สื่อรัฐทีวี*สื่อรัฐนิวส์ / พ่อเมืองลำปาง สั่งการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลำปาง และนายอำเภอวังเหนือ เข้าตรวจสอบกรณีลุงกับป้าตัดไม้สัก ถูกปรับ ดำเนินคดี

แชร์เนื้อหานี้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีสองตายายร้องขอความเป็นธรรม เกี่ยวกับกรณีการใช้อำนาจของผู้ใหญ่บ้าน การถูกดำเนินคดีป่าไม้ การถูกให้ออกจากการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และการที่หลานถูกย้ายออกจากโรงเรียนในพื้นที่ตำบลวังทรายคำ อำเภอวังเหนือ นั้น
อำเภอวังเหนือได้ลงพื้นที่ และสอบถามข้อมูลจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงในแต่ละประเด็น ดังนี้

ประเด็นการใช้อำนาจและการปรับเงิน 5,000 บาท
ในประเด็นนี้ขอชี้แจงว่า เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามธรรมมนูญตำบลวังทรายคำ และทุกหมู่บ้านในพื้นที่ตำบลวังทรายคำ ได้มีการลงมติตกลงร่วมกันของทุกหมู่บ้าน เพื่อเป็นการตักเตือนและระงับเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ขึ้นได้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการธำรงไว้ซึ่งระเบียบของชุมชน ก่อนการเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายของรัฐ โดยเมื่อปี พ.ศ.2566 นายถนอม ใจไหว ได้ตัดต้นไม้ซึ่งอยู่ในเขต คสล.(ป่าสงวน) จำนวน 1 ต้น จึงได้กระทำผิดตามธรรมมนูญฯ ข้อที่ 7.1 ว่าถ้าตัดไม้ในที่สาธารณะประโยชน์ จับได้ปรับต้นละ 5,000 บาท ดังนั้นนายจำลอง แสนจิตร ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น ได้ร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้านปรับตามธรรมมนูญฯ ต่อมานายถนอม ใจไหว ได้ยื่นฟ้องนายจำลอง แสนจิตรต่อศาลแขวงลำปาง ซึ่งในระหว่างดำเนินการพิจารณาคดีในชั้นศาล ศาลแขวงลำปางได้นัดไกล่เกลี่ย โดยนายจำลอง แสนจิตร ได้คืนเงินให้กับนายถนอม ใจไหว จนเป็นที่พอใจและนายถนอม ใจไหว แถลงต่อศาลว่าตนไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับนายจำลอง แสนจิตร ขอถอนฟ้อง ศาลจึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ประเด็นการร้องเรียนและการถูกดำเนินคดีป่าไม้ ประเด็นแรก เรื่อง “การตัดต้นสัก 1 ต้น และมีการปรับ 100,000 บาท และครอบครัวไม่มีเงินคุณตาต้องบำเพ็ญประโยน์ถึง 400 ชั่วโมง” อำเภอวังเหนือได้สอบถามข้อมูลไปยังหน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ขุนวัง ทราบว่า มีชาวบ้านบ้านทุ่งฮี ตำบลวังทรายคำ จำนวนหนึ่ง ได้ไปร้องเรียนที่หน่วยฯ ว่ามีการตัดไม้สัก 1 ต้น ในพื้นที่ป่าสงวนที่นายถนอม ใจไหว อ้างสิทธิ์ครอบครองอยู่ หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ขุนวัง จึงได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า มีการตัดต้นสักจริง จึงมีการพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ชาวบ้านบ้านทุ่งฮี จำนวนหนึ่ง ได้เข้าไปพบเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ขุนวัง เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งหากเจ้าหน้าทีไม่ดำเนินการ เจ้าหน้าที่อาจจะมีความผิดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย

ประเด็นที่สอง เรื่อง “ป่าไม้แจ้งความข้อหาแผ้วถางพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยทำกินมาตั้งแต่ ปี 2506 ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากรุ่นพ่อ” ขอชี้แจงว่ามี ราษฎรบ้านทุ่งฮี หมู่ที่ 1 ตำบลวังทรายคำ ได้มีหนังสือร้องเรียนต่ออำเภอวังเหนือว่า นายถนอม ใจไหว ทำการล้อมรั้วปิดกั้นทางเดินสาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ร่วมกันและล้อมรั้วในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนวังแปลงสองมาเป็นของตนเอง อำเภอวังเหนือจึงได้มีหนังสือประสานสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบ และต่อมาสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า นายถนอม ใจไหว ได้ทำการล้อมรั้วปิดกั้นทางเดินทางสาธารณประโยชน์ฯ ตามข้อร้องเรียนจริง ซึ่งได้มีการพูดคุยกับ นายถนอม ใจไหว เพื่อแจ้งให้ดำเนินการรื้อถอน แต่นายถนอม ใจไหว ไม่ได้ดำเนินการรื้อถอน ดังนั้น สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) จึงได้ดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย

ประเด็นยาย ที่ถูกให้ออกจากการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ในประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า จากการตรวจการสอบข้อเท็จจริงจากสาธารณสุขอำเภอวังเหนือ พบว่า บุคคลดังกล่าว ยังไม่ถูกออกจากตำแหน่งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด ซึ่งปัจจุบันบุคคลดังกล่าว ยังดำรงตำแหน่งเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ประเด็นที่หลานย้ายออกจากโรงเรียนในประเด็นนี้ ขอชี้แจงว่า ได้สอบถามรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งฮี ได้ให้ข้อมูลว่า มีผู้ปกครองมายื่นหนังสือลาออกให้เด็กนักเรียนกรณีดังกล่าวจริงในช่วงปิดภาคเรียน และเด็กนักเรียนดังกล่าวไม่ได้ถูกเพื่อน ๆ กดดันหรือบังคับแต่อย่างใด และได้ย้ายไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้านแม่สุข ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 อำเภอวังเหนือร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 ลำปาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมตรวจสอบลงพื้นที่ตามที่เป็นข่าว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวทางสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำปาง ได้ตรวจสอบ พบว่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีพื้นที่บางส่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ คทช. ซึ่งการดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของกรมป่าไม้ที่เกี่ยวข้องจึงจะดำเนินการได้ โดยอำเภอวังเหนือจะเร่งกำหนดการประชุมร่วมทุกภาคส่วน เพื่ออำนวยความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายต่อไป..