คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ปศุสัตว์ จ.ชุมพร ตรวจประเมินระบบมาตรฐานฮาลาล โรงเชือดเพื่อการส่งออก ปี 2568 / ตร.ทล.ชุมพรจับยาบ้ากว่า 1 ล้านเม็ด

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันที่ 19 สิงหาคม 2568 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชุมพร โดยนายสัตวแพทย์เดชา จิตรภิรมย์ ปศุสัตว์จังหวัดชุมพร ได้มอบหมายให้ นายสัตวแพทย์พิชัย โพธิ์กระสังข์ นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาสุขภาพสัตว์ เข้าร่วมการตรวจประเมินระบบมาตรฐานฮาลาล โรงเชือดเพื่อการส่งออก ประจำปี 2568 ของ บริษัท ดีแอนด์แซด คอนซัลแตนท์ จำกัด

นายสัตวแพทย์พิชัยฯ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 และพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 รวมถึงเป็นพนักงานตรวจโรคสัตว์ประจำโรงงานเพื่อการส่งออก

การตรวจประเมินจัดขึ้น โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชุมพร และ ฝ่ายกิจการฮาลาล คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (CICOT) มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้าร่วม ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านปศุสัตว์จากกรมปศุสัตว์,ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร,ผู้เชี่ยวชาญด้านฮาลาล จากสำนักคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และจากสำนักคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดชุมพร

โดยมีรายชื่อคณะผู้ตรวจประเมิน ดังนี้ 1. นายคทาวุธ เลาะหมุด หัวหน้างานต่างประเทศฝ่ายกิจการฮาลาล สกอท. — หัวหน้าคณะตรวจประเมิน 2. น.สพ.มาลิก อับดุลบุตร นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ กรมปศุสัตว์ — กรรมการคณะตรวจประเมิน 3. น.สพ.ประยูร ลีลางามวงศา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอาหาร — กรรมการคณะตรวจประเมิน 4. สกอจ.ชุมพร ผู้เชี่ยวชาญด้านฮาลาล สกอจ.ชุมพร — กรรมการคณะตรวจประเมิน

5. นายเสกสันต์ แสงศรี ผู้เชี่ยวชาญการตรวจประเมินโรงเชือดฮาลาล ฝ่ายกิจการฮาลาล สกอท. — เลขานุการคณะตรวจประเมิน 6. น.สพ. รฐนนท์ เข็มแก้วนายสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ — ผู้ช่วยคณะกรรมการตรวจประเมิน 7.นายอานัศ มะมิน นักศึกษาฝึกงาน — สังเกตการณ์

วัตถุประสงค์ของการตรวจประเมินครั้งนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานโรงเชือดให้เป็นไปตามหลัก ศาสนาบัญญัติอิสลามและข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหาร เพื่อรองรับการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

ตร.ทล.ชุมพรจับยาบ้ากว่า 1 ล้านเม็ด

ธนากร โกศลเมธี 0818923514 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นของวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงชุมพร (ตร.ทล.ชุมพร)

สถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 2 ปฏิบัติหน้าที่บนถนนเพชรเกษม ขาล่องใต้ ต.ท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ได้สกัดจับรถเก๋งต้องสงสัยคันหนึ่ง หลังสังเกตเห็นว่าท้ายรถคันดังกล่าวมีการบรรทุกสิ่งของที่น้ำหนักมากผิดปกติ

เมื่อเจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณขอให้รถต้องสงสัยจอดรถเพื่อขอตรวจค้น พบร่องรอยการดัดแปลงในส่วนของท้ายของกระโปรงรถด้านหลัง เมื่อรื้อและตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบกระสอบบรรจุยาบ้าอัดแน่นเต็มพื้นที่

รวมจำนวนกว่า 1,000,000 เม็ด คิดเป็นมูลค่ามหาศาล จึงควบคุมตัวคนขับและผู้โดยสารที่มากับรถ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลเพื่อขยายผล)

ไปสอบสวนขยายผลที่สถานีตำรวจทางหลวง เพื่อหาเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยคาดว่ายาเสพติดล็อตนี้มีปลายทางที่จังหวัดทางภาคใต้ตอนล่าง

ก่อนจะถูกลำเลียงเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในที่สุด การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการสกัดกั้นยาเสพติดล็อตใหญ่ที่พยายามจะลักลอบผ่านจังหวัดชุมพร

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / โรงไฟฟ้าพลังงานขยะส่อชงัก!!ชาวบ้านเตรียมรวมตัวชุมนุมคัดค้านใหญ่ ไล่พ้น อ.พาน จ.เชียงใหม่

แชร์เนื้อหานี้

โรงไฟฟ้าพลังงานขยะส่อชงัก!!โครงการฯชาวบ้านเตรียมรวมตัวชุมนุมคัดค้านใหญ่ ไล่พ้นอำเภอพาน ยื่นหนังสือต่อหน่วยงานภาครัฐต่อต้านโรงไฟฟ้าขยะ ต่อคณะขับเคลื่อนวุฒิสภา รับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนชาวตำบลแม่เย็นและตำบล

ทานตะวัน ต่อต้านโรงไฟฟ้าไฟฟ้าขยะในพื้นที่ตำบลแม่เย็น อำเภอพาน จังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 คณะผู้ต่อต้านได้ไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายและสำนักงานกิจการ

พลังงานจังหวัดเชียงรายและเดินทางไปยื่นหนังสือให้อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงรายหลังจากนั้นยังได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนวุฒิสภาที่ประชุมอยู่ที่อำเภอ อำเภอแม่จัน

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าได้รับการเปิดเผยจากแกนนำต่อต้านการสร้างโรงงานไฟฟ้าขยะในตำบลแม่เย็นและตำบลทานตะวัน อำเภอพาน มีการนัดชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 19 สิงหาคม 2568เวลาตั้งแต่ เวลา09.00 น.เป็นต้นไป ณ เวทีโรงเรียน

บ้านหนองหล่ม ต.ทานตะวัน อ.พาน เพื่อแสดงความคิดเห็นไม่เอาโรงงานไฟฟ้าขยะโดยมีการยื่นหนังสือขออนุญาตการใช้สถานที่การชุมนุมและใช้เสียง ต่อนายอำเภอพาน และผกก.สภ.พานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีการตั้งเวทีแสดงความคิดเห็น สาเหตุไม่เอาโรงงานไฟฟ้าฯโดยจะมีสื่อทีวีและผู้สื่อข่าวเข้าร่วมสังเกตุการณ

สำหรับข้อมูลใหม่เกี่ยวกับพื้นที่การสร้างโรงงานไฟฟ้าบ้านสุขสันติ หมู่ที่9 ต.แม่เย็น ดังกล่าวมีความเคลื่อนไหวจากแหล่งข่าวชาวบ้านในพื้นที่ปัจจุบันมีการกว้านที่นาจำนวนนับ100ไร่บางรายมีการมัดจำ เพื่อเตรียมขายให้กับโรงงานไฟฟ้า

ขยะ แต่เมื่อมีการตรวจสอบระเบียบของการก่อสร้างโรงงานประเภทอุตสาหกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจะต้องสร้างในพื้นที่ประเภทสีม่วง เท่านั้นส่วนที่นาเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อาจจะไม่สามารถทำได้ยิ่งใกล้ชุมชนที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย.
#สมจิตรแสงบัลลังก์

ทีมข่าวบกรายงาน

0654617905

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / องคมนตรี เปิดงาน “ชมศูนย์ศึกษา พัฒนาความรู้ ดูนิทรรศการ” ครั้งที่ 26 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ จ.นราธิวาส

แชร์เนื้อหานี้

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นประธาน

ในพิธีเปิดงาน “ชมศูนย์ศึกษา พัฒนาความรู้ ดูนิทรรศการ” ครั้งที่ 26 ประจำปี 2568 โดยมีนางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) กล่าวรายงานการจัดงาน และ ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวต้อนรับ นางสายหยุด เพ็ชรสุข ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติตลอดจนประชาชนเข้าร่วมงานในครั้งนี้

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) และจังหวัดนราธิวาส จัดงาน “ชมศูนย์ศึกษา พัฒนาความรู้ ดูนิทรรศการ” ครั้งที่ 26 ระหว่างวันที่ 16 – 18 สิงหาคม 2568 เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดิน

โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพันปีหลวง เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ราษฎร รวมทั้งเผยแพร่ผลสำเร็จของศูนย์ศึกษาพิกุลทองฯ ให้ประชาชนสามารถน้อมนำแนวพระราชดำริไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

โอกาสนี้ องคมนตรี ได้มอบประกาศนียบัตรและรางวัล ให้แก่เกษตรกรที่ชนะการประกวดผลผลิตทางการเกษตร จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ ถั่วฝักยาว ข้าวโพดหวาน มะพร้าวอ่อนน้ำหอม ต่อจากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งนำองค์ความรู้การพัฒนาของแต่ละภูมิภาคมาจัดแสดง นิทรรศการ “ต่อยอดองค์ความรู้ สู่การพัฒนาอาชีพ” จากหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดนราธิวาส และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมทั้งเยี่ยมชมการดำเนินงานตลาดนัดสินค้าเกษตร

สำหรับงาน “ชมศูนย์ศึกษา พัฒนาความรู้ ดูนิทรรศการ” ครั้งที่ 26 นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการ ภายในงานยังมีกิจกรรมการฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นจำนวน 6 หลักสูตร ทั้งเชิงปฏิบัติการและผ่านระบบออนไลน์ อาทิ หลักสูตร การทำแหนมเห็ด สบู่นมแพะ ปลาแดดเดียวสมุนไพร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม

การจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร การเสวนาในหัวข้อ การวางแผนการผลิตพืชให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมกิจกรรมต่าง ๆ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ตำบลกะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส และยังเผยแพร่ผ่านทางเพจ/เฟสบุ๊ค ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อีกด้วย
////////////ข่าว/กรียา/นราธิวาส

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดพิธีทำบุญตักบาตร วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันนี้ (12 ส.ค.68) เวลา 07.30 น. นาย เธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นางพณณกร ชูกิตติวิบูลย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร และผู้บริหาร นำข้าราชการพลเรือน ศาล

ตุลาการ ทหาร ตำรวจ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พุทธศาสนิกชน ชาวชุมพรทุกหมู่เหล่า ร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา 93 พรรษา สมเด็จ

พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 วันแม่แห่งชาติ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงถึงความจงรักภักดี พร้อมตั้งจิตอธิษฐานแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ ซึ่งมีประชาชนแต่งกายชุดโทนสีฟ้า ร่วมทำบุญตักบาตร โดยพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ออกรับบิณฑบาต ข้าวสาร

อาหารแห้ง เครื่องอุปโภค บริโภค ของใช้ต่างๆ ณ บริเวณถนนปรมินทรมรรคา หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองชุมพร นอกจากนี้ จังหวัดชุมพร ได้เชิญผู้นำทั้ง 3 ศาสนาในจังหวัดชุมพรร่วมประกอบพิธีทางศาสนา ประกอบด้วย ศาสนาพุทธ

พระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ , ศาสนาอิสลาม ประกอบพิธีดุอาอ์ขอพร และศาสนาคริสต์ ประกอบพิธีอธิษฐานภาวนาขอพร เพื่อถวายพระราชกุศล และสร้างความสมานฉันท์ ระหว่างศาสนิกชนทุกศาสนา ในครั้งนี้อีกด้วย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ศอ.บต. นำคณะ NCIA มาเลเซีย เยือนชายแดนใต้ หนุนความร่วมมือพัฒนาภูมิภาคกับไทย

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นายกฤษณนันท์ กำไร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นางสาวนิโสรยา แวหะยี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับคุณ Wan Rodziana Wan Hassan และคณะเจ้าหน้าที่สำนักงาน NCIA (Northern Corridor Implementation Authority)

ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลาและสตูล) ระหว่างวันที่ 3 – 7 สิงหาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานด้านการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อไทยและมาเลเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยกับมาเลเซีย โดยมีท่าน Muhamad Danial Atif Bin Nasiren กงสุลมาเลเซีย ณ จังหวัดสงขลา เป็นผู้ประสานงาน

สำหรับกิจกรรมในวันแรก (3 สิงหาคม 2568) เป็นการนำคณะเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสได้กล่าวต้อนรับคณะเดินทาง โดยหน่วยงาน NCIA มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ

(NCER : (Northern Corridor Economic Region: NCER) ตามที่มาเลเซียได้ดำเนินนโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของชาติในการก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง

ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา มาเลเซียมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่พัฒนาอย่างก้าวหน้าเป็นอย่างมากและมีสภาพที่เอื้อต่อการลงทุนมาก มีบริษัทข้ามชาติจำนวนมากเลือกลงทุนและจัดตั้งศูนย์ธุรกิจระดับโลกในพื้นที่ NCER ซึ่งแม้ว่ารัฐที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือของมาเลเซีย จะไม่ได้มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนราธิวาสของไทย แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำเสนอให้คณะเจ้าหน้าที่ NCIA ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส เพื่อเชื่อมโยงไทยกับมาเลเซียในด้านเศรษฐกิจและสังคม

รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณทาง ศอ.บต. ที่ได้จัดกำหนดการให้คณะเจ้าหน้าที่ NCIA ได้มาเยี่ยมชมศักยภาพของพื้นที่ที่มีความโดดเด่นทั้งในแง่ที่เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในภาคใต้ตอนล่าง มีเส้นทางรถไฟ มีสนามบินนานาชาติซึ่งกำลังขยายให้สามารถรองรับผู้โดยสารและสินค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ จังหวัดนราธิวาสยังมีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้วิชาการสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่และประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดสอนในหลักสูตรองค์ความรู้สมัยใหม่เพื่อให้เรียนจบมามีงานทำและสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งในช่วงเช้า คณะฯได้รับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงชายแดนและการขนส่งระหว่างประเทศ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกด้านการค้าชายแดนและระบบขนส่ง โครงการสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก

จังหวัดนราธิวาสกับรันเตาปันยัง รัฐกลันตันของมาเลเซีย ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางหาดใหญ่ – สุไหงโก-ลก และความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูเส้นทางรถไฟสายสุไหงโก-ลก – รันเตาปันยัง โดยมีผู้แทนกรมศุลกากร กรมทางหลวง และการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูล

จากนั้นในช่วงบ่าย คณะฯได้เดินทางไปมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษารองรับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการสอนหลักสูตรสมัยใหม่ อาทิ ช่างเทคนิคระบบขนส่งทางราง ช่างเทคนิคอากาศยาน ช่างเทคนิคยานยนต์ไฟฟ้า และช่างเทคนิคระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ โดยได้ชมห้องปฏิบัติการไฟฟ้าระบบราง และสถานที่ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคอากาศยานอีกด้วย

ต่อจากนั้นคณะฯ ได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานนราธิวาสเพื่อรับฟังการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาท่าอากาศยานนราธิวาสสู่การเป็นประตูเชื่อมการเดินทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับนานาชาติ ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่สำนักงาน NCIA ให้ความสนใจเกี่ยวกับการเปิดเส้นทางบินระหว่างจังหวัดนราธิวาสกับเมืองสำคัญของมาเลเซีย โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านการคมนาคมขนส่งทางอากาศของไทยกับมาเลเซีย โดยสำนักงาน NCIA ยินดีจะรับเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานภายในมาเลเซียต่อไป

ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “เรือสำราญมุกดาหารปริ้นเซส” เกยตื้น! หลังน้ำโขงลดฮวบ ทำหัวเรือติดคาบันได

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า สถานการณ์ระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ยังคงผันผวนอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากที่ระดับน้ำ

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้นถึง 12.08 เมตร ทำให้เรือสำราญ “มุกดาหารปริ้นเซส” ซึ่งปกติจะจอดเทียบท่าบริเวณโป๊ะหน้าเขื่อนป้องกันตลิ่ง ท่าเทียบเรือท่าข้าม(มุกดาหาร–สะหวันนะเขต) เทศบาลเมืองมุกดาหาร ถูกกระแสน้ำพัดเข้ามาติดชิดกับบันไดคอนกรีตของท่าเรือ

แต่ไม่กี่วันต่อมา ระดับน้ำกลับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในวันนี้ (6 ส.ค.) วัดได้ที่ระดับ 11.18 เมตร ส่งผลให้หัวเรือที่เคยลอยน้ำอยู่กลับติดค้างแน่นอยู่บนบันไดของท่าเรือ ไม่สามารถเคลื่อนออกจากจุดเดิมได้ แม้คนขับเรือจะพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์และขยับเรือเป็นเวลานานนับชั่วโมงก็ไม่สำเร็จ

ขณะเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งประเมินแนวทางในการกู้เรือออกจากจุดดังกล่าว โดยอาจใช้วิธีลากจูงหรือวิธีอื่นเข้าดำเนินการ ก่อนที่ระดับน้ำจะลดต่ำลงไปอีก ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนย้ายยุ่งยากมากขึ้น

เรือติดบันได #มุกดาหาร #เรือเกยตื้น #น้ำโขงลด #เรือมุกดาหารปริ้นเซส #ข่าวท้องถิ่น #เรือสำราญ #ท่าข้ามมุกดาหารสะหวันนะเขต #แม่น้ำโขง #เรือท่องเที่ยว #เทศบาลเมืองมุกดาหาร #ข่าวล่าสุด #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯ ชลบุรี จัดระเบียบรถบริการสาธารณะบนเกาะล้าน สร่างมาตรฐานที่ดีด้านการท่องเที่ยว / ทีเส็บ–อีอีซี จัดงาน EEC EXPO 2025 ดึงรัฐ–เอกชน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 5 ส.ค.68 ที่วัดใหม่สำราญ เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่มอบสติ๊กเกอร์ตามโครงการจัดระเบียบรถบริการสาธารณะและรถประเภทอื่น ๆ บนเกาะล้านการดำเนินงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการยกระดับความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้รถบนเกาะล้าน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการจัดระบบควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดของพื้นที่การจราจร และไม่สามารถแยกแยะได้ว่ารถคันใดเป็นของผู้ประกอบการ รถเช่า หรือรถของชาวบ้าน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของคนในชุมชน และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี จึงได้กำหนดมาตรการห้ามนำรถขึ้นเกาะเป็นเวลา 14 วัน  เพื่อสำรวจและจัดทำระบบลงทะเบียนรถอย่างเข้มงวด โดยพบว่ามีรถบนเกาะล้านมากกว่า 3,500 คัน จากนั้นจึงได้จัดทำระบบสติ๊กเกอร์แยกประเภทการใช้งาน โดยแบ่งตามสีและลักษณะการใช้รถอย่างชัดเจนเบื้องต้นมีการมอบสติ๊กเกอร์ครอบคลุมรถทั้งหมด 9 ประเภทได้แก่ รถกอล์ฟ, รถกระป๊อ, รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล, รถจักรยานยนต์รับจ้าง, รถจักรยานยนต์ปล่อยเช่า, รถแทรกเตอร์, รถยนต์ส่วนบุคคล 4 ล้อ, รถบรรทุก และรถสหกรณ์สองแถว โดยการจัดสรรสติ๊กเกอร์ในลักษณะนี้จะทำให้สามารถแยกแยะประเภทการใช้งานของรถได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่จราจรบนเกาะสำหรับแนวทางในอนาคต หากมีการร้องขอเพิ่มจำนวนรถบนเกาะ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากอย่างน้อยสองในสามหน่วยงานหลัก ได้แก่ เมืองพัทยา สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และที่ว่าการอำเภอบางละมุง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการนำรถจากกลุ่มทุนภายนอกเข้ามาในพื้นที่มากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของคนในชุมชน ทั้งนี้ โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดความแออัด คืนพื้นที่สาธารณะ สร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานระบบขนส่งบนเกาะล้านให้มีความเป็นระเบียบและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป



ทีเส็บ–อีอีซี ผนึกกำลังจัดงาน EEC EXPO 2025 ดึงรัฐ–เอกชน ชูศักยภาพโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. จัดงาน “EEC EXPO 2025” เวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ชูโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต พร้อมโชว์ความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบสนับสนุนการลงทุนแบบครบวงจร มุ่งเชื่อมโยงความร่วมมือกับนักลงทุนรายสำคัญทั้งในและต่างประเทศ

ภายใต้บริบทที่เศรษฐกิจโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมดิจิทัล พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ด้วยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ระบบโลจิสติกส์ และระบบนิเวศเพื่อการลงทุนที่ทันสมัย ครบวงจร และเชื่อมโยงระดับภูมิภาค เพื่อตอกย้ำศักยภาพดังกล่าว ทีเส็บ จึงร่วมกับสกพอ. เตรียมจัดงาน “EEC EXPO 2025” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอความก้าวหน้าและโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2568 ณ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า อุตสาหกรรมไมซ์เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ทีเส็บจึงทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมทางธุรกิจ การประชุม นิทรรศการ และงานแสดงสินค้ารูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับความพร้อมของพื้นที่ ทั้งในด้านบุคลากร ผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการจัดงานไมซ์ เพื่อให้พื้นที่ EEC ไม่เพียงเป็นฐานการผลิตและการลงทุนสำคัญ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านกิจกรรมทางธุรกิจระดับนานาชาติ ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและกระจายรายได้สู่ชุมชน“การจัดงาน EEC EXPO 2025 ในครั้งนี้ จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีเส็บในการใช้ ‘ไมซ์’ เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการสร้างโอกาสในการพบปะ เจรจา และจับคู่ธุรกิจในระดับนานาชาติ

งานนี้จะเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมจากทั้งในและต่างประเทศได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพของพื้นที่ EEC รวมถึงแนวทางสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ ที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้การลงทุนเกิดขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งาน EEC EXPO 2025 จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างภาคนโยบาย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนในระดับภูมิภาค และยกระดับมาตรฐานการจัดงานไมซ์ของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกต่อไป”ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. หรือ อีอีซี กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ อีอีซี มีเป้าหมายหลักเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 ประเภท โดยเฉพาะในกลุ่ม 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ การแพทย์สุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรม BCG และบริการ ซึ่งคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การจัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่อง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ โดยสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยระดับนานาชาติที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยอย่างสะดวก ปลอดภัย และประกอบกิจการอย่างมีคุณภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาวการจัดงาน EEC EXPO 2025 ครั้งนี้ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการแสดงถึงศักยภาพของพื้นที่อีอีซี สู่สายตานักลงทุนภาคธุรกิจ สื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไปที่สนใจมองหาโอกาสทางธุรกิจ โดยภายในงานฯ จะมีการนำเสนอความก้าวหน้าของโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์ เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง และมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ผ่านรูปแบบงานแสดงนิทรรศการที่ล้ำสมัย รวมถึงการจัดเวทีสัมมนาระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไปจนถึงบริการแห่งอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย และพื้นที่อีอีซี ในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาค

นอกจากนี้ จะมีกิจกรรมไฮไลท์ที่สำคัญภายในงาน อาทิ การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างนักลงทุนกับผู้ประกอบการในประเทศ เวทีเสวนาทางนโยบายระดับสูง ซึ่งได้วิทยากรชั้นนำจากภาครัฐ เอกชนร่วมกันถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น Mega Project Mega Impact การขับเคลื่อนอนาคต EEC ด้วยพลังงานสะอาดและบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน The Next Gen Workforce for EEC เป็นต้น ตลอดจนการจัดแสดงนวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน กลุ่มสตาร์ทอัพชั้นนำ และพื้นที่สำหรับแสดงสินค้า (Showcase) สำหรับผู้ประกอบการชุมชน วิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่อีอีซีไม่น้อยกว่า 20 ราย “EEC EXPO 2025” งานแสดงศักยภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) บนเวทีระดับนานาชาติ นำเสนอความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบสนับสนุนการลงทุนครบวงจร เปิดโอกาสเชื่อมโยง นักลงทุนไทยและต่างชาติ สู่ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต จัดแสดงนิทรรศการ เทคโนโลยี และโซลูชั่นจากภาครัฐ เอกชน และสตาร์ทอัพชั้นนำ พร้อมกิจกรรม Business Matching และสัมมนานโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนอย่างยั่งยืน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ศอ.บต. เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเด็กพิการ จชต. มุ่งสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียม

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (5 สิงหาคม 2568) ดร.นพ.สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานเปิดกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการและครอบครัวในพื้นที่ จชต. ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 2 จ.ยะลา

กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพเด็กพิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวเด็กพิการให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 8 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด (นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล และสงขลา) กลุ่มเป้าหมายประกอบ

ด้วยเด็กพิการ จำนวน 150 คน และผู้ปกครอง จำนวน 150 คน ตลอดจนครูประจำศูนย์การศึกษาโดยกิจกรรมในวันนี้ (5 สิงหาคม 2568) จัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดยะลา

ทั้งนี้ ศอ.บต. พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมคนพิการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯจ.ลพบุรี รับมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เวลา 17.03 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นางบัณฑิตา หมื่นพรม พัฒนาการจังหวัดลพบุรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นำประธานและกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดลพบุรี ประธานหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดลพบุรี ปี 2568 เข้าร่วมพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน และร่วมรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเป็นองค์ประธานในงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568

ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นผู้แทนหมู่บ้าน / ชุมชน กองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จังหวัดลพบุรี เข้ารับพระราชทานเงินขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยเงินพระราชทานดังกล่าว จะนำไปเป็นทุนตั้งต้นและต่อยอดในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับหมู่บ้านและชุมชน ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยแนวทางสันติวิธี ส่งเสริมการประกอบสัมมาชีพตามความถนัด รวมทั้งดูแลช่วยเหลือ ให้โอกาสผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ให้กลับเข้ามาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้าน/ชุมชนด้วยความสงบสุข ควบคู่การจัดระบบกลไกการเฝ้าระวัง ตรวจตรา ให้ประชาชนเกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่หมู่บ้าน และชุมชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนต่อไป

สนอง แท่นสูงเนิน
/ ฝ่ายประชาสัมพันธ์จังหวัดลพบุรี ภาพ/ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เสียงดังสนั่น เก็บกู้ระเบิด-EOD เก็บกู้ระเบิดBM-21 ของกัมพูชา ที่ยิงมาตกบนพระวิหารเส้น อ.กันทรลักษ์ ไปผาหมออีแดง

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค. 68 เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด EOD เข้าวางแผนเพื่อจะเก็บกู้ระเบิด BM-21 ของกัมพูชา ที่ยิงมาตกบนพระวิหารเส้นอำเภอกันทรลักษ์ จะไป ผาหมออีแดง ห่างจากปั๊ม ปตท.บ้านผือ ที่ลูกระเบิด BM-21 ตกลงมาใส่ที่ร้านสะดวกซื้อ ประมาณ 100-200 เมตร โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการวางแผนทำแนวกัน และเคลียร์พื้นที่เอาคนออก ปิดกั้นการจราจร 100% ก่อนจะมีการระเบิดทำร้ายลูกระเบิด BM-21 ที่ตกอยู่บนถนนดังกล่าว

***หลังจากระเบิดทำร้ายลูกระเบิด BM-21 ที่ตกอยู่บนถนนแล้วเจ้าหน้าที่ได้ใช้รถแม็คโคร ของกรมทางหลวง เข้ามาขุดเคลียร์พื้นที่ เพื่อความปลอดภัย ให้เชื่อได้ว่าลูกระเบิดได้ถูกทำร้ายแล้ว โดย ร.ต.อ.ประวิทย์ สุทธวงษ์ รองสารวัตร กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด-EOD เปิดเผยว่า

การเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในการทำหน้าที่เข้าทำลายระเบิดในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใช้พื้นที่ให้เร็วที่สุด ในการเก็บกู้ระเบิดจะมีส่วนสำคัญส่วนที่ยากที่สุดสำคัญที่สุด การทำงานเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้แล้วจะต้องทำงานร่วมกันในหลายๆภาคส่วน ทางเทศบาลป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การเข้าทำงานในแต่ละครั้งเราจะต้องประเมินความเสียหายก่อน

***ซึ่งการทำงานเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้ ลักษณะของปลูกระเบิดหัวจะปักลงดิน การเก็บกู้ระเบิดในครั้งที่ 2 นี้เรียบร้อยสมบูรณ์ดี มีการกั้นกระเซาะทรายเพิ่มเติมมากกว่าที่ผ่านมาเราจะต้องอาศัยจากประสบการณ์จากรอบที่ผ่านมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ เราใช้ TNT ในการทำลายระเบิด ลักษณะของการปักรูระเบิดครั้งนี้จะปังเอียง รอบนี้จะกู้ง่ายกว่ารอบที่ผ่านมา ความลึกของรูกระสุนที่ปักลงไปตามแนวเอียงประมาณ 1 .5 เมตร

**ต่อจากนี้เราจะต้องขุดหาหลักฐานว่าระเบิดทำงานสมบูรณ์ขนาดไหนถึงจะทราบว่าการทำงานของระเบิดเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วเพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ถนนประชาชนจะต้องใช้ในการสัญจรไปมาตลอดเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ทางชุดจะกู้ระเบิดจะทำงานในจุดที่เป็นพื้นที่สำคัญก่อนถึงจะทยอยไปตามจุดอื่นๆที่ยังมีลูกระเบิดหลงเหลืออยู่

***ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากเก็บกู้ระเบิดเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ชุด EOD ยังได้เดินทางไปสำรวจอีกจุดหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆจากจุดที่ทำร้ายประมาณ 100 เมตร หลังมีชาวบ้านมาบอกว่าพบมีหลุ่มคล้ายระเบิดอยู่ตรงจุดนี้ พอเจ้าหน้าที่เข้าพบว่าเป็นหลุ่มระเบิดจริงๆ คล้ายจะเป็นลูกระเบิด BM-21 หน้าจะเป็นชุดเดียวกันที่ยิงมาตกที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน แต่อาจจะเป็นคนละคัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ปิดกันพื้นที่ไว้ก่อน รอให้ประชุมวางแผนก่อนถึงจะหาวันเวลาลงเก็บกู้ต่อไป