.ปาย

ร่วมกันแถลงข่าวการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในพื้นที่อำเภอปาย จากนั้นได้ทำการตรวจศูนย์ ศปก.สภ.ปาย จุดบริการประชาชนถนนคนเดิน และเดินตรวจบริเวณถนนคนเดิน เพื่อแนะนำนักท่องเที่ยวที่ฝ่าฝืนสูบกัญชาในที่สาธารณะ และทำการเปรียบเทียบปรับ ณ ศปก.สภ.ปายฯ จำนวน 10 ราย ตลอดจนแนะนำร้านจำหน่ายกัญชาห้ามจำหน่ายกัญชาเพื่อสูบในร้านหากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ..

สมจิตรแสงบันลังค์รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ผบก.ทท.1 เปิดติวเข้มอาสาสมัคร ตร.ทท.พัทยา ปี 68

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 25 ก.พ.68 พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 เป็นประธานในพิธีเปิดครงการอบรมสัมมนาอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ.2568 ที่บริเวณห้องประชุมชั้น 2 ศาลาประชาคมที่ว่าการอำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี โดยมี พ.ต.อ.แมน รถทอง ผกก.2 บก.ทท.1 พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ เอนสาร สวญ.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 พ.ต.ท.ศุภรัตน์ มีปรีชา พ.ต.ต.อภิชาติ จารุรักษ์ สว.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง และนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ร่วมให้การต้อนรับ

ด้วยผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้อนุมัติลงวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ให้สถานีตำรวจท่องเที่ยวทุกแห่งในสังกัดดำเนินการจัดทำโครงการฝึกอบรมสัมมนาอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ.2568 โดยสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เสริมสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย (Resilient Tourism) มุ่งเน้นการสร้างความเจริญทางการท่องเที่ยวให้เข้าถึงทุกพื้นที่

โดยอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยวจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือขับคลื่อนนโยบายด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนการปฏิบัติงานภายใต้อำนาจหน้าที่ ภารกิจและความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยวได้มีความรู้ ความเข้าใจในภารกิจหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และภารกิจหน้าที่ของอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว การสังเกตตำหนิรูปพรรณคนร้าย การแจ้งข้อมูลข่าวสาร การเข้าระงับเหตุในสถานการณ์ต่างๆ

อีกทั้ง เพื่อให้อาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว มีความรู้ ความเข้าใจในงานการบริการและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ตลอดจนเพื่อให้อาสสสมัครตำรวจท่องเที่ยว มีความรู้ ความเข้าใจทักษะขั้นตอนการปฏิบัติ ในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวในกรณีประสบเหตุ และเพื่อให้อาสมัครตำตำรวจท่องเที่ยว มีความรู้ ความเข้าใจ ในแนวทางการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับด้านยุทธวิธีในการปฏิบัติงาน สามารถทำหน้าที่ในการร่วมปฏิบัติงานกับตำรวจท่องเที่ยว ภาคีเครือข่ายในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

สถานีตำรวจท่องเที่ยว 4 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 (ตำรวจท่องเที่ยวพัทยา) จึงดำเนินการจัดโครงการอบรมสัมมนาอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ประจำปี พ.ศ.2568 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้รวมประมาณ 180 คน

พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 กล่าวด้วยว่าขอเป็นกำลังใจให้ผู้อบรมทุกท่านที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับตำรวจท่องเที่ยว มาร่วมทำงานเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยร่วมกันต่อไป

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ /ผบ.ตร. แก้ปัญหาต่างด้าว สั่งลงดาบตำรวจทำผิด ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี มอบ “พล.ต.ท.สำราญฯ” กำกับดูแล/ ถนนวงแหวนเมืองพะเยาหรือที่เรียกว่าถนน(อุบาลี)อยู่ในความดูแลของทางหลวงชนบท จ.พะเยา

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ศปก.ตร. อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางระบบประชุมทางไกล

ในที่ประชุมฯ ผบ.ตร. ได้ประชุมติดตามสถานการณ์และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ จึงได้สั่งการให้เร่งรัดการปฏิบัติในการตรวจสอบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม เพื่อตอบข้อเคลือบแคลงของพี่น้องประชาชนและสังคม หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแลการปฏิบัติ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติใน 4 ขั้นตอน ได้แก่

  1. ตรวจสอบ : ให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในทุกมิติ รวมทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการอย่างเข้มงวดโดยไม่กระทบกับการท่องเที่ยว
  2. ปฏิบัติการ : ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติ ลงพื้นที่ตรวจสอบชาวต่างชาติที่พำนักในพื้นที่ เช่น ที่พัก แผนการท่องเที่ยว การรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
  3. บังคับใช้กฎหมาย : หากพบมีการทำความผิดของชาวต่างชาติ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดทันที
  4. ประชาสัมพันธ์ : สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อตอบคำถาม ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมและประชาชน และให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสื่อต่าง ๆ
  5. นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวเชิงวิเคราะห์ แนวโน้มสถานการณ์การกระทำความผิดของคนต่างด้าวและแก๊งคอลเซ็นเตอร์พื้นที่จังหวัดเฝ้าระวัง เส้นทาง และรูปแบบการกระทำความผิด รวมทั้งผลการดำเนินการด้านกฎหมายและกลไกการส่งต่อระดับชาติ โดย ผบ.ตร.กำชับทุกพื้นที่/จังหวัด ปรับแผนการปฏิบัติและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้ารับมือในทุกมิติ

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กำชับเข้มงวด หากพบตำรวจรายใดเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เอื้อประโยชน์ ประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย จนเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของหน่วยพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประเทศชาติ ให้ดำเนินการทางปกครอง วินัย และอาญาเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำชับหากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที

พร้อมกันนี้ ผบ.ตร.ขอให้ผู้บังคับบัญชาถ่ายทอดข้อสั่งการและเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุกนาย โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของประเทศ และต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำผิดเด็ดขาด และขอบคุณตำรวจทุกนายที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตั้งใจทำงาน รักษาความดี ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติต่อไป

วันนี้ที่พะเยา.#กับถนนวงแหวนเมืองพะเยาหรือที่เรียกว่าถนน(อุบาลี)ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดพะเยาวันนี้มีภารกิจมาพะเยาก็เลยขับรถไปดูตลอดเส้นทางดังกล่าวตามที่เป็นข่าวมานานว่าถนนสายนี้ก่อสร้างยังไม่ทันเท่าไรก็พังไปแล้วเจ้าของภาษีประเทศคงจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นะครับก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงพังเร็วจัง.ถนนสายนี้เป็นถนนเลี่ยงเมืองพะเยาปลูกต้นไม้ริมทางเกาะกลางก็ดูสวยงามดีนะครับดอกคูณหรือดอกลมแล้งทางภาคเหนือแต่ว่าสภาพที่เป็นอยู่ก็คือเกาะกลางถนนทั้งสองข้างทางคงจะก่อสร้างใหม่เพราะสภาพที่เห็นก็เป็นแบบนี้ตลอดสายเลยนำภาพถ่ายมาให้ดูนะครับตอนนี้ก็

เห็นกำลังรื้อทำไมตลอดเส้นทางก็ไม่ทราบว่าอยู่ในระหว่างการประกันงานจากบริษัทรับเหมาหรือไม่หรือว่าใช้งบประมาณมาสร้างใหม่เพราะอันเก่าพังไปแล้ว
สำหรับพี่น้องประชาชนหรือประชาชนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ 2 ข้างทางหรือใช้เส้นทางนี้สัญจรก็ระมัดระวังหน่อยนะครับเพราะมีการก่อสร้างเป็นระยะระยะตลอด 2 เส้นทางเพราะเมื่อก่อนนี้ก็มีข่าวรถประชาชนได้รับความเสียหายตกหลุมตกบ่อมาแล้วถ้าทีมข่าวมีโอกาสไปพะเยาก็จะไปสอบถามว่าโครงการนี้จะหรื้อทำใหม่ตลอดเส้นทางเลยหรือครับหรือว่าเป็นช่วงๆ.พังตั้งแต่พื้นผิวจราจรก็น่าจะพอฟังอยู่นะครับแต่นี้แม้แต่เกาะกลางถนนก็สภาพอย่างที่เห็นนะครับพังไปเหมือนกันก็ไม่ทราบว่าวิศวกรควบคุมงานของทางหลวงชนบทคำนวณผิดหรือเปล่าครับจึงได้พังเร็วจังเลย. วันนี้ก็พยายามติดต่อผู้อำนวยการทางหลวงชนบทพะเยา.ติดภารกิจประชุมส่วนราชการเลยมีโอกาสก็จะนำรายละเอียดมาเสนอข่าวความคืบหน้าและความเป็นมากับถนนสายนี้อีกทีนะครับ

รายงานโดยสมจิตรแสงบัลลังก์ทีมข่าวกองบกภาคเหนือ

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / สภ.โคกสำโรง ลพบุรี ประชุมคณะกรรมการ กต.ตร.สภ.โคกสำโรง ครั้งที่ 1/2568

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธโคกสำโรง พ.ต.อ.อภิชาติ ทองแพ ผกก.สภ.โคกสำโรง ประธานในที่ประชุม พระครูสุนทรปรีชากิจ (อ.แดง) กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนา ประธานร่วม
ปธ.พิธีกล่าวเปิดประชุม เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ตามคำสั่งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจจังหวัดลพบุรี

ที่ 7/2568 ลง 28 มกราคม 2568 มีผล วันที่ 15 มกราคม 2568 เรื่องเสนอให้ที่ประชุมทราบตามระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ.2567 ให้มีการประชุมเพื่อเลือกประธานกรรมการ โดยให้เลือกจากกรรมการ (ซึ่งไม่เป็นข้าราชการตำรวจ) ให้ดำเนินการประชุมเพื่อเลือกประธานกรรมการ ตามวรรค

หนึ่ง ภายในสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่มีการแต่งตั้งกรรมการครบถ้วนแล้ว
สำหรับวิธีการประชุม และลงมติให้เป็นไปตามข้อ 42 การเลือกผู้ใดเป็นประธานกรรมการแล้ว ให้หัวหน้าสถานีตำรวจประกาศให้ทราบ
ทั่วไปและรายงานให้ กต.ตร. จังหวัด ทราบ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ที่ประชุมมีมติ

ผลการคัดเลือก โดยในที่ประชุมมีการเสนอชื่อ นายณัฏฐพงษ์ อารยางกูร ให้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง และคณะ กต.ตร.สภ.โคกสำโรง ในที่ประชุมต่างลงความเห็นตรงกันให้นายณัฏฐพงษ์ อารยางกูร เป็นประธาน กต.ตร.สภ.โคกสำโรง โดยมีวาระ 2 ปี โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจ และวาระการดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้

  1. องค์ประกอบ
    1.1 หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง
    เป็นกรรมการ
    1.2 ปลัดอำเภอโคกสำโรง
    เป็นกรรมการ
    1.3 รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจจฎธรโคกสำโรง
    เป็นกรรมการ
    1.4 รองผู้กำกับการสืบสวน สถานีตำรวจภูธธรโคกสำโรง
    เป็นกรรมการ
    1.5 รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง เป็นกรรมการ
    1.6 นางสาว สุรีรัตน์ วรปัญญา
    เป็นกรรมการ (นายกเทศมนตรีตำบลโคกสำโรง)
    1.7 นาง กิติพร แตงชุ่ม
    เป็นกรรมการ (นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำโรง)
    1.8 นาย สำรวย งามขำ
    เป็นกรรมการ (กำนันตำบลโคกสำโรง)
    1.9 ดาบตำรวจ พฤกษ เหมาะสมัย
    เป็นกรรมการ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน สถานีตำรวจภูธรโคกสำโรง
    1.10 นาย ประธาน สุนทโร
    เป็นกรรมการ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาโคกสำโรง
    1.11 นาย ศักดิ์ดา คำโส
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา
    1.12 นาย สนอง แท่นสูงเนิน
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน
    1.13 นาย ประสิทธิ์ เจียรดำรงรัศมี
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ
    1.14 นาย พล วงษ์ธนาพฤกษ์
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ
    1.15 นาย ณัฏฐพงษ์ อารยางกูร
    เป็นประธาน กต.ตร.สภ.โคกสำโรง (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจโรงแรม)
    1.16 นางสาว วริศรา แผ่สุวรรณ
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ
    1.17 นาย ปรีชา กิจรัตนกาญจน์
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาองค์กร สังคม
    1.18 พระครูสุนทรปรีชากิจ
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนา
    1.19 นาย นิธิโรจน์ หงษ์ยนต์
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน
    1.20 นาย ประมวล มีนุ้ย
    เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน
    1.21 พ.ต.ท.เสริญราษฏร์ แก้วปนทอง
    สารวัตรอำนวยการ เป็นเลขานุการ
    1.22 ร้อยตำรวจโท รุ่งศักดิ์ นิ่มประสารทรัพย์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
    1.23 จ่าสิบตำรวจ นพพร ป้องบุญจันทร์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
  2. หน้าที่และอำนาจ
    รับแนวทางและนโยบายการพัฒนา และการบริหารงานตำรวจจาก ก.ต.ช. ไปปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผล ตามนโยบายต่อไป

สนอง แท่นสูงเนิน ภาพ/ข่าว รายงาน

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / พล.ต.ต.โชคชัย นามวงศ์ รองตร. ภูธรภาค 1 จัดฝึกซ้อมหน่วยหลักสูตรยุทธวิธีดีดีเพื่อความปลอดภัยของประชาชน..”

แชร์เนื้อหานี้

พล.ต.ต.โชคชัย นามวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จัดฝึกซ้อมหน่วยระงับเหตุช่วยเหลือป้องกันเหตุโดยใช้ยุทธวิธีและอุปกรณ์อาวุธต่างๆเพื่อควบคุมสถานการณ์วิกฤตให้ความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม

วันที่ 11 ก.พ.68 เวลา 15.00 น. พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ภัคพงศ์ สายอุบล ผบก. อก.ภ.1 พ.ต.อ.จักรพันธ์ โอสถากันต์ ผกก.ปพ. บก.สส.ภ.1 พ.ต.ท.ชยากร บุญมา สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา/ครูฝึก และทีมงาน ร่วมชมสาธิตการฝึกระงับเหตุคนคลุ้มคลั่งโดยใช้ปืนยิงตาข่าย ประจำปี 2568 ณ ลานฝึกยุทธวิธี “ปราบไพรีอริศัตรุพ่าย” ตำรวจภูธรภาค 1

ทางด้านพล.ต.ต.โชคชัย รองผู้บัญชาการการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวเพิ่มเติมว่านโยบายดังกล่าวเป็นไปตามสั่งการของพลตำรวจเอก กิตติ์ืรัฐ พันธ์ุเพชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโท สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งให้มีการจัดฝึกอบรมและชุดยุทธวิธีดังกล่าวเพื่อใช้ในการป้องกันและปราบปรามคนร้ายหรือมิจฉาชีพตลอดจนผู้ที่อยู่ในอาการไม่ปกติหรือคลุ้มคลั่งต่างๆด้วยเหตุของโรคประจำตัวหรือด้วยเหตุป่วยต่างๆ

รวมถึงการที่มีอาวุธที่สามารถจะทำร้ายประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จัดการบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ เพื่อลดความสูญเสียของประชาชนและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆทั้งในด้านของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะว่าการใช้เครื่องมือต่างๆและเทคโนโลยีจะต้องมีการฝึกซ้อมให้มีความชำนาญและสามารถระงับเหตุได้

ทันท่วงทีไม่ให้เกิดการสูญเสียได้ใดเลยหรือสูญเสียให้น้อยที่สุดหากมีเหตุเกิดขึ้น โดยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการฝึกซ้อมและมีชุดยุทธวิธีดังกล่าวจะทำให้การทำงานของตำรวจง่ายขึ้นและลดการเผชิญหน้าถึงตัวกันระหว่างทั้งสองฝ่ายได้เป็นอย่างดีซึ่งจะก่อเกิดมีประสิทธิภาพต่อสังคมในการควบคุมทางสังคมที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

สื่อรัฐทีวี-สือรัฐนิวส์ / กต.ตร.สภ.ห้วยยาง ผู้บังคับบัญชา ร่วมสนับสนุนจัดงานปีใหม่ ขอบคุณ พร้อมมอบของรางวัล เจ้าหน้าที่ตำรวจ

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 6 ก.พ.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สภ.ห้วยยาง ตำบลห้วยยาง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.วีระพัฒน์ เกตุษา ผกก.สภ.ห้วยยาง พ.ต.ท.สหธัญ กำบิลดีลิราช รองผกก.ป.สภ.ห้วยยาง

พ.ต.ท.ธีระ สูงยิ่ง รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ห้วยยาง พ.ต.ต.กฤษดา เหนี่ยวพึ่ง สวป.สภ.ห้วยยาง พร้อมกับ นายชาตรี วณิชวรสกุล ประธาน กต.ตร.สภ.ห้วยยาง คณะที่ปรึกษา กต.ตร.สภ.ห้วยยาง และผู้บังคับบัญชาร่วมจัดกิจกรรมวันปีใหม่พร้อมมอบของรางวัลเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจ สภห้วยยาง

สืบเนื่องจากห้วงปีใหม่ที่ผ่านมามีภารกิจที่ข้าราชการตำรวจสภ.ห้วยยาง ทุกคนต้องร่วมกันทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน จำนวน 10 วัน ตามโครงการ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ ปีใหม่ 2568”

ต่อเนื่องภารกิจช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่พื้นที่ห้วยยาง มีจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต วัดสมุทรทาราม ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จำนวน 10 วัน 10 คืน ระหว่าง 23 ม.ค.-1 ก.พ.68 ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ จึงขอมอบของ

รางวัลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ให้ทุกท่านได้มีแรงปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ในปี 2568 โดยมีผู้ใหญ่ใจดีในพื้นที่ และผู้บังคับบัญชาร่วมสนับสนุนของรางวัลดังกล่าว จากนั้นร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน

/////////////////

ข่าว ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์ 0649646443

สื่อรัฐทีวี-สื่อรัฐนิวส์ / ตร.ภูธรภาค 3 แถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องคดียาเสพติดพร้อมของกลางยาบ้า 400,000เม็ด

แชร์เนื้อหานี้

ตามที่คณะรัฐมนตรี โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา กำหนดกรอบนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศตามกรอบความเร่งด่วน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี นำความปลอดภัย สร้างศักดิ์ศรี และนำความภาคภูมิใจมาสู่ประชาชนไทย นโยบายด้านความปลอดภัย จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย ผู้ผลิตผู้ค้าคือผู้ที่ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด พร้อมทั้งควบคุมการลักลอบนำเข้า ยาเสพติดมาในประเทศไทย และดึงประชาชนออกจากวงจรการค้ายาเสพติดอย่างถาวร โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด “Seal Stop Safe” เพื่อสกัดกั้นและปราบปราม ยาเสพติดตามแนวชายแดน ถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาเป็นแนวทางในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติอย่างเป็นระบบ และขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวสู่การปฏิบัติทุกพื้นที่ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ณ (บก.สส.ภ.3) ถ.สุรนารายณ์ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตำรวจภูธรภาค ๓ โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.๓ แถลงข่าว พร้อมด้วย ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ รรท.รอง ผบช.ภ.๓ /รอง ผอ.ศอ.ปส.ภ.3 นายมานพ แสงโสทร ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 3 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดเร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ กวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ สกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน

โดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.สนธยา แต่แดงเพชร ผบก.สส.ภ.3 พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.อก.ภ.๓ รรท.ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ธรรมนูญ ฉิมวงษ์ รอง.ผบก.สส.ภ.3 พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง.ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ทศพร เพียรปรุ ผกก.สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๓ พ.ต.อ.วีณวัฒน์ ศรีแย้ม ผกก.สภ.โพธิ์กลาง พ.ต.อ.สิทธิพล ทิมสูงเนิน ผกก.สภ.โนนสูง พ.ต.ท.ยุทธพล บุษบา รอง.ผกก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 พ.ต.ท.วิโรจน์ เจริญชัย รอง.ผกก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 พ.ต.ท.สมาน เชาว์มะเริง รอง ผกก.สส.สภ. โพธิ์กลาง พ.ต.ท.ภคพล สมควร รอง ผกก.สส.สภ.โนนสูง พ.ต.ต.เฉลียว เจริญสุข สวป.สภ.โนนสูง สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 และ ร.ต.อ.หญิงเพ็ญแข ชัยรัตน์กรกิจ/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองกำกับการสืบสวน 3 บก.สส.ภ.3 และ พ.ต.ท.คำพู พลอยผักแว่น รอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3/เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.ชัยพล คงขุนทด สว.สส.ฯ พร้อมพวก ร่วมสืบสวนจับกุมตัว  
1.นายสุริยา หรือเหยิน น้อยแก้ว อายุ 52 ปี ที่อยู่ 308 ม.7 ต.บ้านผึ้ง อ.เมืองนครพนม จว.นครพนม

  1. MISS PHONETHIP SENGMANY อายุ ๒1 ปี ที่อยู่ แขวงบอลิคําไซ เชื้อชาติลาว สัญชาติลาว พร้อมของกลาง1.ยาบ้าจำนวน 10 แพค แพคละ 3 มัด(ประทับตราสัญลักษณ์ Y-1) มัดละ 2,000 เม็ด แต่ละแพคห่อด้วยถุงพลาสติกใส พันด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ รวมยาบ้า 30 มัด (ยาบ้าประมาณ 60,000 เม็ด)
    2.ยาบ้าจำนวน 22 แพค แพคละ 3 มัด(ประทับตราสัญลักษณ์ Y-1) มัดละ 2,000 เม็ด และยาบ้าจำนวน 1 มัด แต่ละแพคห่อด้วยถุงพลาสติกใส พันด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ รวมยาบ้า 67 มัด (ยาบ้าประมาณ 134,000 เม็ด)
    3.ยาบ้าจำนวน 34 แพค แพคละ 3 มัด(ประทับตราสัญลักษณ์ Y-1) มัดละ 2,000 เม็ด และยาบ้าจำนวน 1 มัด แต่ละแพคห่อด้วยถุงพลาสติกใส พันด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ รวมยาบ้า 103 มัด (ประมาณ 206,000 เม็ด) รวมยาบ้าทั้งหมดประมาณ 400,000 เม็ด พฤติการณ์แห่งคดี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจและ บก.สส.ภ.3 ดำเนินการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ตอนในโดยเฝ้าสังเกตรถยนต์ยานพาหนะที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติจากพื้นที่ชายแดน และเข้ามาในเขตพื้นทีตำรวจภูธรภาค 3 โดยสืบสวนจากฐานข้อมูลจากการสืบสวนจับกุมยาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่อื่น ๆ จนพบว่ารถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า คันหมายเลขทะเบียน 3ฒฬ 3964 กรุงเทพมหานคร มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเข้ามาในพื้นที่ จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์จนพบว่าเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2568 รถยนต์คันดังกล่าวเดินทางมาจาก จว.นครพนม เข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบ ตำรวจภูธรภาค 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสกดรอยติดตามมาจนพบว่าผู้ต้องหาเข้าไปบริเวณจุดทิ้งขยะ ในพื้นที่ ต.ตลาด อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแฝงตัวเข้าไปซุ่มสังเกตการณ์ พบว่าผู้ต้องหาชายและหญิงได้หยิบยาเสพติดลงใส่ถุงปุ๋ยสีเขียวเพื่อบรรจุยาเสพติดนำไปวางไว้ในดงหญ้าข้างบ่อขยะดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวจับกุมพร้อมของกลางดังกล่าว

สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนักค้ายาเสพติดชาวลาวในราคา 50,000 บาท มาเพื่อส่งมอบให้กับนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ โดยไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด เนื่องจากนักค้าชาวลาว จะติดต่อกับผู้รับยาเสพติดในพื้นที่เอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถยนต์กระบะคันดังกล่าว นำมาตรวจค้นสแกนด้วยเครื่องมือพิเศษเครื่องแสกนเฮล (เครื่องแสกนมือถือ) และพบยาเสพติดที่ได้ซุกซ่อนไว้ในรถยนต์กระบะ จึงได้ร่วมกันทำการตรวจยึดยาเสพติดนำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตำรวจภูธรภาค ๓ จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่งแจ้งเบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถานประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด ๑๕๙๙ สายด่วน ๑๙๑ และ Application Police I lert U ได้ตลอด ๒๔ ชม. หรือสายด่วน 1386 ของสำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และลดปัญหา ยาเสพติด ในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นเพื่อให้สังคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติด ต่อไป
ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่ให้การสนับสนุนตำรวจภูธรภาค ๓ ด้วยดีเสมอมา

กันตินันท์ เรืองประโคน/รายงาน