คลังเก็บหมวดหมู่: ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จัดพิธีทำบุญตักบาตร วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568

แชร์เนื้อหานี้

ธนากร โกศลเมธีรายงาน 0818923514 วันนี้ (12 ส.ค.68) เวลา 07.30 น. นาย เธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นางพณณกร ชูกิตติวิบูลย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร และผู้บริหาร นำข้าราชการพลเรือน ศาล

ตุลาการ ทหาร ตำรวจ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พุทธศาสนิกชน ชาวชุมพรทุกหมู่เหล่า ร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคล วันเฉลิมพระชนมพรรษา 93 พรรษา สมเด็จ

พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 วันแม่แห่งชาติ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงถึงความจงรักภักดี พร้อมตั้งจิตอธิษฐานแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ ซึ่งมีประชาชนแต่งกายชุดโทนสีฟ้า ร่วมทำบุญตักบาตร โดยพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ออกรับบิณฑบาต ข้าวสาร

อาหารแห้ง เครื่องอุปโภค บริโภค ของใช้ต่างๆ ณ บริเวณถนนปรมินทรมรรคา หน้าสำนักงานเทศบาลเมืองชุมพร นอกจากนี้ จังหวัดชุมพร ได้เชิญผู้นำทั้ง 3 ศาสนาในจังหวัดชุมพรร่วมประกอบพิธีทางศาสนา ประกอบด้วย ศาสนาพุทธ

พระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ , ศาสนาอิสลาม ประกอบพิธีดุอาอ์ขอพร และศาสนาคริสต์ ประกอบพิธีอธิษฐานภาวนาขอพร เพื่อถวายพระราชกุศล และสร้างความสมานฉันท์ ระหว่างศาสนิกชนทุกศาสนา ในครั้งนี้อีกด้วย

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ศอ.บต. นำคณะ NCIA มาเลเซีย เยือนชายแดนใต้ หนุนความร่วมมือพัฒนาภูมิภาคกับไทย

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นายกฤษณนันท์ กำไร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นางสาวนิโสรยา แวหะยี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับคุณ Wan Rodziana Wan Hassan และคณะเจ้าหน้าที่สำนักงาน NCIA (Northern Corridor Implementation Authority)

ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลาและสตูล) ระหว่างวันที่ 3 – 7 สิงหาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานด้านการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อไทยและมาเลเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายผู้ปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยกับมาเลเซีย โดยมีท่าน Muhamad Danial Atif Bin Nasiren กงสุลมาเลเซีย ณ จังหวัดสงขลา เป็นผู้ประสานงาน

สำหรับกิจกรรมในวันแรก (3 สิงหาคม 2568) เป็นการนำคณะเดินทางเยือนพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสได้กล่าวต้อนรับคณะเดินทาง โดยหน่วยงาน NCIA มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ

(NCER : (Northern Corridor Economic Region: NCER) ตามที่มาเลเซียได้ดำเนินนโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของชาติในการก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง

ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา มาเลเซียมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่พัฒนาอย่างก้าวหน้าเป็นอย่างมากและมีสภาพที่เอื้อต่อการลงทุนมาก มีบริษัทข้ามชาติจำนวนมากเลือกลงทุนและจัดตั้งศูนย์ธุรกิจระดับโลกในพื้นที่ NCER ซึ่งแม้ว่ารัฐที่อยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือของมาเลเซีย จะไม่ได้มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนราธิวาสของไทย แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำเสนอให้คณะเจ้าหน้าที่ NCIA ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส เพื่อเชื่อมโยงไทยกับมาเลเซียในด้านเศรษฐกิจและสังคม

รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณทาง ศอ.บต. ที่ได้จัดกำหนดการให้คณะเจ้าหน้าที่ NCIA ได้มาเยี่ยมชมศักยภาพของพื้นที่ที่มีความโดดเด่นทั้งในแง่ที่เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในภาคใต้ตอนล่าง มีเส้นทางรถไฟ มีสนามบินนานาชาติซึ่งกำลังขยายให้สามารถรองรับผู้โดยสารและสินค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ จังหวัดนราธิวาสยังมีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้วิชาการสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาพื้นที่และประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดสอนในหลักสูตรองค์ความรู้สมัยใหม่เพื่อให้เรียนจบมามีงานทำและสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งในช่วงเช้า คณะฯได้รับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงชายแดนและการขนส่งระหว่างประเทศ แผนการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกด้านการค้าชายแดนและระบบขนส่ง โครงการสะพานคู่ขนานข้ามแม่น้ำโก-ลก ที่ อำเภอสุไหงโก-ลก

จังหวัดนราธิวาสกับรันเตาปันยัง รัฐกลันตันของมาเลเซีย ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางหาดใหญ่ – สุไหงโก-ลก และความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูเส้นทางรถไฟสายสุไหงโก-ลก – รันเตาปันยัง โดยมีผู้แทนกรมศุลกากร กรมทางหลวง และการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูล

จากนั้นในช่วงบ่าย คณะฯได้เดินทางไปมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษารองรับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการสอนหลักสูตรสมัยใหม่ อาทิ ช่างเทคนิคระบบขนส่งทางราง ช่างเทคนิคอากาศยาน ช่างเทคนิคยานยนต์ไฟฟ้า และช่างเทคนิคระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ โดยได้ชมห้องปฏิบัติการไฟฟ้าระบบราง และสถานที่ฝึกปฏิบัติงานด้านเทคนิคอากาศยานอีกด้วย

ต่อจากนั้นคณะฯ ได้เดินทางไปยังท่าอากาศยานนราธิวาสเพื่อรับฟังการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาท่าอากาศยานนราธิวาสสู่การเป็นประตูเชื่อมการเดินทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับนานาชาติ ซึ่งคณะเจ้าหน้าที่สำนักงาน NCIA ให้ความสนใจเกี่ยวกับการเปิดเส้นทางบินระหว่างจังหวัดนราธิวาสกับเมืองสำคัญของมาเลเซีย โดยเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านการคมนาคมขนส่งทางอากาศของไทยกับมาเลเซีย โดยสำนักงาน NCIA ยินดีจะรับเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานภายในมาเลเซียต่อไป

ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / “เรือสำราญมุกดาหารปริ้นเซส” เกยตื้น! หลังน้ำโขงลดฮวบ ทำหัวเรือติดคาบันได

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดมุกดาหารว่า สถานการณ์ระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ยังคงผันผวนอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากที่ระดับน้ำ

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 เพิ่มสูงขึ้นถึง 12.08 เมตร ทำให้เรือสำราญ “มุกดาหารปริ้นเซส” ซึ่งปกติจะจอดเทียบท่าบริเวณโป๊ะหน้าเขื่อนป้องกันตลิ่ง ท่าเทียบเรือท่าข้าม(มุกดาหาร–สะหวันนะเขต) เทศบาลเมืองมุกดาหาร ถูกกระแสน้ำพัดเข้ามาติดชิดกับบันไดคอนกรีตของท่าเรือ

แต่ไม่กี่วันต่อมา ระดับน้ำกลับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในวันนี้ (6 ส.ค.) วัดได้ที่ระดับ 11.18 เมตร ส่งผลให้หัวเรือที่เคยลอยน้ำอยู่กลับติดค้างแน่นอยู่บนบันไดของท่าเรือ ไม่สามารถเคลื่อนออกจากจุดเดิมได้ แม้คนขับเรือจะพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์และขยับเรือเป็นเวลานานนับชั่วโมงก็ไม่สำเร็จ

ขณะเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งประเมินแนวทางในการกู้เรือออกจากจุดดังกล่าว โดยอาจใช้วิธีลากจูงหรือวิธีอื่นเข้าดำเนินการ ก่อนที่ระดับน้ำจะลดต่ำลงไปอีก ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนย้ายยุ่งยากมากขึ้น

เรือติดบันได #มุกดาหาร #เรือเกยตื้น #น้ำโขงลด #เรือมุกดาหารปริ้นเซส #ข่าวท้องถิ่น #เรือสำราญ #ท่าข้ามมุกดาหารสะหวันนะเขต #แม่น้ำโขง #เรือท่องเที่ยว #เทศบาลเมืองมุกดาหาร #ข่าวล่าสุด #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้​ ภาพ/ข่าว​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯ ชลบุรี จัดระเบียบรถบริการสาธารณะบนเกาะล้าน สร่างมาตรฐานที่ดีด้านการท่องเที่ยว / ทีเส็บ–อีอีซี จัดงาน EEC EXPO 2025 ดึงรัฐ–เอกชน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต

แชร์เนื้อหานี้

วันที่ 5 ส.ค.68 ที่วัดใหม่สำราญ เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่มอบสติ๊กเกอร์ตามโครงการจัดระเบียบรถบริการสาธารณะและรถประเภทอื่น ๆ บนเกาะล้านการดำเนินงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการยกระดับความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้รถบนเกาะล้าน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการจัดระบบควบคุมอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดของพื้นที่การจราจร และไม่สามารถแยกแยะได้ว่ารถคันใดเป็นของผู้ประกอบการ รถเช่า หรือรถของชาวบ้าน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของคนในชุมชน และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี จึงได้กำหนดมาตรการห้ามนำรถขึ้นเกาะเป็นเวลา 14 วัน  เพื่อสำรวจและจัดทำระบบลงทะเบียนรถอย่างเข้มงวด โดยพบว่ามีรถบนเกาะล้านมากกว่า 3,500 คัน จากนั้นจึงได้จัดทำระบบสติ๊กเกอร์แยกประเภทการใช้งาน โดยแบ่งตามสีและลักษณะการใช้รถอย่างชัดเจนเบื้องต้นมีการมอบสติ๊กเกอร์ครอบคลุมรถทั้งหมด 9 ประเภทได้แก่ รถกอล์ฟ, รถกระป๊อ, รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล, รถจักรยานยนต์รับจ้าง, รถจักรยานยนต์ปล่อยเช่า, รถแทรกเตอร์, รถยนต์ส่วนบุคคล 4 ล้อ, รถบรรทุก และรถสหกรณ์สองแถว โดยการจัดสรรสติ๊กเกอร์ในลักษณะนี้จะทำให้สามารถแยกแยะประเภทการใช้งานของรถได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่จราจรบนเกาะสำหรับแนวทางในอนาคต หากมีการร้องขอเพิ่มจำนวนรถบนเกาะ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากอย่างน้อยสองในสามหน่วยงานหลัก ได้แก่ เมืองพัทยา สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และที่ว่าการอำเภอบางละมุง เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการนำรถจากกลุ่มทุนภายนอกเข้ามาในพื้นที่มากเกินไป ซึ่งอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของคนในชุมชน ทั้งนี้ โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดความแออัด คืนพื้นที่สาธารณะ สร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานระบบขนส่งบนเกาะล้านให้มีความเป็นระเบียบและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป



ทีเส็บ–อีอีซี ผนึกกำลังจัดงาน EEC EXPO 2025 ดึงรัฐ–เอกชน ชูศักยภาพโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ. จัดงาน “EEC EXPO 2025” เวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ชูโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต พร้อมโชว์ความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบสนับสนุนการลงทุนแบบครบวงจร มุ่งเชื่อมโยงความร่วมมือกับนักลงทุนรายสำคัญทั้งในและต่างประเทศ

ภายใต้บริบทที่เศรษฐกิจโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมดิจิทัล พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว ด้วยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ระบบโลจิสติกส์ และระบบนิเวศเพื่อการลงทุนที่ทันสมัย ครบวงจร และเชื่อมโยงระดับภูมิภาค เพื่อตอกย้ำศักยภาพดังกล่าว ทีเส็บ จึงร่วมกับสกพอ. เตรียมจัดงาน “EEC EXPO 2025” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอความก้าวหน้าและโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 2568 ณ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า อุตสาหกรรมไมซ์เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ทีเส็บจึงทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมทางธุรกิจ การประชุม นิทรรศการ และงานแสดงสินค้ารูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับความพร้อมของพื้นที่ ทั้งในด้านบุคลากร ผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการจัดงานไมซ์ เพื่อให้พื้นที่ EEC ไม่เพียงเป็นฐานการผลิตและการลงทุนสำคัญ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านกิจกรรมทางธุรกิจระดับนานาชาติ ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและกระจายรายได้สู่ชุมชน“การจัดงาน EEC EXPO 2025 ในครั้งนี้ จึงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีเส็บในการใช้ ‘ไมซ์’ เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการสร้างโอกาสในการพบปะ เจรจา และจับคู่ธุรกิจในระดับนานาชาติ

งานนี้จะเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมจากทั้งในและต่างประเทศได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพของพื้นที่ EEC รวมถึงแนวทางสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่าง ๆ ที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้การลงทุนเกิดขึ้นจริงอย่างมีประสิทธิภาพ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งาน EEC EXPO 2025 จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างภาคนโยบาย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนในระดับภูมิภาค และยกระดับมาตรฐานการจัดงานไมซ์ของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกต่อไป”ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ สกพอ. หรือ อีอีซี กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ อีอีซี มีเป้าหมายหลักเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 ประเภท โดยเฉพาะในกลุ่ม 5 คลัสเตอร์ ได้แก่ การแพทย์สุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรม BCG และบริการ ซึ่งคำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การจัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร การจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่อง ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวกและเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ โดยสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยระดับนานาชาติที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยอย่างสะดวก ปลอดภัย และประกอบกิจการอย่างมีคุณภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาวการจัดงาน EEC EXPO 2025 ครั้งนี้ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการแสดงถึงศักยภาพของพื้นที่อีอีซี สู่สายตานักลงทุนภาคธุรกิจ สื่อมวลชน และสาธารณชนทั่วไปที่สนใจมองหาโอกาสทางธุรกิจ โดยภายในงานฯ จะมีการนำเสนอความก้าวหน้าของโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์ เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง และมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ผ่านรูปแบบงานแสดงนิทรรศการที่ล้ำสมัย รวมถึงการจัดเวทีสัมมนาระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ไปจนถึงบริการแห่งอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย และพื้นที่อีอีซี ในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาค

นอกจากนี้ จะมีกิจกรรมไฮไลท์ที่สำคัญภายในงาน อาทิ การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างนักลงทุนกับผู้ประกอบการในประเทศ เวทีเสวนาทางนโยบายระดับสูง ซึ่งได้วิทยากรชั้นนำจากภาครัฐ เอกชนร่วมกันถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ในหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น Mega Project Mega Impact การขับเคลื่อนอนาคต EEC ด้วยพลังงานสะอาดและบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน The Next Gen Workforce for EEC เป็นต้น ตลอดจนการจัดแสดงนวัตกรรมจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน กลุ่มสตาร์ทอัพชั้นนำ และพื้นที่สำหรับแสดงสินค้า (Showcase) สำหรับผู้ประกอบการชุมชน วิสาหกิจชุมชน ในพื้นที่อีอีซีไม่น้อยกว่า 20 ราย “EEC EXPO 2025” งานแสดงศักยภาพเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) บนเวทีระดับนานาชาติ นำเสนอความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบสนับสนุนการลงทุนครบวงจร เปิดโอกาสเชื่อมโยง นักลงทุนไทยและต่างชาติ สู่ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต จัดแสดงนิทรรศการ เทคโนโลยี และโซลูชั่นจากภาครัฐ เอกชน และสตาร์ทอัพชั้นนำ พร้อมกิจกรรม Business Matching และสัมมนานโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนอย่างยั่งยืน

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ศอ.บต. เดินหน้าพัฒนาศักยภาพเด็กพิการ จชต. มุ่งสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียม

แชร์เนื้อหานี้

วันนี้ (5 สิงหาคม 2568) ดร.นพ.สมหมาย บุญเกลี้ยง ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. เป็นประธานเปิดกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการและครอบครัวในพื้นที่ จชต. ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 2 จ.ยะลา

กิจกรรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพเด็กพิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวเด็กพิการให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 8 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด (นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล และสงขลา) กลุ่มเป้าหมายประกอบ

ด้วยเด็กพิการ จำนวน 150 คน และผู้ปกครอง จำนวน 150 คน ตลอดจนครูประจำศูนย์การศึกษาโดยกิจกรรมในวันนี้ (5 สิงหาคม 2568) จัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดยะลา

ทั้งนี้ ศอ.บต. พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมคนพิการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / ผู้ว่าฯจ.ลพบุรี รับมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เวลา 17.03 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี นายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย นางบัณฑิตา หมื่นพรม พัฒนาการจังหวัดลพบุรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง นำประธานและกรรมการเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดลพบุรี ประธานหมู่บ้านต้นกล้ากองทุนแม่ของแผ่นดินจังหวัดลพบุรี ปี 2568 เข้าร่วมพิธีมอบเงินพระราชทานขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน และร่วมรับเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเป็นองค์ประธานในงานมหกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568

ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นผู้แทนหมู่บ้าน / ชุมชน กองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จังหวัดลพบุรี เข้ารับพระราชทานเงินขวัญถุงกองทุนแม่ของแผ่นดิน ประจำปี 2568 จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยเงินพระราชทานดังกล่าว จะนำไปเป็นทุนตั้งต้นและต่อยอดในการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับหมู่บ้านและชุมชน ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยแนวทางสันติวิธี ส่งเสริมการประกอบสัมมาชีพตามความถนัด รวมทั้งดูแลช่วยเหลือ ให้โอกาสผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ให้กลับเข้ามาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้าน/ชุมชนด้วยความสงบสุข ควบคู่การจัดระบบกลไกการเฝ้าระวัง ตรวจตรา ให้ประชาชนเกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่หมู่บ้าน และชุมชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนต่อไป

สนอง แท่นสูงเนิน
/ ฝ่ายประชาสัมพันธ์จังหวัดลพบุรี ภาพ/ข่าว

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เสียงดังสนั่น เก็บกู้ระเบิด-EOD เก็บกู้ระเบิดBM-21 ของกัมพูชา ที่ยิงมาตกบนพระวิหารเส้น อ.กันทรลักษ์ ไปผาหมออีแดง

แชร์เนื้อหานี้

***ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค. 68 เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด EOD เข้าวางแผนเพื่อจะเก็บกู้ระเบิด BM-21 ของกัมพูชา ที่ยิงมาตกบนพระวิหารเส้นอำเภอกันทรลักษ์ จะไป ผาหมออีแดง ห่างจากปั๊ม ปตท.บ้านผือ ที่ลูกระเบิด BM-21 ตกลงมาใส่ที่ร้านสะดวกซื้อ ประมาณ 100-200 เมตร โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการวางแผนทำแนวกัน และเคลียร์พื้นที่เอาคนออก ปิดกั้นการจราจร 100% ก่อนจะมีการระเบิดทำร้ายลูกระเบิด BM-21 ที่ตกอยู่บนถนนดังกล่าว

***หลังจากระเบิดทำร้ายลูกระเบิด BM-21 ที่ตกอยู่บนถนนแล้วเจ้าหน้าที่ได้ใช้รถแม็คโคร ของกรมทางหลวง เข้ามาขุดเคลียร์พื้นที่ เพื่อความปลอดภัย ให้เชื่อได้ว่าลูกระเบิดได้ถูกทำร้ายแล้ว โดย ร.ต.อ.ประวิทย์ สุทธวงษ์ รองสารวัตร กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด-EOD เปิดเผยว่า

การเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในการทำหน้าที่เข้าทำลายระเบิดในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใช้พื้นที่ให้เร็วที่สุด ในการเก็บกู้ระเบิดจะมีส่วนสำคัญส่วนที่ยากที่สุดสำคัญที่สุด การทำงานเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้แล้วจะต้องทำงานร่วมกันในหลายๆภาคส่วน ทางเทศบาลป้องกันบรรเทาสาธารณภัย การเข้าทำงานในแต่ละครั้งเราจะต้องประเมินความเสียหายก่อน

***ซึ่งการทำงานเก็บกู้ระเบิดในครั้งนี้ ลักษณะของปลูกระเบิดหัวจะปักลงดิน การเก็บกู้ระเบิดในครั้งที่ 2 นี้เรียบร้อยสมบูรณ์ดี มีการกั้นกระเซาะทรายเพิ่มเติมมากกว่าที่ผ่านมาเราจะต้องอาศัยจากประสบการณ์จากรอบที่ผ่านมาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ เราใช้ TNT ในการทำลายระเบิด ลักษณะของการปักรูระเบิดครั้งนี้จะปังเอียง รอบนี้จะกู้ง่ายกว่ารอบที่ผ่านมา ความลึกของรูกระสุนที่ปักลงไปตามแนวเอียงประมาณ 1 .5 เมตร

**ต่อจากนี้เราจะต้องขุดหาหลักฐานว่าระเบิดทำงานสมบูรณ์ขนาดไหนถึงจะทราบว่าการทำงานของระเบิดเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วเพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ถนนประชาชนจะต้องใช้ในการสัญจรไปมาตลอดเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ทางชุดจะกู้ระเบิดจะทำงานในจุดที่เป็นพื้นที่สำคัญก่อนถึงจะทยอยไปตามจุดอื่นๆที่ยังมีลูกระเบิดหลงเหลืออยู่

***ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากเก็บกู้ระเบิดเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ชุด EOD ยังได้เดินทางไปสำรวจอีกจุดหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆจากจุดที่ทำร้ายประมาณ 100 เมตร หลังมีชาวบ้านมาบอกว่าพบมีหลุ่มคล้ายระเบิดอยู่ตรงจุดนี้ พอเจ้าหน้าที่เข้าพบว่าเป็นหลุ่มระเบิดจริงๆ คล้ายจะเป็นลูกระเบิด BM-21 หน้าจะเป็นชุดเดียวกันที่ยิงมาตกที่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน แต่อาจจะเป็นคนละคัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ปิดกันพื้นที่ไว้ก่อน รอให้ประชุมวางแผนก่อนถึงจะหาวันเวลาลงเก็บกู้ต่อไป

​สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / จับกระบะขน “อะโวคาโดเถื่อน” กว่า 2.7 ตัน! ลอบนำเข้าจากมุกดาหาร ส่งขาย​ปทุมฯ ผ่านด่านศุลกากร-กักพืชฉลุย…

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 พ.ต.ท.สรศักดิ์ แสงจันทร์ สวญ.ส.ทล.2 กก.1 บก.ทล. พร้อมด้วย ร.ต.อ.ปรัชญานนท์ ยงยิ่ง รอง สว., ร.ต.ต.อรรถพล สมหวัง, ร.ต.ต.ณรงค์ สายหยุด รอง สว. (ป) และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา นายนันทวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี พร้อมของกลาง ผลอะโวคาโดสดบรรจุในตะกร้าพลาสติกสีดำ จำนวน 110 ตะกร้า น้ำหนักรวมประมาณ 2,750 กิโลกรัม

และรถกระบะสีขาว จำนวน 1 คัน บริเวณริมถนนมิตรภาพ ขาเข้า กทม. กม.4 ต.ตลิ่งชัน อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการลักลอบขนอะโวคาโดสดจาก อ.เมืองมุกดาหาร โดยไม่ผ่านด่านกักกันพืชและศุลกากร เจ้าหน้าที่จึงวางแผนเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณถนนมิตรภาพ จนพบรถต้องสงสัย ก่อนติดตามและแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น พบผลไม้ต้องห้ามดัง

กล่าวโดยไม่มีเอกสารศุลกากร และไม่มีใบรับรองสุขภาพพืช (Phytosanitary Certificate) ตาม พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. 2507 จากการสอบสวนเบื้องต้น นายนันทวัฒน์ฯ ให้การรับสารภาพว่า ได้รับจ้างขนอะโวคาโดจากบ้านนาติ้ว ต.บางทรายใหญ่ อ.เมืองมุกดาหาร เพื่อไปส่งที่ตลาดใน ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยรับค่าจ้าง 5,800 บาท ผ่านการติดต่อจากชายชื่อ นายสุรนาถ หรือ “อั้ม” ผ่านแอปพลิเคชัน Messenger โดยระบุว่าไม่ได้ผ่านการตรวจของด่านศุลกากรและด่านกักพืชใดเลยตั้งแต่มุกดาหารจนถึงจุดจับกุม

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา “นำเข้าสิ่งของต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีใบรับรองสุขภาพพืชจากประเทศต้นทาง” อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ.2507 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมนำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปอะโวคาโดเถื่อน #ลอบนำเข้า #กักพืช #ตำรวจทางหลวง #สระบุรี #มุกดาหาร #ตลาดปทุมธานี #ข่าวอาชญากรรม #จับของเถื่อน #ด่านศุลกากรมุกดาหาร #กรมศุลกากร #กระทรวงการคลัง #ด่านกักพืชมุกดาหาร #กรมวิชาการเกษตร #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #ข่าวด่วน #ข่าววันนี้​ เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / เผาแล้ว 7 เหยื่อจากลูกระเบิดที่กัมพูชายิงตกลงมาใช้ประชาชน บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า

แชร์เนื้อหานี้

***เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 3 ส.ค. 68 ที่ศาลาพุทธคุณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เดินทางมาเป็นประธานฝ่ายฆารวาส ประกอบพิธีพระราชเพลิงศพ 7 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การปะทะด้านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมี สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นำคณะสงฆ์ประกอบพิธี

***โดยพิธีพระสงฆ์ตั้งพัดยศ สวดมาติกา เจ้าหน้าที่อัญเชิญกล่องเพลิงและผ้าไตรพระราชทาน เจ้าหน้าที่อ่านหมายรับสั่ง ญาติอ่านสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ประธานในพิธีขึ้นทอดผ้าไตรบังสุกุลพระราชทาน จำนวน 5 ไตร

หน้าจิตกาธาน พระสงฆ์สมณศักดิ์ 5 รูป พิจารณาผ้าไตรพระราชทาน ประธานในพิธี ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ แขนผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมในพิธีขึ้นวางดอกไม้จันทน์ ถือว่าเสร็จพิธี

***ทั้งนี้หลังวางดอกไม้จันทน์ เสร็จแล้วจะมีคลื่อนศพไปตามวัดที่จัดไว้เพื่อไปฌาปนกิจศพ ดังนี้ ที่เมรุวัดมหาพุทธธาราม พระอารามหลวง จะมี 4 ร่าง ได้แก่ นางสาวรุ่งรัตน์ ประชัน, เด็กหญิงทักษพร ประชัน, เด็กชายพงศภัค ประชัน และ

เด็กชายกิตติศักดิ์ คำวัง ขณะที่เมรุ วัดเจียงอี ศรีมงคลวราราม พระอารามหลวง จะมีร่างของ นางอรุณรัตน์ วันศรี ส่วนที่เมรุ วัดหลวงสุมังคลาราม พระอารามหลวง จะนำร่าง นางสาวสาวิตรี อ่อนทรวง ไปประกอบพิธี และที่เมรุ วัดเพียนาม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จะนำร่าง นายสมศรี ลาภบุญ ไปประกอบพิธีประเพลิง

***โดยหลังจากที่ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ ว่างดอกไม้จันทน์เสร็จได้เดินเข้ามาคุยกับครอบครัวผู้สูญเสีย และกอดปลอบใจญาติผู้สูญเสีย พร้อมกับได้แลกเบอร์กันไว้เผื่นได้ติดต่อช่วยเหลือ โดยก่อนจะนำร่างไปฌาปนกิจได้มีการทำพิธีขอขมาผู้วายชนม์ ทั้งนี้บรรยากาศในแต่ละวัดที่นำร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย

ไปฌาปนกิจ ช่วงนำโลงศพขึ้นเมรุ และขึ้นเตาเผาศพ เป็นไปด้วยความโศกเศร้า ญาติๆ ผู้มาร่วมงาน ต่างร้องไห้กอดรูปถ่ายกันระงม ผู้สื่อข่าวได้คุยกับ นายเอกรัฐน์ วันศรี อายุ 39 ปี เป็นลูกชายคนโตของ นางนางอรุณรัตน์ วันศรี ที่เสียชีวิตที่สวนยางหลังปั๊มน้ำมันที่ระเบิดตกลงใส่ ได้เล่าให้ฟังว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ที่ต้องเสียคุณแม่ไป

วันที่เกิดเหตุตนได้คุยกับแม่ว่าวันที่ 5 หมอนัดแม่ตรวจหัวเข่าตนจะลางานเพื่อพาแม่ไปพบหมอที่โรงพยาบาล พอพูดเสร็จแม่ก็ปั่นจักรยานไปหยอดน้ำกรดที่สวนยางตรงจุดเกิดเหตุ แม่ไปไม่ถึงชั่วโมงระเบิดจากกัมพูชาก็มาลงจนทำให้แม่ตนเสียชีวิตคาที่ ตนอยากสะท้อนหรือถามทหารกัมพูชาว่าทำไมถึงต้องมายิงระเบิดใส่แม่ตนใส่ประชาชนจนทำให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยต้องมาเสียชีวิต

***สุดท้ายนี้ตนอยากบอกแม่ว่า ตนรักและเป็นห่วงแม่เสมอเพราะที่ผ่านมาร่างกายแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงขอให้แม่ไปสู่สุคติไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานอยู่ทางบ้าน จะดูแลกันเองตนจะเข้มแข็งและสู้ชีวิตต่อไป หลังจากที่ทำพิธีพระราชทาน

เพลิงศพเสร็จครอบครัวก็จะปรึกษากันกับญาติก่อนว่าจะเอาอัฐิแม่ไปทำพิธีตามประเพณีทางพระพุทธศาสนาแบบไหน แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ความปลอดภัยด้วยเพราะตอนนี้อยู่ในช่วงอพยพไม่สามารถเข้าไปที่บ้านได้
ภาพ/ข่าว วนิดา,ชาญฤทธิ์

สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / บิ๊กโต้ง‘ ผบช.ภาค9 !!เปิดโต๊ะแถลงข่าว 3 ฝ่าย คดีความมั่นคง ปิดล้อมตรวจค้น 35 ครั้งคุมตัวผู้ต้องสงสัย 20 คน ออกหมายจับ 63 หมาย จับเพิ่มเติมอีก 13 คน)

แชร์เนื้อหานี้

เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68  เวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง 3 ฝ่าย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย  พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4  พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9  พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. พล.ต.ต.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล  ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้  นายโอฬาร บิลสัน ปลัดจังหวัดยะลา ได้ร่วมแถลงความคืบหน้าในคดีความมั่นคง และ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม อาคารศูนย์ปฎิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า อำเภอเมือง จังหวัดยะลา

พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผยว่า ตามที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 และ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า โดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ดำเนินการเร่งรัดติดตามตัวผู้ก่ออาชญากรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว

และ กำชับทางเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เร่งเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบในเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้กำชับให้หน่วยขึ้นตรงที่เกี่ยวข้อง ติดตามผู้กระทำผิดและบังคับใช้กฎหมาย โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ไม่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ ดำเนินการใช้มาตราการจากเบาไปหาหนัก คำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพ และบังคับใช้กฎหมายเท่าที่จำเป็น ต่อเมื่อมีพยานหลักฐาน ที่น่าเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวกับการก่อเหตุ เท่านั้น

พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 บอกว่า ความคืบหน้าทางด้านคดีความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา ทางกองกำลังทหารพราน งานสืบสวนคดีความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันติดตามผู้กระทำผิดเพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งผลการดำเนินการในห้วงเดือน กรกฎาคม เข้าปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย 35 ครั้ง ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 20 คน ปัจจุบันมีผู้ถูกควบคุมตัวอยู่ในกระบวนซักถาม รวม 18 คน เกี่ยวข้อง 10 เหตุการณ์ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดในพื้นที่ฝั่งอันดามัน การดำเนินคดี ได้รวบรวมพยานหลักฐาน นำไปสู่การออกหมายจับ จำนวน 63 หมาย จับกุมแล้ว 13 หมาย

รวมผู้ต้องหา 13 คน ทั้งนี้ ทุกคดีที่รู้ตัวผู้กระทำความผิด เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับและติดตามจับกุม การเชิญตัวสู่กระบวนการซักถาม เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนสอบสวนชั้นก่อนการดำเนินคดี ซึ่งเป็นกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรับทัศนคติ ระงับยับยังเหตุ อีกทั้งเปิดโอกาส

ให้ผู้หลงผิดและให้การเป็นประโยชน์ ได้กลับคืนสู่สังคม เมื่อตรวจสอบพยานหลักฐานว่าไม่ส่วนเกี่ยวข้องภายหลักจากการซักถามตามเหตุควรสงสัยต่าง “จากการปฏิบัติการเชิงรุกในห้วงเดือน เมษายน 2568 ถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จนรู้ตัวผู้กระทำความผิดโดยคลี่คลายคดีไปแล้ว 20 คดี นำไปสู่การออกหมายจับ 101 หมาย จับกุม 36 คน 38 หมาย

สำหรับการแยกประเภทผู้ก่ออาชญากรรมออกจากชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ได้ใช้ชีวิตตามปกติสุขเหมือนที่ผ่านมาการปฏิบัติที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคงดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่เท่าที่จำเป็น โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน นิติธรรม นิติรัฐ บังคับใช้กฎหมายด้วยความเสมอภาค และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเท่านั้น สำหรับผู้ก่ออาชญากรรม ผู้กระทำผิดไม่ว่าจะเป็นผู้ให้การช่วยเหลือ สนับสนุน หรือ ผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล และการพิจารณาในชั้นศาลทุกคดี ต้องขอบคุณเครือข่ายภาคประชาชน และชุมชนที่ได้ให้ความร่วมมือ แจ้งเบาะแสต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เราจะร่วมกันทำให้เกิดความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”

ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าทางด้านคดีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นไปตามหลักสากล พบว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกัน ส่วนเหตุระเบิด ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา นั้น มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้

ซึ่ง ในคดีนี้ได้ดำเนินการสืบสวนเสร็จสิ้นแล้ว โดยภาพรวมรายละเอียด พบว่า มีการดำเนินการ เตรียมการก่อเหตุตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา67 และ มีการสำรวจเป้าหมาย จนกระทั่งมาก่อเหตุในช่วงปลายเดือนมิถุนายน มีจุดมุ่งหมายให้เกิดระเบิดในช่วงปลายปี เพื่อทำลายต่อระบบเศรษฐกิจ เป้าหมายคือพื้นที่ ภูเก็ต พังงา และกระบี่ คดีนี้ทำการสืบสวนจนเสร็จสิ้น ทราบตัวผู้กระทำความผิดรวม 26 คน ศาลอนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังทยอยแจ้งข้อกล่าวหาสุดท้ายอีกประมาณ 5 คน

“ในส่วนของความปลอดภัย ระเบิดที่ใช้ในเหตุนี้ 16 ลูก ทางท่านแม่ทัพภาค 4 สั่งการให้กำลังในพื้นที่ เก็บกู้ทั้งหมดแล้ว พื้นที่ปลอดภัย ส่วนมาตรการป้องกัน ทางท่านผู้ช่วย ผบ.ตร. ก็ได้กำชับให้กำลังในพื้นที่ตรวจตรา เฝ้าตรวจ เพื่อสร้างความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และพื้นที่ท่องเที่ยว ในเขตภูธรภาค 8 และภาค 9 ส่วนเหตุผลในการวางระเบิด เพื่อให้เกิดเหตุระเบิดในช่วงปลายปี ก็สืบเนื่องมาจากต้องการปกปิดร่องรอย หลักฐาน ไม่ว่าจะเป็น CCTV หรือหลักฐานทางดิจิตอลต่างๆ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ดำเนินการแก้ไขการจัดเก็บภาพให้นานขึ้นแล้ว ระเบิดทุกลูกถูกตั้งเวลามากกว่า 4 เดือนขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามขอให้มั่นใจ ในเรื่องของความปลอดภัยพื้นที่ท่องเที่ยว ที่ได้มีการวางมาตรการเอาไว้แล้ว”

ภาพข่าว/ อับดุลหาดี จ.ยะลา

ตอริก สหสันติวรกุล
กองบรรณาธิการข่าว /
ผู้อำนวยการข่าวศูนย์ข่าวภาคใต้ รายงาน

บิ๊กโต้ง‘ ระดมกำลัง ปล่อยแถวปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “ No Drugs No Dealers ” สร้างชุมชนปลอดยาเสพติด-กระท่อม

วันนี้ 1 สิงหาคม 2568 ที่ บริเวณหน้าอาคารที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา พลตำรวจโท ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เป็นประธานปล่อยแถวเปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “ No Drugs No Dealers ” พร้อมด้วย นายก้องสกุล จันทราช รองผู้ว่าราชการ จ.ยะลา

ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลด้านการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด แผนปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินการเปิดปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด “No Drugs No Dealers” ผนึกกำลัง ชุมชนปลอดยาเสพติด


ซึ่งทาง จังหวัดยะลา ตำรวจภูธรภาค 9 ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา หน่วยเฉพาะกิจ สำนักงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด ภาค 9 และกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 ได้บูรณาการ ความร่วมมือกัน เพื่อให้การปฏิบัติเป็นรูปธรรม ภายใน 3 เดือน มุ่งเน้นให้มีการ Re X-ray ค้นหาผู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่กระบวนการบำบัด และดำเนินการจับกุม ผู้ค้ายาเสพติดทำการยึดทรัพย์สิน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้หมดสิ้นไปทุกราย


สำหรับการปฏิบัติการในวันนี้ ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 9 ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งสิ้น จำนวน 200 นาย ในการเข้าปิดล้อมตรวจค้น จับกุมและยึดทรัพย์สิน เป้าหมายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ในพื้นที่รับผิดชอบ

ทั้งนี้ พลตำรวจโท ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้เน้นย้ำภารกิจ เปิดปฏิบัติการ กวาดล้างยาเสพติด “No Drugs No Dealers” วันนี้ ขอให้กำลังเจ้าหน้าที่ทุกนาย ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ ให้เต็มความสามารถเข้มแข็ง โดยยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

มีความอดทน อดกลั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ อย่าได้ประมาท และให้ใช้ความระมัดระวังพยายามใช้ความละมุนละม่อม ความสุภาพ ในการปฏิบัติงาน โดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอย่างที่สุด รวมทั้ง ให้ใช้ยุทธวิธี ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เน้นความปลอดภัย ของผู้ปฏิบัติงาน เป็นสำคัญ

ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน